My Life

Year In Review 2024 สวัสดี 2025

By Arnon Puitrakul - 31 ธันวาคม 2024

Year In Review 2024 สวัสดี 2025

และแล้วก็ถึงสิ้นปีสักที ปีนี้เป็นปีที่รู้สึกว่า ยาวนาน ทำงานเยอะมากจริง ๆ มี Content ไม่เว้นแต่ละมื้อแต่ละเดย์กันเลยทีเดียว ในบทความนี้ เราจะมา Recap และถอดบทเรียนจากเรื่องราวที่เราได้ประสบมาในปีนี้กัน

เว็บและ Content ที่เติบโตขึ้นอีกขั้น

นี่คือยังไม่หมดเลยนะ ทำจริงเยอะกว่านี้อีก เอามาแค่เท่าที่ให้ดูได้

409 Contents คือจำนวน Content ที่เราทำทั้งหมด รวมกันทุก Format ทั้งบทความยาว, บทความสั้น, วีดีโอ และ Short ในปี 2024 นี้ ตอนนั่งนับเอง ยังตกใจเองเลย ว่าเราทำเข้าไปได้ไงวะ ทึ่งในพลังของตัวเองมาก ๆ นี่สินะยัยอานนท์ร่างทอง และนี่ไม่ใช่งานหลักด้วยไง เรามีงานอื่นที่ต้องทำ แต่ทำได้ขนาดนี้ เราก็ว่า เราโคตรเก่งแล้วนะ และที่น่าตกใจมากกว่าคือ ช่วงครึ่งปีแรก ปริมาณต่อเดือนมันยังไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ อาจจะอยู่ราว ๆ 20 ตัวต่อเดือนก็เยอะละ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง เรากดไปเดือนนึง 50-60 ตัวได้เลย

ปริมาณที่เราว่า แมร่งบ้า แล้ว เราทดลอง Format และ Workflow ใหม่ ๆ เยอะขึ้น เช่น Short อ่านผ่าน ๆ อาจจะคิดว่า เออ มันก็แค่การทำ Content อีกรูปแบบมา Serve แต่เอาจริง ๆ มันยากกว่านั้นมาก ๆ มันต้องเปลี่ยนวิธีคิดว่า เราจะเอา Content อะไรออกมา Serve เพื่อให้เหมาะกับ Format นั้น ๆ คนที่เสพ Format นี้ชอบดูอะไร แนวไหน Trend เป็นยังไง และที่สำคัญคือการออกแบบ Workflow เพื่อให้งานที่ออกมา มีคุณภาพมากขึ้น และล่นเวลาการทำงาน

ผลที่ได้คือ จำนวนยอด Engagement ต่าง ๆ ในแต่ละช่องทาง มันเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจนเราไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้งในฝั่งเว็บ Arnondora เองก็ดีขึ้นมาเกือบ ๆ 200k View ต่อปี และ Youtube อันนี้แหละที่เราตื่นเต้นมากว่า ปีเดียว เราทำได้มากกว่าเดิมเยอะมาก ๆ ต้องขอบคุณผู้ติดตามทุกคนจริง ๆ ที่เลือกที่จะติดตามช่องอย่างเรา ทั้ง ๆ ที่ Content หลาย ๆ ตัวมันแอบ Niche ไปหน่อย

อีกเรื่องที่น่าตื่นเต้น เป็นฝันที่ไม่กล้าฝันสำหรับเราที่เคยเขียนบทความเป็นงานอดิเรกคือ มันเริ่มหาเงินจากอาชีพนี้ได้ เมื่อก่อน เรายอมรับว่า เราไม่คิดเลยว่า เราจะหาเงินจากมันได้ เราแค่เขียนไปเรื่อย ๆ อย่างเขียนอะไรก็เขียน กินเงิน AdSense ไปเรื่อย ๆ แค่ปีนี้ความจริงจังมันมากขึ้นมากจริง ๆ เราได้รับโอกาสร่วมงานกับหลาย ๆ เจ้า เช่น Nation Online และ Sum Up และอื่น ๆ อีกหลายเว็บ ที่ทำให้เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งในนักเขียน ได้ทำงานจริงจัง ๆ กับบรรณาธิการที่เขาเป็น Professional และยังมี Sponsor ที่เข้ามาอีกหลายเจ้า เยอะกว่าปีก่อนมาก ๆ เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจริง ๆ อยากจะขอบคุณทุกคนทุกฝ่ายจริง ๆ ที่ให้โอกาสกับเรา เรากล้าพูดแล้วว่า ผมไม่เล็กนะครับ ช่องผมเนี่ย ไม่เล็กนะครับ

Burnout จริงจังครั้งแรก แล้วเสือกหนักด้วยไง

ช่วงครึ่งปีหลังที่เราหันมาทำ Content เยอะขึ้น จนหลาย ๆ คืนก็นอนคิดอยู่สักพักเลยนะว่า เอ๊ นี่กรูทำอะไรอยู่วะเนี่ย ที่ทำมันจะรอดจริง ๆ เหรอวะ ? บางวันมันจะมานั่งทำงาน แต่มันก็คิดไม่ออก ฟิล ๆ หัวตัน ๆ นอนหลับยากขึ้นมาก ๆ บางคืนได้นอนอยู่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง แล้วต้องกลับมาเผชิญงานอีกแล้ว ประกอบกับ เราเริ่มทำ Youtube มากขึ้นด้วยตอนนั้น ซึ่งมันเป็น Platform ที่คนปากแจ๋วเยอะมากอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นเอาเรารู้สึกไม่อยากทำ Content อีกเลย ไม่อยากเขียนงานอะไรอีกแล้ว ไม่อยากทำอะไรเลย ทำไปคนก็ออกมาด่าไม่ชอบแบบนั้นแบบนี้

งง ละ สิ ว่าเรามีโมเม้นต์แบบนี้ด้วยเหรอ ใช่ครับ มันเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นกับเรานี่แหละ ตอนแรกเราไม่คิดอะไรนะ คิดว่าน่าจะแค่เหนื่อยเฉย ๆ เพราะเราเป็นคนที่พลังงานล้นมาก ๆ ฟิล ๆ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา กับการใช้ชีวิตที่มองโลกในแง่ดีตลอดมั่นหน้ามากว่า ผ่านความชิบหายในแต่ละปีมาได้ขนาดนี้ แมร่งไม่น่ามีอะไรทำอะไรกรูได้ละอะไรแบบนั้น จนวันนึงเราไปนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นนักจิตพอดี ก็คุย ๆ กัน จนเชี้ย นี่กู Burnout ได้จริงเหรอวะเนี่ย ไม่คิดว่าคนที่กระโดดโลดเต้นทำนั่นนี่ตลอดเวลา มันจะ Burnout เป็นกับเขาด้วย ชิบหายการช่างละ แล้วเอาไงละทีนี้

จริง ๆ ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา โดยเฉพาะช่วงเรียน ป.โท ที่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเราควรจะทำยังไงถึงจะออกจากหลุมบ้านี่ให้ได้ ตอนนั้นเราลองทำอะไรง่าย ๆ อย่างการให้รางวัล เหมือนกับเวลาเราฝึกหมาอะ ถ้ามันทำจอะไรได้ เราก็จะให้รางวัลมัน เราก็ทำเหมือนกันเลยคือ เราจะตั้ง Goal ไว้เลยว่า เราอยากทำอะไร ถ้าเราทำงานเสร็จก่อนกำหนด เราก็จะได้ทำในสิ่งนั้น เช่น เราได้อ่านหนังสือที่เราอยากอ่านได้ ดูซีรีย์ที่อยากดู ปรากฏว่า มันได้ผลมากกว่าที่เราคิดซะอีก นอกจากมันจะทำให้เราหายจากอาการ Burnout ไปเลย เรายังสนุกกับการเพิ่มความ Productivity ให้มันมากขึ้น เพื่อให้เรามีเวลาไปนั่งดู Spongebob นานขึ้นในแต่ละวัน ชีวิตแมร่งมีเท่านี้จริง ๆ

142 เล่ม กับ 378 Publication Paper ใน 1 ปี

หนึ่งใน Goal ที่เราตั้งที่เราจะได้ทำเมื่อทำงานเสร็จคือ นั่งอ่านหนังสือ ใช่แล้ว มันทำให้เราได้อ่านหนังสือเยอะขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โอเค ถึงแม้ว่า ส่วนของหนังสือจะเป็นนิยายวายซะเยอะ แต่เอาจริงปะ พอเราได้เข้าไปอยู่ในโลกของตัวละครจากนักเขียนหลาย ๆ คนมันทำให้เราเปิดโลกกว้างขึ้นเยอะมาก ได้เห็นมุมมองความคิดของคนหลาย ๆ คนที่สื่อสารผ่านตัวละคร และที่สำคัญหลาย ๆ เรื่องมันมีแง่คิดที่ดีมาก ๆ กับอีกอย่างที่เราได้จากการอ่านนิยายคือ ภาษาไทย ในเรื่องของการใช้คำในการบรรยายสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่ค่อยจะถนัดนัก เห็นได้จากงานเขียนของเรา เจอคำไหนที่น่าสนใจ เราก็จะ Note เอาไว้ เผื่อได้ใช้ในงานเขียน และเอาจริงปะ พออ่านไปเยอะ ๆ เราเริ่มอยากลองแต่งนิยายสักเรื่องเหมือนกันนะ ไหน ๆ ก็ใช้ชีวิตแบบปลอม ๆ อยู่แล้ว ก็ลองเขียนเรื่องปลอม ๆ ก็น่าสนใจอยู่นะ

ส่วน Publication Paper หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยใช่มั้ยว่า คนบ้าอะไรอ่านอะไรแบบนี้เป็นเหมือนหนังสือพิมพ์ยามเช้า นี่แหละความลับของเราที่ทำให้เรามีเรื่องเล่าตลอดเวลา ไปคุยกับใครก็ชอบเล่าเรื่อง มันก็มาจากการอ่านพวกนี้แหละ จริง ๆ มันน่าจะติดมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วแหละ พอตอนนี้เราก็เลยอ่านไปเรื่อยเลย แต่มันจะมีหัวเรื่องที่เราสนใจอยู่ไม่กี่อย่างหรอก ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องที่เราเรียนมา หรือสนใจในช่วงเวลานั้น เราก็หยิบมาอ่านดูว่าในวงการตอนนี้ทำอะไรกันนะ มันติดปัญหาอะไร มันเป็นการอ่านที่ทำให้เรามักจะ Spark Idea วิธีการแก้ปัญหาหลายอย่างออกมาได้เยอะมากเลยแหละ

การอ่านจากที่มันเป็นเพียง Goal ที่เราหยิบมาทำเพื่อให้เราหายจากการ Burnout มันกลายเป็น วัตถุดิบชั้นดี สำหรับการทำงานของเราเฉยเลย โดยเราจะย่อยออกมาเป็นสัก 2 ประโยคสั้น ๆ ว่ามันเกี่ยวกับอะไร หรือมีอะไรที่น่าสนใจ เผื่อเวลาเราจะต้องเขียนงานที่เกี่ยวข้อง เราสามารถหยิบมันมาใช้ได้ง่าย ๆ

การให้อภัยคือทานอันประเสริฐ ทราบค่ะ แต่กูไม่ให้

เมื่อก่อนไม่เชื่อเรื่องสังคมหล่อหลอมเท่าไหร่ ตอนนี้เชื่อละ ว่าเราอยู่ในสังคมที่คนมันเอาเปรียบกันจริง ๆ ทำให้รู้สึกว่า เป็นคน Toxic ขึ้นเยอะมาก ๆ (เดี๋ยวนี้เป็นคน_ยมากกว่าเดิมเยอะ เช่น ถ้าอีรถเลนข้าง ๆ จะเข้ามาแล้วเสือกไม่เปิดไฟเลี้ยว มึงก็ไม่ต้องไปค๊าาา ซื้อใบขับขี่มาเหรอวะ !) ถ้าการ Toxic มันห้ามกันไม่ได้ งั้นเราก็อยู่ร่วมกับมันไปเลยสิวะ ! แต่ก็ยังมีจรรยาบรรณหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นเราเลยตั้งใจว่า เราจะไม่ Toxic เรี่ยราด แต่เราจะ Toxic ใส่คนที่ Toxic ใส่เราก่อนเท่านั้น เน้นจ้องแก้แค้นกันละขร๊ะล่าสุด ถ้าเรามัวแต่ให้อภัยแล้วเมื่อไหร่เราจะได้แก้แค้น ชีวิตมันสั้นนะเว้ย บอกแล้วว่าไม่ชอบดูหนังคนแก้แค้นกัน แต่ชอบทำเอง นี่แหละนะ ทำให้สังคมของคน Toxic อยู่ต่อไปได้ และเราก็ยังมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนคนกีย์ Win-Win ปะ

พอเราไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี และคิดมากว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราตลอดเวลา เอาจริงปะ มันดีกว่าที่คิดเยอะมาก มันทำให้เราเหนื่อยเวลาเจอผู้คนเยอะมาก เรากล้าที่จะพูด กล้าออกความเห็นเยอะขึ้น เออแต่ก็ไม่ได้แบบไปยืนเท้าเอวยืนด่าคนไปทั่วแบบนั้นนะ แค่ว่า ตอนไหนที่เราจะต้องแสดงความเห็น เราก็จะแสดงออกแค่นั้นเอง หรือเวลาที่เราจะต้องทุบโต๊ะ ตัดสินใจให้ เราก็จะกล้ามากขึ้นแค่นั้น

Project ทำหน้าต้อนรับ 30

ตอนเราเรียน ป.โท อีกแล้ว มีพี่ ๆ เตือนเราเยอะมากว่า "เนี่ยนะแก พอ 30 ปุ๊บนะ ทุกอย่างมันจะฮวบเลยเว้ย" นี่ก็ไปนั่งอ่าน Paper เยอะมาก อะทีนี้แหละ แมร่งเสือกมีหลักฐานเรื่องนี้อยู่จริง ๆ ในจำนวนที่เยอะมาก ทำให้เราเริ่มคิดถึงการดูแลตัวเองมากขึ้น เริ่มเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัย 30 (ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า) หนึ่งในงานที่เราอ่านแล้วกลัวมากคือ พอเรา 30 การสร้าง Collagen มันจะลดลงเร็วมาก ๆ ซึ่งเราไม่อยากหน้าแก่เลย ทุกวันนี้ก็เหมือนลุงอายุ 40 กลาง ๆ แล้วอะ ถ้าเราแก่กว่านี้มันไม่ไหวแน่ ๆ เลยเออ มาสิวะ ทำหน้ากันดีกว่า ก็คือเรียกว่าปลายทางทำฉ่ำมาก ๆ ตั้งแต่การฉีด Sculptra, ยิง Ulthera, Botox, Filler และ Pico Laser

มันอาจจะดูเป็นหัตถการที่ธรรมดามาก แต่เราเป็นคนที่จะทำอะไร เราจะต้องหาข้อมูลมันละเอียดมากจริง ๆ โดยเฉพาะมันเป็นเรื่องของหน้าเราด้วยแล้ว เริ่มจากนั่งดูหน้าตัวเองอยู่พักนึงเลยว่า เราติดปัญหาอะไร ส่วนไหนที่เรากังวล เราอยากจะให้มันเป็นยังไง จนไปนั่งหาอ่าน Paper ต่อว่า แล้วปัญหาของเราวิธีหรือเทคนิคอะไรที่เป็น Gold Standard แล้วเทคนิคที่ว่านั่นมันทำงานอย่างไร กลไกทาง Biochem มันเป็นอย่างไร มี Pathway อะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง ทำแล้วให้ผลได้ดีขนาดไหน มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ตั้งแต่ทำกันมามีเคสใดที่ปัญหาจนต้องออก Report จนไปปรึกษาเพื่อนที่เป็นแพทย์ผิวหนัง และสุดท้ายก็ไปคุยกับหมอที่เราทำหน้าเป็นประจำ เพื่อออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมออกมา ทำออกมาบอกเลยว่า เราพอใจมาก ๆ หน้าเด็กกว่าตอนเด็กจริง ๆ ซะอีก อันนี้ตลกจริง

พอทำมา มันก็ต้องบำรุงเพื่อให้มันอยู่กับเรานาน ๆ ประกอบกับเราสนใจเรื่อง Skin Care เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็มาสิครับ อ่านฉ่ำคำหอมอีก โผลงกระต่ายมันลึกมาก เราเอาจนต้องรู้ให้ได้ว่า สารตัวไหนมันเหมาะกับปัญหาแบบไหน เพราะอะไร จนไปถึงกลไกการทำงานของมันอย่างละเอียด จนเมื่อสิ้นปีก่อนเลย เกิดคำถามว่า พวก Counter Brand Skin Care ทำไมมันถึงแพง แพงแล้วดีกว่าจริงมั้ย หลังจากนั้นก็เข้าวงการไปเลยจ๊ะ เริ่มจาก La Mer ตอนนั้นด่าฉ่ำ ตอนนี้เป็นไงละครับ แมร่งเต็มบ้านไปหมดแล้ว ประเด็นเรื่อง Counter Brand Skin Care กับ Drug Store อะไรพวกนี้ เดี๋ยวเราขอแยกไปเป็นอีกบทความเลยละกัน มันยาวมากจริง

อีกเรื่องที่เราพึ่งมาให้ความสนใจเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมาคือ น้ำหอม มันเป็นเรื่องที่ถ้าเราเข้าใจเคมีมันเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ ว่ามันทำกลิ่นแบบนี้ได้ยังไงวะ ตั้งแต่กระบวนการสกัดกลิ่นจากวัตถุดิบ หรือการสังเคราห์สารที่ให้กลิ่น จนไปถึงศิลป์ของการผสม เพื่อให้ได้กลิ่นที่สื่อถึงเรื่องราวที่อยากเล่า จนตอนนี้ Collection น้ำหอมของเรา ทะลุ 100 ขวดไปแล้ว (ไม่นับขวดแถมขนาดทดลองนะ)

แต่สิ่งที่ได้จาก การนั่งอ่านเรื่องพวกนี้เยอะ ๆ คือ เรากลับมาทำเพจ ผู้ชายสำอาง อีกครั้ง มันคือ Journey ของความอย่างรู้อยากเห็นในโลกของ Skin Care และน้ำหอมของเราเอง ที่ชอบไปลองสรรหาตัวใหม่ ๆ มาใช้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเลยอยากจะเอามาป้ายยาบอกบุญกับทุกคนนั่นเอง

จัดการชีวิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

พองานเราเยอะขึ้น แต่ดันมีเวลาเท่าเดิม (ทำไมวะ ทำไมวันนึงมันไม่มี 48 ชั่วโมง) เลยต้องหาวิธีที่ทำให้เราทำงานได้เร็วมากขึ้น เลยลองไปศึกษาพวก How to increase productivity แล้วพบว่า หลายอย่างแมร่ง Bullshit มาก ๆ เลย Back to square one เลยลองกลับไปนั่งไล่ Process การทำงาน และการใช้ชีวิตว่า มันมีขั้นตอนอะไรที่ทำให้เราทำงานช้าบ้าง สิ่งนั้นมันน่าจะเป็นอะไรที่เราไม่ถนัดแน่นอน

จนมาตกตะกอนได้ว่า เรามีปัญหา 2 อย่างคือ เราไม่มี Big Picture ว่าวัน ๆ นึงเรามีอะไรต้องทำบ้างแบบละเอียด เรารู้แค่ว่า วันนี้เราจะต้องไปที่นี่นะ แล้วจบ ทำให้เรากะพลังงานที่จะต้องลงไปในงานแต่ละชิ้นไม่ได้ สุดท้าย เราจะหมดแรงก่อนจะเคลียร์งานที่ต้องทำได้ทั้งวัน และอีกส่วนคือ เรารู้สึกว่า เราอ่านหนังสือเยอะมาก เรามี Material สำหรับการเอามาเล่า หรืออ้างอิงเยอะมาก ๆ แต่พอ ณ ตอนที่จะใช้ เรารู้นะว่า มันมีเรื่องนี้อยู่ แต่จำคำเป๊ะ ๆ และมันมาจากอันไหนไม่ได้ สุดท้าย เราเลยต้องกลับไปนั่งอ่านทีละตัวเรื่อย ๆ เพื่อหามัน ทำให้เราเสียเวลาเยอะมาก ถึงเราจะอ่านหนังสือเร็วแค่ไหน แต่ถ้าเราต้องมาอ่านใหม่ทั้งหมดก็ยังเสียเวลาอยู่ดี

สุดท้าย เราเลยพยายามลองพัฒนาวิธีการหลายอย่างมาก ๆ ที่ช่วย Keep Track การทำงานของเราอย่างละเอียด แรก ๆ มันก็ยังมีความยุ่งยากในการใช้งาน แต่เราก็ทดลองปรับ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมันเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เลยทำให้เราใส่เดียว Focus กับงานได้มากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกมาก ๆ แล้วนี่เป็นคนที่ไปสุดลงสุด เอาละ งานเข้าละ ตอนนี้เลยคลั่งกับการนั่ง Optimise ระบบการทำงานให้มันเก่งกว่าเดิมเข้าไปอีก ทำให้ปีนี้ เดี๋ยวจะมี Playlist ที่มาเล่า Journey ของการสร้าง Productivity System ของเรากันว่า เรามีหลักคิดยังไงบ้าง ติดตามกันได้ (เห็นมะ อะไรแมร่งก็เป็น Content ได้)

ปีหน้า : ก็มาสิครับ ! พร้อมบุก พร้อมสู้ !

สำหรับปีหน้า เราก็จะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน คาดการณ์ดูขำ ๆ คิดว่า ปีหน้าน่าจะหนักกว่าปีนี้แน่นอนยิ่งสูงยิ่งหนาวครับ แต่เราไม่กลัวเท่าไหร่ละ พร้อมบุก พร้อมเรียนรู้ และซัดทุกอย่างที่เข้ามา พร้อมออกจาก Comfort Zone ไปหาโอกาสใหม่ ๆ ละ เพราะเรารู้สึกว่าโลกเรามันมีอะไรให้เราออกไปหาเยอะมาก สกิลนึงที่เราได้เรียนรู้จากการเรียน ป.โท คือ เรารู้ว่า ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เรื่องนี้ เราจะต้องหามันยังไง เราถึงจะได้สกิลนั้นมา พูดง่าย ๆ มันคือสกิลในการหาความรู้ใหม่ ๆ นั่นแหละ (อาจารย์จะต้องดีใจ แต่จะปวดหัวเพราะเราชอบไปหาอะไรแปลก ๆ นี่แหละ) อยู่ ๆ อยากเล่นกีตาร์ แมร่งก็ไปนั่งหาจริงจังมาก จนไม่กี่เดือน โยนคอร์ดมา ได้เฉยเลย งง ปะ เออ งงเหมือนกัน เราว่ามันคืออาวุธชิ้นสำคัญมาก ๆ สำหรับเรา เมื่อรวมกับการมองโลกในแง่ดีของเราด้วย มันน่าจะทำให้คำว่า เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้แน่ ๆ (ถ้าไม่ผิดกฏธรรมชาติอะนะ) มันเป็นเหมือนโล่ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองไปละ มันจะมีอะไรที่เ_ยกว่านี้จริง ๆ เหรอวะ (สปอย มีจ้าา) บอกเลยว่า ปีหน้าช่องเราก็จะมี Content ออกมาในรูปแบบใหม่ ๆ เยอะกว่านี้อีกมาก มีไอเดียอยู่เต็มหัว น่าจะถึงเวลาที่จะต้องหยิบมันออกมา Execute สักที รอติดตามกันได้เลอ มั่นใจว่าสิ้นปีหน้ามาดูว่าทำอะไรไปบ้าง น่าจะตกใจกว่าปีนี้แน่นอน ร่างเพชรแล้วมั้งนั่น

สรุป : ปีแห่งการพุ่งทะยาน

จากปีก่อน ที่เราบอกว่า มันเป็นปีที่ผลกำไรจากการทำงานหนักมันเริ่มออกดอก เราว่าปีนี้มันคือตอนต่อที่ดีของซีรีย์เรื่องนี้เลยนะ จากค่อย ๆ ออกดอก กลายเป็นปีที่เราพึ่งทะยานเร็วกว่าที่เราเคยประสบมาซะอีก ทำให้เราได้เจอและทำงานกับคนใหม่ ๆ ที่เขาเก่งในวงการ ได้ลองทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ ออกนอกกรอบตัวเอง จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ขอบคุณทุกคนรอบข้างมากจริง ๆ ที่ Shape มาทำให้เราเป็นคนแบบนี้ และถึงคนที่เอาเราเป็นไอดอล เอาไปแต่เรื่องดี ๆ เถอะนะ ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมาก ๆ ก็ตาม กรูขอร้อง เรื่องเ_ย ๆ มันเยอะเกินไป มีคนแบบกรูสัก 10 คน ก็ชิบหายกันทั้งสังคมแล้ว

และสุดท้ายเหมือนกับ Year in Review ของเราทุกปีคือ เราแนะนำให้ทุกคนลองรีวิวปีนี้ของเรากันว่า เราเจออะไรมาบ้าง มันทำให้เราเรียนรู้อะไรจากมัน และ ปีหน้าเราจะทำอะไร เป็นเหมือนกับการ Recap ปีนี้ย่อ ๆ เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ และ ปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีกในปีหน้า กับมันเป็นเหมือนสมุดบันทึกความเป็นเราในแต่ละปี เมื่อเราย้อนกลับมาอ่าน มันก็จะเห็นว่า เราเก่งขึ้น เราโตขึ้นไปในทุก ๆ ปี และสุดท้าย ก็สวัสดีปีใหม่ต้อนรับปี 2025 กันด้วยนะครับ

Read Next...

Year In Review 2024 สวัสดี 2025

Year In Review 2024 สวัสดี 2025

และแล้วก็ถึงสิ้นปีสักที ปีนี้เป็นปีที่รู้สึกว่า ยาวนาน ทำงานเยอะมากจริง ๆ มี Content ไม่เว้นแต่ละมื้อแต่ละเดย์กันเลยทีเดียว ในบทความนี้ เราจะมา Recap และถอดบทเรียนจากเรื่องราวที่เราได้ประสบมาในปีนี้กัน...

Year In Review 2023 สวัสดี 2024

Year In Review 2023 สวัสดี 2024

แปลกมากเลยนะ เรารู้สึกว่ายังเหมือนต้นปีอยู่เลย เวลาผ่านไปแปบเดียว กลายเป็นจะหมดปีซะแล้ว เรียกว่าเป็นปีที่ทำอะไรเยอะมาก มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ เรื่องเยอะมาก เรื่องหลาย ๆ เรื่องที่เราปูมาตั้งแต่ปีก่อน มันค่อย ๆ งอกเงยมาเรื่อย ๆ วันนี้เรามาถอดบทเรียนให้อ่านกันว่าเราได้อะไรจากมัน และมันสอนอะไรกับเราบ้าง...

Year in Review 2022 สวัสดี 2023

Year in Review 2022 สวัสดี 2023

เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะเนี่ย ยังแอบรู้สึกว่าเหมือนยังไม่ผ่านครึ่งปีไปดีเลย อ่อ สิ้นปีแล้วเฉยเลย มา งั้นเรามาเล่าให้อ่านกันดีกว่าว่า ที่ผ่านมาในปี 2022 มันเกิดอะไรขึ้น และมันสอนอะไรเราบ้าง...

Year in Review 2021 สวัสดี 2022

Year in Review 2021 สวัสดี 2022

ผ่านไปอีกปีแล้วกับปี 2021 ที่น่าจะเป็นเวลาที่ยากลำบากสำหรับใครหลาย ๆ คน เราเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ หลาย ๆ อย่างที่ Plan ไว้ก็ต้องเปลี่ยนหมด หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ก็หวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีขึ้นเนอะ ~...