By Arnon Puitrakul - 13 ธันวาคม 2018
หลังจากที่เราได้รีวิว Samsung Galaxy Note 9 ไปเมื่อราว ๆ 2 เดือนก่อน (จริง ๆ จนตอนนี้เราใช้มาราว ๆ 3 เดือน) ก็ตอนนี้เราได้อยู่กับมันมาพอสมควรละ วันนี้เลยจะมาเล่าประสบการณ์การใช้งานที่ได้จากเจ้าเครื่องนี้กัน
อย่างที่ได้เคยบอกไปในตอนรีวิวแล้ว เครื่องที่เราใช้จะเป็นขนาด 128 GB และเติม Memory Card อีก 128 GB ทำให้หน่วยความจำในเครื่องรวมกันนี่นึกว่า iPad ที่ใข้อยู่เลยทีเดียว
มีคนชอบบอกว่า Android เวลาใช้ไปนาน ๆ เครื่องจะอืด โทรศัพท์หลายเครื่องที่เราใช้มาก็เป็น Android ทั้งนั้น เราบอกเลยว่ามันเป็น เรื่องจริง ใช้ไปสักพักมีอืดขึ้นกว่าตอนที่ซื้อมา แต่ Note 9 นี่ไม่ค่อยแสดงอาการอืดให้เห็นเท่าไหร่ มีแค่บางเคสที่รันมันหนัก ๆ มันอาจจะต้องใช้เวลาคิิดหน่อย แต่งานส่วนใหญ่ก็ยังคงลื่นอยู่ ก็ต้องดูต่อไปในระยะยาวว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
แต่ก็ต้องบอกเลยนะว่า Software ของ Samsung เราใช้ยังไงก็ไม่ชินสักทีนะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อย่าง Settings พวกเรื่องของ Battery กับ Storage มันจะถูกซ่อนอยู่ที่เมนูที่ชื่อ Device Maintenance พอจะมาหาทีไรก็ไม่เจอสักที ฮ่า ๆ
ปุ่มข้างล่างเลย เจ้าปัญหา
Feature นึงที่เราใช้บ่อยมากคือ Voice Command บนตัวเครื่องมีปุ่มสำหรับเรียก Bixby อยู่ ถามว่า มันน่าใช้เท่า Google Assistant มั้ย ก็ต้องตอบเลยว่า ยังห่างกันอีกหลายขุม ทำให้เราไม่อยากที่จะใช้ Bixby เลย จะเปลี่ยนปุ่ม Bixby ให้กลายเป็น Google Assistant ก็ไม่ได้ ทำให้อีปุ่มนั้นกลายเป็นส่วนเกินของเครื่องไปในทันที มันจะดีมาก ถ้ามันสามารถเปลี่ยนปุ่ม Bixby ให้กลายเป็น Google Assistant ได้
ส่วนตัวเรามองว่า Note 9 เป็นโทรศัพท์ที่สามารถให้ความบันเทิงได้อย่างดีเลยนะ ทั้งหน้าจอที่ให้สีค่อนข้างสด และไม่กลัวแสงเวลาเจอแสงแดดแรง ๆ และยังรองรับ HDR10 ถ้าใครที่ดู Netflix และ Youtube บน Content ที่รองรับก็จะได้ประสบการณ์ที่โคตรดีย์เลย
เรื่องของเสียง เรามองว่า มันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ตัวลำโพงเองที่เป็นลำโพงคู่ ที่ได้รับการปรับจูนจาก Brand เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง AKG ก็ทำให้ตัวเครื่องให้เสียงที่ใส รายละเอียดค่อนข้างดีแต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ พร้อมทั้งระบบ Dolby Atmos ที่ทำให้เราดู Content ได้อย่างเข้าถึงเหมือนเข้าไปอยู่ในนั้นมากขึ้น
รูหูฟังกลายเป็นฟีเจอร์ไปแล้วมั่ง หลังจากที่เจ้าอื่น ๆ ได้ตัดออกไปเกือบหมดละ เสียงที่ให้ต้องบอกเลยว่าเข้าใกล้ HiFi อยู่นะ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ยังใช้งานผ่าน DAC อยู่ดีเวลาเราจะฟังเพลงดี ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็น่าจะสนุกได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเลยนะ
ดังนั้น ด้วยคุณภาพของจอ และเสียง ที่ดีทำให้ Note 9 เป็น Entertainment Phone ได้แบบไม่สงสัยเลย มันดีย์จริง ๆ นะ
ตอนเรารีวิวตัวเครื่อง เรื่องกล้องที่โหมด Live Focus มันทำงานไม่ได้เรื่อง ตอนนี้เราก็ยังยืนยันคำเดิมว่ามันห่วยมาก แต่พอใช้ ๆ ไป มันต้องอาศัยท่ายากนิดนึงเพื่อให้มันได้รูปดี ๆ ออกมา เช่นแบบต้องทำให้วัตถุพื้นหลังอยู่ห่างมาก ๆ เพื่อช่วยให้ไฟล์ต้นฉบับมันเบลอมาหน่อยแล้ว ก็ทำให้ Software ทำงานได้ดีขึ้นหน่อย อย่างรูปที่เอามาให้ดูนี้ ก็คือถ่ายที่ลาน Central World เราจะเห็นว่า ด้านหลังเป็นคน Christmas และมีเราเองเป็นหน้าฉาก แทนที่เราจะเลือกชิดเข้าไป เราก็เดินห่างออกมาจากต้นหน่อย เพื่อให้มันเบลอขอบได้เนียนขึ้น
นอกจากนั้น Live Focus มันเกิดจากการใช้กล้อง 2 ตัวพร้อม ๆ กัน แต่ถ้าเอาไปใช้ในที่แสงน้อยหน่อย ตัวภาพที่ได้จากโหมดนี้คือจบเลย Noise เยอะอยู่พอสมควร ไม่แน่ใจว่า มันเอารูปที่ได้จากกล้อง F/2.4 มาเป็นพื้นแล้วทาบด้วยภาพจากกล้อง F/1.8 เพื่อสร้าง Depth Map แล้วเอามาวางบนภาพจากกล้อง F/2.4 อีกทีรึเปล่า เพราะ ณ หน้างานตอนที่ถ่ายโหมด Pro ที่บังคับใช้ F/1.8 Noise มันไม่เยอะเลย แต่พอเอา F/2.4 ถ่ายเท่านั้นแหละ Noise มันพอ ๆ กับภาพที่ได้จาก Live Focus เลย มีอันนึงที่ไม่เคยลอง เราสังเกตว่ารูปที่ถ่ายด้วย Live Focus มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่พอ ๆ กับ RAW File เลย สงสัยว่ามันน่าจะเก็บ Depth Map ไว้ด้วย เลยคิดว่า มันน่าจะเปิดบนคอมได้เหมือนกัน เดานะไม่รู้ ถ้าใครรู้ก็ช่วย Comment มาบอกหน่อยก็ดีฮ่ะ
ตอนที่เรารีวิวครั้งแรก เรายังไม่ได้จับ RAW File จากโทรศัพท์เครื่องนี้เยอะ ตอนนี้เราลองมากดดูพบว่า เข้ !! Noise เยอะมาก ๆ ขนาดใช้ F/1.8 แล้วนะ แต่มันเยอะมาก ๆ เยอะแบบสุด ๆ ไปเลย ตอนที่ถ่ายคือ ไม่ได้มืดมากด้วยนะ เป็นฉากในห้องเรานี่แหละ มีไฟแล้ว ก็ไม่รอด ไฟล์มันใหญ่ราว ๆ 20 MB ไปเลย และยังไม่สามารถที่จะ เลือกถ่ายแต่ RAW ได้อย่างเดียว ต้องถ่าย JPG พร้อมกับ RAW ทำให้เรารู้สึกว่า มันเปลืองมาก ๆ แล้วเวลาเราจะอัพลง Google Photo มันก็จะขึ้นไปด้วยกันหมดเลย ทำให้ในอัลบั้มรกมากไม่โอเค ควรจะทำให้มันสามารถที่จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วย
รูปนี้ถ่าย RAW File มา 2 อันโดยถ่ายค้อม Stop ไปเป็น -0.7EV กับ +0.7EV แล้วเอามา Merge และเร่งสีเล็กน้อย ใน Photoshop Lightroom
การดึงแสงต่าง ๆ จาก RAW File ก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นกล้องโทรศัพท์ Sensor มันเล็กกระจิ๊ดเดียว จะไปหวังให้ไฟล์มันคุณภาพสูงจนดึงได้เยอะเลยคงไม่น่าใช่เท่าไหร่ แต่คุณภาพของไฟล์ที่ได้มา เราก็ค่อนข้างประทับใจเลยละ เครื่องแค่นี้ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ
จากการถ่าย RAW ก็ทำให้รู้ว่าตัว Noise Reduction ในเรื่องมันดุมาก ๆ จาก RAW File ที่ Noise กระจุยจนแทบไม่เหลือภาพ แต่ภาพที่เครื่องทำออกมาได้คือ มันค่อนข้างดีเลยละ
อันความดีย์งามของ S-PEN ที่ทำให้เราสั่งถ่ายรูประยะไกลได้ ผนวกกับขาตั้งกล้อง ทำให้เราสร้างสรรค์รูปได้มากมาย และแก้ปัญหาเวลาไปเที่ยวและต้องการจะถ่ายรูปทุกคนได้อย่างดี อันนี้เราชอบมาก ๆ
ตัวเครื่องมาพร้อมกับ Battery ที่ค่อนข้างใหญ่ถึง 4000 mAh ที่ตอนนั้นก็เป็นแบตที่ใหญ่ที่สุดแล้วมั่ง แต่ตอนนี้ก็มีคนออกมาโค่นเรียบร้อยแล้ว การใช้งานของเราส่วนใหญ่ก็คือ เปิด Facebook, ฟัง Tidal กับ Spotify แบบเสียบ DAC นอก, อ่านบทความต่าง ๆ แบตก็สามารถอยู่ได้ทั้งวันได้แบบสบาย ๆ เลย หรือวันไหนที่เราต้องใช้ Hotspot จากเครื่องก็คือ ไม่พอแน่นอน เครื่องไหนมันจะพอฟร๊ะ !!
ก็สามารถเสียบชาร์จได้อย่างรวดเร็ว เพราะตัวมันรองรับ Adaptive Charging ที่เป็นระบบชาร์จของ Samsung เอง แต่พอเราเอาไปเสียบกับ Macbook Pro 2018 โดยใช้สาย USB-C to USB-C ก็พบว่ามันชาร์จเร็วมาก ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะ USB PD หรือเปล่า แต่มันเร็วขึ้นจริง ๆ เร็วกว่าใช้ Adapter 15 Watts ที่มาในกล่องแน่นอน (จนตอนนี้ยังไม่ได้เอาออกมาใช้เลย) แต่ถามว่า มันสู้เจ้าอื่นได้มั้ย ต้องบอกเลยว่า ณ ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีชาร์จเร็วออกมามากมาย ทั้ง ๆ ที่ Google พยายามดัน USB PD ให้กลายเป็นมาตรฐานการชาร์จเร็วในโทรศัพท์ Android แต่ค่ายอื่น ๆ ก็ไปพัฒนาของตัวเองกันไป Samsung เองก็เหมือนกับคนที่ไม่พัฒนาเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะ Adaptive Charging มันมีมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ 15 Watts ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนคือ Battery ในเครื่องใหญ่ขึ้น ฮ่า ๆ
ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้งานโทรศัพท์ในแต่ละวันไม่หนักมากเจ้า Battery ของ Note 9 ก็พอจะทำให้เราผ่านไปในระหว่างวันไปสบาย ๆ เลย กับถ้าไม่พอเป็นวันนั้นของเดือนใช้เครื่องเยอะ เราก็สามารถชาร์จมันได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบชาร์จเร็วของ Samsung ที่ก็พอจะชาร์จเร็วนิดหน่อย
เรื่องของอะไรแปลก ๆ ก็เจอนะ อย่างเช่น Line ที่อยู่ ๆ Notification ก็ไม่เด้ง กับส่งไม่ได้เลย ต้องเปิดเครื่องใหม่อย่างเดียว อาการนี้น่าจะเป็นที่ Software มากกว่า เพราะแม่ใช้ S9+ อยู่ก็เจออาการเดียวกัน ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไง ทำให้แม่ลูกคู่นี้นั่งเสี่ยงดวงกันไปว่า Line มันจะเลิกเด้งเมื่อไหร่ คือจะลอง Uninstall Line ออกแล้วลงใหม่มันก็ต้อง Login ใหม่นั่นหมายความว่า Conversation ที่เคยคุยไว้มันจะหายรึเปล่า ไม่แน่ใจเลยไม่กล้าลบเลย ตอนนี้เลยตั้งความหวังที่ Android Pie ที่จะลงมาจุติใน Note 9 ในช่วงต้นปีหน้า
อีกอาการนึงเจอไม่บ่อย ที่บางทีเวลาเราจะปลดล๊อคโทรศัพท์ด้วยนิ้ว เราก็เอานิ้วไปทาบที่ตัวสแกน ปรากฏว่าอ้าว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปลดล๊อคไม่ได้ งงไปดิ วิธีแก้ก็คือ กดปุ่ม Power เพื่อปิดหน้าจอ แล้วกดเปิดใหม่ก็จะสแกนได้ ปัญหานี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก แต่ถ้าแก้ได้ก็ดี
โหมดปลดล๊อคด้วยหนังหน้า ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะสู้ Apple ได้ แต่มันควรจะพัฒนาไปให้มีความเสถียรที่มากกว่านี้หน่อย บางทีหยิบขึ้นมาใช้ยังไม่ทันมองมันก็ปลดล๊อคแล้ว บางทีจ้อง ยืนหมุนโทรศัพท์ หมุนตัว จนคนข้างนอกนึกว่าเราเป็นบ้าแล้ว ก็ยังไม่ติด เฮ้ออออออ
ถ้าอาการแปลก ๆ ที่พบหลัก ๆ ก็ประมาณนี้แหละ อย่ามีเยอะเลย ปวดหัว มีแค่เรื่อง Line ก็สร้างความบรรลัยได้มากพอแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนใช้ Line เป็นช่องทางในการติดต่อเราไปซะแล้ว อีเมล์มีไม่ใช้ ตีตายเลย !!
Samsung Galaxy Note 9 ให้ทุก Feature ที่โทรศัพท์เรือธงมันควรจะมี ที่มาพร้อมกับ CPU ที่ให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ทำให้ชีวิตไม่สะดุดทั้ง LTE เองกับ Next G ก็รองรับในเครื่องเลย Battery ที่ทำให้เราใช้งานทั้งวันได้พร้อมกับระบบชาร์จไว กล้องสวยใช้ได้ กันน้ำกันฝุ่น ที่สำคัญมีรูหูฟัง 3.5 มม. ด้วย จาก Feature พวกนี้ มันไม่แปลกเลยที่ Note 9 จะเป็นโทรศัพท์ที่น่าสนใจเครื่องนึงในปี 2018 ลามไปถึงปี 2019 เลย และเราก็คาดหวังสูงมากกว่า Android Pie และ One UI ที่จะมาจุติลง Note 9 ในช่วงต้นปีหน้า ถ้าเราได้ลองใช้แล้ว เดี๋ยวจะมารีวิวให้อ่านกัน
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...