By Arnon Puitrakul - 08 กุมภาพันธ์ 2021
หลังจากรอคอยมานาน Sony ประเทศไทยสายเลื่อนอะไรกันมากมาย จนวันนี้ก็มาถึงที่ตัวเครื่อง PlayStation 5 และทีวีที่ซื้อคู่กันมันก็มาส่งสักที ตอนแรกคิดว่า การสั่งผ่าน Sony Online Store ของจะออกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ และ น่าจะมาถึงเราในอีก 2-3 วันทำการเพื่อให้ขนส่งจัดส่งมาให้เรา ปรากฏว่า เช้าวันที่ 5 ได้ Message ว่า พัสดุกำลังจัดส่งแล้ว ตื่นเต้นมาก วันนี้เราจะมารีวิวตัว PlayStation 5 กันว่า ทำไมเราถึง Hype กับมันได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นสาย PC
ด้วยความที่ไม่คิดว่า มันจะมาส่งวันนั้น เลยทำให้เราออกไปนั่งทำงานข้างนอกไม่ได้อยู่รอของ พอของมาส่งความกลัวหาย แต่ก็ขี้เกียจกลับเลย ก็ทำให้เราก็คือ เอากล้องวงจรปิดหันไปดูของตลอดเวลา ถามว่า ทำเพื่อ ???? ฮ่า ๆ
อันนี้เราสั่งผ่าน Sony Online Store มา ก็คือนางมาเป็นกล่องแยกทีวีไม่ได้ใส่กล่องมาให้เพิ่ม แต่มีการห่อมาเพิ่มให้ไม่รู้ว่ามันเป็นทีวี ตั้งอยู่หน้าบ้านไว้ก็ไม่น่ามีคนรู้ว่าเป็นทีวีแหละ ส่วนพวก PS5 กับ Controller ที่แถมมานางก็ใส่กล่องแยกออกมาให้ ในกล่องนางก็มีการห่อด้วยวัสดุกันกระแทกมาอย่างดีเลยทีเดียว
เริ่มจากตัว PS5 กันก่อน ตัวกล่องทำจากกระดาษพิมพ์มาด้วยหน้าตาของตัวเครื่องพร้อมเขียนว่า PS5 อย่างสวยงาม ด้านบนบอกว่านางรองรับ 8K กับ 4K 120Hz ด้วยนะ ตัว 8K ณ ตอนที่เขียนก็ยังใช้ไม่ได้นะ ต้องรอ Software Update อีกทีเพื่อเปิดใช้งาน และ 4K 120Hz ตัวทีวีก็ต้องรองรับมาตรฐาน HDMI 2.1 ด้วยซึ่ง Sony X50H ที่ซื้อมาพร้อมกันก็รองรับ ทำให้เราได้อรรถรสในการเล่นเกมที่มากขึ้นไปอีก
ด้านข้างกล่อง ก็จะเป็นของที่มาให้ในกล่องจะมีตัวเครื่อง และ Controller อันเดียวเท่านั้นนะ ถ้าใครอยากได้เพิ่มมาเล่นกันหลาย ๆ คนก็ต้องไปกดกันมาเพิ่มเอาเอง
ด้านข้างอีกข้าง ถ้าเราซื้อเครื่องศูนย์ไทย ก็จะมี Sticker Sony ประเทศไทยด้วย อันนี้ในอนาคตใครที่สั่งเครื่องมาแล้วร้านบอกว่าเป็นเครื่องศูนย์ไทย เบื้องต้นดูที่ Sticker นี้ก่อนได้
ด้านหลังก็จะเป็นคำเคลมของเขาในหลาย ๆ ภาษา ก็ข้ามไป ฮ่า ๆ
ด้านบน ก็จะเป็นหูหิ้ว และ ดูที่ตัวกล่องมันจะมี Sticker Void อยู่ ถ้าบอกว่าเป็นเครื่องมือ 1 ไม่เคยแกะมาก่อนเลย Sticker ตรงนี้ควรจะเป็นชิ้นเดียวกันไม่เคยถูกแกะมาก่อนนะ
เมื่อเปิดฝากล่องออกมา ตอนแรกเลยในหัวคือ มันแกะยังไงต่อฟร๊ะ ไม่กล้าเทลงมา เดี๋ยวเครื่องหล่นแตกพังหมดแน่ ๆ มองมาที่ข้าง ๆ อ่อ นางมีวิธีบอกให้เราด้วยเป็นขั้นตอน 1 2 3 ง่าย
เปิดเข้ามาเราจะยังไม่ได้เจอตัวเครื่อง แต่เป็นพวกอุปกรณ์ Bundle มาก่อน ก็ทำมาเหมือนกับตอนแกะ PS4 และ PS4 Pro
ซ้ายสุดจะเป็นพวก Paperwork ต่าง ๆ ที่แน่นอนว่า เราจะข้ามมันไป เราไม่อ่าน เพราะมันเกิด 8 บรรทัด
อีกด้าน จะเป็นสายไฟสำหรับจ่ายไฟเข้าเครื่อง PS5 และ Controller ที่ใส่มาในถุงโฟมอย่างดี
ชั้นแรกเอาของออกมาหมด แต่ยังไม่หมดนะ เปิดมาอีกชั้น เราจะเจอของอีก 2 อย่างคือ ตัวขาตั้ง และ สาย USB-A to USB-C สำหรับเสียบชาร์จ Controller
เอาพวกฝาที่ใส่อุปกรณ์ Bundle ออกมา เราก็จะเจอกับตัวเครื่อง PS5 ห่อในถุงโฟม และมีลังกระดาษที่ทำให้ตัวเครื่องไม่ขยับไปมาระหว่างขนส่งอีกด้วย เราก็แค่ดึงออกมาจากกล่องก็ออกมาละ ไม่ได้ต้องเท หรือออกแรงอะไรขนาดนั้น
มาดูกันที่อุปกรณ์ Bundle กันบ้าง เริ่มจากสายไฟกันก่อน ในประเทศอื่น ๆ ขึ้นกับว่า เราซื้อจากประเทศไหน หัวเสียบไฟมันก็จะไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราซื้อเครื่องไทย เราก็จะได้เป็น 2 หัวกลม สำหรับเสียบเข้ากับปลั๊กประเทศไทยได้เลย ส่วนตัวเราไม่ชอบหัวปลั๊กแบบนี้เท่าไหร่ อยากได้เป็นหัวแบบ US มากกว่า
สาย HDMI เราว่ามันทำมาดูดีมาก ๆ ตัวหัวที่ดูใหญ่ ๆ ตอนแรกคิดว่า มันน่าจะกลวง ๆ แต่พอมาจับจริง ๆ แล้ว เห้ย มันมีน้ำหนักเลยนะ เราไม่น่าจะกลวงแน่ ๆ ตัวสายทำมาดูแข็งแรงใช้ได้เลย แต่ถ้าต้องการความแข็งแรงที่มากขึ้น เราแนะนำให้ไปซื้อสายที่ออกแบบมาดีกว่านี้จะดีกว่า
สาย USB-C to USB-A เองก็ทำมาดีใช้ได้เลยนะ พอได้อยู่ ตัวสายเสียบแล้วก็แน่นดี ที่หัวก็ซีลมาดี เสียบแล้วแน่นโยกไม่ได้ เหมือนสายที่มากับของบางอย่างที่เสียบไป ถ้าไปโดนมันหน่อยมันก็โยก ๆ ได้ กับบางทีแย่ ๆ หน่อย อ้าวเสียบไม่ติดก็มี
และของชิ้นสุดท้ายคือตัวขาตั้ง สำหรับการวางทั้งในแนวตั้งและแนวนอน โดยเฉพาะแนวนอน ถ้าเราลองดูหน้าตาของ PS5 เราจะเห็นเลยว่า มันมีส่วนโค้ง ๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถจับมันนอนได้ เราจะต้องใช้ขาตั้งตัวนี้ในการวาง หรือถ้าเราจะวางตั้ง เครื่องมันก็วางตั้งเฉย ๆ ได้ แต่ถ้าอยากทำให้มันสูงขึ้น มีพื้นที่ในการระบายอากาศมากขึ้น เราก็สามารถเอาขามาติดได้ การติดมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น วางลงไปเอาแง่งมันเสียบเข้ากับร่องที่ขอบเครื่องก็เสร็จแล้ว
หลังจากเห็นหลาย ๆ คนล้อเลียนกันมานาน ว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศบ้างอะไรบ้าง พอมาเจอตัวจริงเข้าเองก็....... เออ ก็เหมือนดีนะ ฮ่า ๆ ตัวเครื่องด้านข้าง ทำจากพลาสติกสีขาว ที่ด้านบนซ้ายเป็นโลโก้ Playstation แบบเงา ๆ อยู่ รวม ๆ ให้ความรู้สึกดูหรูหรา และ Modern มาก ๆ เราว่าดูไปดูมา แอบคล้าย ๆ PS3 เล่นกับความโค้ง ๆ ของตัวเครื่อง แต่อันนี้มันดูเข้าสมัยกว่าเยอะ
ด้านหลังของตัวเครื่องก็จะเป็นรูสำหรับระบายอากาศเยอะมาก ๆ ด้านล่างมี Port สำหรับการเชื่อมต่อต่าง ๆ เอาจริง ๆ ตอนมองมุมนี้ครั้งแรก ทำไมนึกถึงเกม Dead Space ขึ้นมาเลยหว่า Maker ป่ะ ฮ่า ๆ
สำหรับ Port การเชื่อมต่อจากด้านบนเป็น Port USB 3 สำหรับเสียบพวก External Storage ในอนาคต เพราะ SSD ที่ใส่มาให้นั้นมีน้อยเหลือเกิน อันถัดไปจะเป็น RJ45 ที่รองรับระดับ Gigabit เพื่อให้เรา Download ตัวเกมได้เร็วขึ้น ถัดไปเป็น Port HDMI 2.1 โดยที่รองรับความละเอียดระดับ 4K 120 FPS หรือ 8K 30 FPS ได้เลย และสุดท้าย คือช่องสำหรับเสียบไฟเลี้ยงกับสายที่เขาให้มาในกล่อง
ส่วนด้านหน้าของตัวเครื่องเอง เราจะเห็นรูด้านขวาของตัวเครื่องอันนี้เราซื้อแบบใส่แผ่นมา เพราะเราเป็นพวกชอบเก็บแผ่น แต่ถ้าเลือกซื้อแบบ Digital Download ก็จะมีรูตรงนี้ ส่วนตรงกลางเป็นพลาสติกแบบดำเงา อันนี้เราไม่ค่อยชอบเลย เพราะมันน่าจะเป็นรอยง่ายมาก ๆ เผลอ ๆ เราว่าเอาผ้าธรรมดามาเช็ดฝุ่นก็น่าจะเจอรอยขนแมวแล้วละ ไม่ดีในระยะยาวเลย และ Port การเชื่อมต่อด้านหน้า ก็จะมี USB-A และ USB-C อย่างละ Port แต่เราไม่รู้ว่ามันเป็น USB Version ไหน เพราะมันไม่ได้ใส่สีฟ้ามา น่าจะเป็น USB3 แหละ แต่ทำสีดำเพื่อให้มันเข้ากับตัวเครื่อง
ด้านล่าง จะเป็นปุ่มที่มีความยาวต่างกัน ปุ่มสั้นจะเป็นปุ่มสำหรับเอาแผ่นออก โดยที่มันจะมีการปั้มนูนเป็น Icon อยู่ว่ามันคือปุ่มอะไร แต่เวลาใช้งานจริง ๆ เราจะมองไม่เห็นเลยนะ มันเล็กมาก เอาจริง ๆ ตอนแกะออกมา เราก็ไม่เห็นเลย ถ้าไม่ถ่ายรีวิวเราก็ไม่รู้มาก่อน และปุ่มด้านล่างเป็นปุ่ม Power สำหรับเปิดเครื่องนั่นเอง ถ้าใช้แบบ Digital Download ก็น่าจะไม่มีปัญหานี้หรอก เพราะมันจะเหลือปุ่มเดียว
สำหรับ Controller ของ PS5 ทาง Sony เรียกว่า DualSense ตัวมันทำมาใหญ่ขึ้นกว่า Controller ของ PS4 มาก พอจับแล้ว รู้สึกถนัดมือมากกว่าเยอะ ตอน PS4 เราจับแล้วเหมือนมันเล็ก ๆ แปลก ๆ เล่นไม่ค่อยถนัด อันนี้ดีขึ้นเยอะมาก
ตัววัสดุของมันทำมาจากพลาสติกที่ จับแล้วไม่ได้รู้สึกแก๊ง ๆ เหมือน PS4 เลยจับแล้วแน่นรู้สึกถึงความหรูหรามากขึ้น กับการทำมาให้เป็นสีขาว เข้ากับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี ส่วนพวกปุ่มสำหรับควบคุมก็ยังคง Layout เหมือนเดิม ทำให้คนที่เล่นพวก PS4 มาก่อน ก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่พอกดลงไปมันแน่น ๆ ไม่ดูก๊องแก๊งมาก ๆ ไม่น่าพังง่าย ๆ
ในรูปไม่น่าจะเห็นแหละ ลองไปหาดูของรีวิวเจ้าอื่น ๆ ดูได้ ที่ผิวของมันจะเป็นลายพวก สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม จากปุ่มใน Controller เล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด สร้าง Texture ได้ดี เหมือนกับที่ตัวเครื่องส่วนที่เป็นสีขาว ก็จะเป็น Texture แบบนี้เช่นกัน เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เห็นได้ยาก แต่ Sony ก็ใส่ใจมันมาก อันนี้เราชอบ
ด้านบน เป็นพวกปุ่ม R1 R2 L1 L2 สำหรับควบคุมเกม ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนอย่างแรง เลยคือ Adaptive Trigger ที่มันสามารถสร้างแรงต้านในการกดได้ ทำให้นักพัฒนาเกม สามารถเอา Feature นี้ไปทำใน Gameplay ได้สนุกขึ้น เช่น การเล็งปืน เราอาจจะกด R1 แล้วมันจะมีกรึกนึงที่ฝืด ทำให้มันสมจริงมากขึ้นก็ได้เหมือนกัน และสุดท้ายคือ Port USB-C สำหรับการเสียบชาร์จแล้ว อันนี้ดีมากที่เปลี่ยนสักที
นอกจากนั้นอีก Feature ที่เราชอบมาก ๆ คือ Haptic Feedback ที่จากเดิม Controller ของ PS4 มันทำได้แค่สั่นธรรมดาอย่างเดียว แต่พอมาเป็น DualSense มันสั่นไม่เท่ากันใน Controller เพื่อให้เรารู้ทิศทางต่าง ๆ ประกอบกับลำโพงที่ตัว Controller อีก รวมกัน มันเลยทำให้เราอินกับตัวเกมได้มากขึ้นไปอีก แต่ก็นะ ต้องรอผู้พัฒนาเกม ออกแบบมาให้รองรับด้วย
ในตัว Software เองก็ออกแบบมาให้ร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงรูปแบบของเมนูเดิมอยู่ ทำให้ผู้ที่เล่น PS4 มาก่อน ไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่เลย อันนี้เราก็ไม่รู้จะ Comment ยังไงเหมือนกัน เพราะปกติเอง เราก็ไม่ได้กดเข้าไปทำอะไรใน Interface มันมากเท่าไหร่ นอกจากการใส่แผ่น ลงเกม และ เล่นเกมเท่านั้นเอง แต่รวม ๆ แล้ว เราก็ชอบนะ มันดูดีขึ้นเยอะมาก อาจจะเพราะว่าเราเทียบกับ PS4 ซึ่งมันออกแบบมาหลายปีแล้วก็ได้
เรื่องนี้หลาย ๆ เจ้าอาจจะไม่ได้รีวิวกัน แต่พอเราลองเล่นเกมไป เรารู้สึกว่า มันร้อนกว่า PS4 Pro ตัวก่อนที่ใช้อยู่ ถ้าเราไม่ได้ใช้ในที่ปิด เราว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรเท่าไหร่ แต่เราเอาเครื่องทั้งหมดใส่ลงไปในตู้ปิด พอเวลาเราเล่นเกมนาน ๆ เข้าอุณหภูมิในตู้มันสูงมาก ๆ ด้านนอกประมาณ 24 ปลาย ๆ แต่ในตู้เกือบ 60 องศาเลย ถือว่าสูงมาก ๆ จนน่ากลัว เราเลยต้องเปิดตู้ตอนเล่น กลัวเครื่องมันจะ Overheat ไปก่อน
ไหน ๆ ก็ซื้อมาพร้อมกับ PS5 แล้ว เราเอามาเล่าสักนิดละกัน ตัว X90H เป็นทีวีจาก Sony ที่ใช้ Panel แบบ LED อยู่ ไม่ได้เป็น OLED เหมือนพวก A9 กับ A8 ภาพที่ได้ความ Dynamic Range อาจจะสู้ไม่ได้ ด้วยเรื่องของเทคโนโลยี แต่ตัว X90H มันไม่ได้เป็น LED ธรรมดา
มันใช้เทคโนโลยีของ Sony เองที่เรียกว่า Full-Array LED จากเดิมใน LED ปกติ มันจะส่องแสงจากขอบ ทำให้ทั้งจอก็จะส่องสว่างเท่ากัน ส่วนมืดก็จะไม่มืดสนิทเหมือนใน OLED แต่ราคาถูกกว่าเยอะ แต่ด้วย Full-Array LED เขาแยกส่วนที่ส่องสว่างออกมาเป็นหลาย ๆ โซน ที่ทำงานเป็นอิสระต่อกัน ทำให้ส่วนที่มืดก็จะมืดกว่าเดิมเยอะมาก
นอกจากนั้นเรื่องภาพก็ยังรองรับ Netflix Calibreated Mode เหมือนในตระกูล OLED ที่ทำให้เราได้สีเหมือนที่ผู้กำกับต้องการ พร้อมกับรองรับมาตรฐาน Dolby Vision ที่ให้สีจำนวนมากกว่าทีวีที่รองรับ HDR10 เยอะมาก
เรื่องของเสียงเองก็ไม่ได้แย่เลย ถึงจะเป็นลำโพงทีวีก็ตาม ด้วย X-Balanced Speaker ที่พยายามลดข้อจำกัดของ ลำโพงแบบวงรีที่ต้องลดความดังลง เพื่อให้รองรับกับทีวีที่บางลง ทำให้เรายังได้ทีวีที่มีความบาง แต่ก็ยังคงเสียงที่คุณภาพดีอยู่ได้
ไหน ๆ มันก็รองรับ Dolby Vision แล้ว มันก็ยังรองรับ Dolby Atmos ด้วยในตัว ที่ทำให้เราดื่มด่ำกับความ Surround แบบรอบทิศทางแบบจริง ๆ เลย
และในที่สุด Remote TV ของรุ่น LED ก็เปลี่ยนมาใช้เป็น Remote แบบใหม่สักทีแบบเดียวกับพวก A9G เป็นต้นไป ตัว Remote ทำมาได้บางลง จับถนัดมือมากขึ้น ดู Premium มากขึ้นมาก สำหรับคนที่มี Remote เดิมอยู่ ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ อันนี้รู้โดยบังเอิญเลย ตอนที่หยิบ Remote ผิด ฮ่า ๆ
ประสบการณ์การใช้งาน เรื่องภาพเราว่ามันดีขึ้นมาก ๆ ดีกว่าเครื่องเก่าที่เป็น LED แบบปกติไปไกลเลย โดยเฉพาะเวลาที่เราดู Content ที่เป็น HDR มาก ๆ ดูเทียบกันคือเห็นความต่างเลย แต่ก็ไม่ได้ว้าวเท่ากับ OLED อย่าง A9G ที่ใช้อยู่ แต่ถ้าเทียบกับราคาถือว่า เรื่องภาพดีมาก ๆ เลย ถ้างบไม่ถึง OLED ตัวที่เป็น Full-Array LED ก็เอาอยู่แล้ว
เรื่องเสียงเองถึงจะเป็นลำโพงในตัวเครื่องเอง ก็ทำมาได้กระหึ่มมาก ๆ ถ้าเราใช้ในห้องที่ไม่ใหญ่มาก อย่างการใช้งานของเราเอาไว้ในห้องเล่นเกม ที่ขนาดเล็กมาก ๆ นั่งห่างจากจอประมาณเมตรกว่า ๆ ก็ได้เสียงที่กระหึ่ม เปิดประมาณครึ่งเดียวเอง ก็มันส์แล้ว ส่วนการถอดรหัสเสียงแบบ Dolby Atmos ก็ทำได้ ถ้าเราเปิด Content ที่รองรับ แต่เสียงที่ออกมา ก็พอทำได้อยู่ พวกเสียงด้านบน และ รอบ ๆ ออกมาได้บาง ๆ จนเกือบจะหายไปเลย หลัก ๆ คือ พอได้ แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์ที่ดีสุด ๆ จริง ๆ ก็ยังคงแนะนำให้ใช้ Sound Bar ที่รองรับ Dolby Atmos อยู่ดี
ตัว Software เองก็เป็น Android TV ที่ทำให้เราเข้าถึง Content ต่าง ๆ ได้มากมาย อันนี้ก็จะไม่ต่างจาก Android TV รุ่นอื่น ๆ จาก Sony ที่รองรับทั้ง Google Chromecast และยังรองรับ Apple AirPlay สำหรับ Apple Device ด้วย และยังเป็น Android TV รุ่นแรก ๆ จาก Sony ที่สามารถเข้าถึง Content ของ Apple TV ได้ด้วย ตัว Sony A9G เรายังทำไม่ได้เลย ขนาดเป็น OLED แพงกว่าเยอะนะ มุแง้
เรื่องที่อยากจะติก็น่าจะเป็นเรื่องของ Image Processor ของมันนั่นแหละ Sony X90H มันจะมาพร้อมกับ X1 ธรรมดา แต่พวก X95H ขึ้นไปจะเป็น X1 Ultimate เหมือนกับพี่ ๆ ที่เป็น OLED ที่ให้ภาพที่มันสามารถ Remaster และจัดการกับ Noise ได้ดีกว่ามาก แต่ถ้าเราไปดู X95H แทน มันก็จะไม่รองรับ 4K 120 Hz ทำให้ถ้าเราอยากเล่น PS5 ได้เต็ม 4K 120 Hz จริง ๆ เราก็ต้องยอมเล่น X90H ที่ใช้ Processor X1 รุ่นเก่า
การจับคู่ระหว่าง PlayStation 5 และ Sony X90H เป็น Combination ที่ดีมาก ๆ ตัวเครื่อง PS5 ที่ออกแบบมาให้เป็นเครื่องเล่นเกมใน Generation ต่อไปรองรับ Graphic ที่สูงขึ้น มาพร้อมกับ SSD ที่สร้างมาตรฐานใหม่ของการออกแบบเกม ทำให้นักพัฒนาเกมใส่อะไรลงมาในเกมได้มากขึ้น มีรายละเอียดที่สูงขึ้น พร้อมกับรองรับ Framerate ระดับ 120 Hz ที่ต้องใช้กับทีวีที่รองรับมาตรฐาน HDMI 2.1 ที่ทำให้มันเข้ากับ Sony X90H ที่เป็นทีวีแบบ Full-Panel LED ทำให้เราได้ภาพที่มี Dynamic Range สูงกว่า LED ปกติมาก พร้อมกับเรื่องเสียงที่กระหึ่ม รองรับ Dolby Atmos ทำให้เราได้รับเสียงรอบทิศทางใน Content ที่รองรับ ได้อรรถรสเต็มรูปแบบทั้งการเล่นเกม และดูหนังไปเลย ถ้าใครกำกำลังมองหาเครื่องเล่นเกมพร้อมทีวี ก็จัดเลย Combination นี้เลยแจ่ม !!!
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...
อีกหนึ่งรีวิวที่หลาย ๆ คนถามเข้ามากันเยอะมาก นั่นคือ รีวิวของ iPhone 16 Pro Max วันนี้เราได้เครื่องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งาน จับข้อสังเกตต่าง ๆ รวมไปถึงตอบคำถามที่สำคัญว่า iPhone รุ่นนี้เหมาะกับใคร...