By Arnon Puitrakul - 21 มิถุนายน 2020
ไฟตั้งโต๊ะ ถือว่าเป็นไอเทมที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับการทำงานบนโต๊ะเลยก็ว่าได้ แสงสว่างที่พอเหมาะทำให้เราไม่ต้องเพ่งสายตาตอนที่เราทำงาน มันก็เหมือนการป้องกันปัญหาสายตาต่าง ๆ ที่อาจจะตามมา (เมื่อก่อนเราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ สุดท้ายเปลี่ยนแว่นรัว ๆ เลยเจ้าค่ะ) วันนี้เราจะมารีวิว โคมไฟตั้งโต๊ะกันกับ Dyson Lightcycle Desk ในราคาเกือบ 2 หมื่น บ้าไปแล้ว จะเป็นยังไง และ คุ้มมั้ย เราลองไปดูกัน
ไปดูที่ส่วนของโคมกันก่อนเลย ถ้าเรามองดี ๆ ที่ทั้ง 2 ด้านของส่วนหัวก่อนถึงโคม เราจะเห็น Icon ทั้งหมด 3 อัน ซึ่งข้าง ๆ เขาก็มีเขียนไว้หมดแล้วละว่ามันคืออะไรบ้าง ไล่จากซ้ายไปขวา ง่าย ๆ คือ ปุ่มปรับแสง Auto มันจะปรับแสงตามสภาพแสงแบบอัตโนมัติ มันคืออะไรไว้บอกอีกที ถัดไปคือเป็น Sensor ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ถ้าไม่มีใครอยู่ใน 2 นาที มันจะปิดตัวเอง และเปิดตัวเองเมื่อมีคนกลับมาใช้งาน และสุดท้ายคือปุ่มสำหรับ Sync เวลากับ App Dyson Link
ตอนแรกที่แกะออกมา นึกว่าที่ Icon ทั้ง 3 อันคือปุ่มแบบสัมผัส อ่อ เปล่า ปุ่มมันอยู่ด้านล่างทั้งหมดเลย ส่วนตุ่มขาว ๆ ใหญ่ ๆ ที่สุด มันเป็น Motion Sensor สำหรับการเปิดปิดไฟเองนั่นเอง
ส่วนที่ตัวหลอดจริง ๆ เขาจะมีการเอาพวกวัสดุมาปิดไว้เพื่อให้แสงมันนุ่มขึ้น ซึ่งมันจะมากับหลอด LED จำนวน 6 หลอด โดยแบ่งเป็น 3 หลอดสำหรับโทนอุ่น และอีก 3 หลอดสำหรับโทนเย็น โดยที่ Dyson บอกว่า หลอดนี้มันมีอายุยืดนานถึง 60 ปี ใช้ยันแก่เลยทีเดียว
ที่ด้านบน นี่สิ Switch แบบสัมผัสจริง ๆ บนสุด จะเป็นปุ่มเปิดปิด ลงมาหน่อยจะเป็นปุ่มสำหรับปรับความเข้มแสงเอง และสุดท้ายจะเป็นปุ่มปรับอุณภหูมิแสง โดยที่ปุ่มปรับความเข้มของแสง และ อุณหภูมิของแสง การปรับเราก็เอานิ้วเราเลื่อนขึ้นลงได้เลย การวางตำแหน่งแบบนี้ ทำให้เวลาเราใช้งานปุ่ม 3 ปุ่มด้านล่าง บางที มือเราอาจจะไปโดน Function ด้านบนก็ได้ แต่การใช้งานจริง ๆ คือ ส่วนใหญ่แล้ว เราก็ใช้ Auto ตลอด กับไฟมันเปิดปิดเองได้ เราก็เลยไม่ค่อยได้ยุ่งกับพวกปุ่มทั้งหมดเลยสักเท่าไหร่
สำหรับก้านของมัน เราจะเห็นว่า เอ๊ะ ทำไมสีมันไม่เหมือนกับส่วนอื่นเลย อันนี้เป็นระบบระบายความร้อนให้กับหลอด ทำให้หลอดมีอายุยาวถึง 60 ปีกันไปเลย ซึ่งเวลาใช้งานจริง ๆ ถ้าเราลองจับดู มันจะรู้สึกอุ่น ๆ นิด ๆ เลย นั่นเพราะมันใช้ทั้งส่วนหัวของมันเลยในการระบายความร้อน แต่ไม่ได้ร้อนจนจับไม่ได้นะ จริง ๆ ไม่ถึงกับอุ่นด้วยซ้ำ ร้อนแบบนิ๊ดดดดดด เดียวเลย
ส่วนที่เสาหลัก มันจะมี USB-C Port แอบอยู่สำหรับการชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ถ้าเราวางข้างเตียง เราก็เอาสายชาร์จโทรศัพท์เสียบไว้ก็ได้ หรือถ้าเราเอาไว้บนโต๊ะทำงานก็อาจจะเป็น ช่องสำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ที่อยู่บนโต๊ะก็ได้เหมือนกัน คือรู้สึกได้เลยว่า เขาคิดมาเยอะจริง ๆ
สำหรับการปรับมุมต่าง ๆ มันจะทำได้ทั้งหมด 3 แกนด้วยกันคือ หมุนได้รอบทิศ 360 องศา ตามในรูปด้านบน และ เลื่อนเข้าออกได้อีก
และสุดท้ายคือเลื่อนขึ้นลง เห็นมันล้อ ๆ แล้วคิดว่า มันจะไม่อยู่ใช่ม่ะ มันอยู่จริง ๆ คือ เราปรับความสูงขึ้นลงได้ทุกระดับเลย ไม่ได้มาเป็นล๊อค ๆ อะไรเลยนะ แต่เวลาปรับจริง ๆ เพื่อให้แจ่ม เขาทำที่จับให้เราเลื่อนขึ้นลงมาแล้วอยู่ที่ขา เราก็จับแล้วเลื่อนขึ้นลงได้เลย มันออกแบบมาดีมาก และเป็นความเจ๋งทางวิศวกรรม ที่ออกแบบกลไกได้น่าสนใจมาก สิ่งที่มันต่างจากโคมไฟอื่น ๆ ที่เราหาซื้อได้คือ มันหงายขึ้นไม่ได้เท่านั้นแหละ
ส่วนเรื่องของ Motion Sensor ที่เราว่า มันเปิดปิดไฟเอง เราว่ามันเจ๋งมาก ๆ เมื่อเราเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ มันก็เปิดเอง พอเราเดินออกไปสักพัก มันก็ปิดเอง พอรวมกับโหมด Auto ของตัวไฟแล้ว คือ เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน หรือสัมผัสมันเลย มันดูแลตัวเองได้ นอกเสียจากเราต้องการปรับระดับต่าง ๆ ที่เรายังต้องใช้มือปรับอยู่
สำหรับหน้าแรกของโคมไฟเรา มันก็จะแสดงโหมดการทำงานปัจจุบัน เช่นตอนนี้เราใช้โหมด Synchronised คือ มันก็จะปรับแสงตามแสงธรรมชาติ ที่เราเปิดไปตอนตั้งค่า เมื่อเรากดที่ตรงปุ่มสำหรับปรับสี และ ความเข้ม มันก็จะมีหน้าต่างขึ้นมา หรือถ้าเรากดที่ปุ่มดำ ๆ ด้านล่างของหน้าจอ มันก็จะแสดงหน้าต่างสำหรับการปรับโหมดการใช้งานให้เรา
โดยที่หน้าการปรับแสง เราสามารถที่จะปรับอุณหภูมิของแสง และ ความเข้มของแสงเองได้ พร้อมกับกด Boost เพื่อเร่งแสงให้แรง ๆ ได้ชั่วคราว 20 นาทีที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ ถ้าเราปรับอะไรในหน้านี้ เมื่อเรากลับไปหน้าแรก โหมดมันจะเปลี่ยนเป็น Manual ทันที
กับหน้าสำหรับเลือกโหมดการใช้งาน Dyson ก็มี Preset พื้นฐานมาให้เราถึง 4 โหมดตามการใช้งานคือ Synchronised อันนี้อธิบายไปแล้ว, Study สำหรับใช้อ่านหนังสือ, Relax เป็นแสงสีส้มอ่อน ๆ สำหรับการผ่อนคลาย และ สุดท้าย Precision มันจะเป็นไฟขาว ที่เข้มสุด สำหรับการทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน นอกจากนั้น เราก็ยังสามารถที่จะสร้าง Mode การใช้งานต่าง ๆ ของเราขึ้นมาเองได้อีกด้วย
ใน Settings ของไฟใน App มีการตั้งค่าได้ละเอียดมาก ๆ อันนึงที่เราว่าไฟไหนก็ไม่มีคือ การที่มันปรับแสงตามอายุของเรา เพราะเมื่อเราแก่ตัวลง พวกกระจกตา อวัยวะที่เกี่ยวของกับการมองเห็นเราก็จะเสื่อมลงเป็นปกติ ทำให้เราอาจจะต้องใช้แสงมากขึ้นในการจะทำอะไรต่ออะไร โดยที่ไฟตัวนี้เราสามารถที่จะบอกอายุของเราเพื่อให้ไฟมันจัดการปรับแสงให้เข้ากับอายุของเราได้ด้วย อันนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ส่วนที่เหลือใน App จะเป็นเรื่องของการทำ Scheduling ที่เจ๋งมาก ๆ เช่นพวก Wake Up Mode ที่จะค่อยปรับแสง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าการที่อยู่ ๆ ไฟเปิดแสงจ้าตอนเราตื่นนอนมา มันก็จะแสบตา ไม่สดชื่น กับ Sleep Mode ที่จะปรับ ค่าเริ่มต้นเมื่อเราเปิดไฟให้มีความนุ่ม และ อุ่นขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมเราก่อนที่เราจะนอนนั่นเอง
**ส่วนนี้เราเขียนเพิ่ม หลังจากใช้งานมาแล้วประมาณ ปีกว่า ๆ**
เรื่องมันมีอยู่ว่า ในบ้านหลังที่เราอยู่ มีโคมไฟรุ่นนี้เลยทั้งหมด 2 ตัวด้วยกัน สิ่งที่พบคือ ไฟไม่เปิดเองตอนที่เราเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ และเปิดไปแปบ ๆ มันก็ปิดเอง ดูเหมือนมีปัญหากับ Software เลย ก็เลยเออ มันคงกำลังแก้ปัญหาแหละเลยไม่ได้อะไรกับเขา แต่นาน ๆ เขา มันก็ไม่หายสักที จนวันนึงก็ไม่ไหวละ เอาไปศูนย์เลยละกัน ปรากฏว่า Adpater จ่ายไฟตัวนี้แหละ คืออตัวปัญหา ทางศูนย์เลยเคลม Adapter ใหม่มาให้ ก็ใช้ได้เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆ เลย
ตอนที่ไปศูนย์ก็ถาม พนง ว่า มันได้ด้วยเหรอ เขาบอกว่า มีหลายเคสเหมือนกันที่เอาโคมไฟรุ่นนี้เข้ามาใช้บริการ ส่วนใหญ่มาในอาการเดียวกับเราเลย ก็เปลี่ยน Adapter ก็หายเหมือนกัน พนง บอกต่อว่า ส่วนนึงต้องเช็คตัวปลั๊กด้วย เพราะบางที มันอาจจะเกิดจากปลั๊กพ่วงที่เสียบแล้วมันอาจจะหลวม ๆ แล้วช๊อต ๆ อยู่แบบนี้ไปนาน ๆ มันก็ออาจจะทำให้มีปัญหาได้ แต่เราก็ งง มาก ๆ เพราะเรารู้ว่าโคมไฟนี่ มันแพงจัด ๆ เลย เราไม่ให้มันพังแน่นอน เราเลยเสียบเข้ากับ UPS ของคอมพิวเตอร์เลย ทำให้โคมไฟตัวนี้ แม้แต่ไฟกระชากมันก็ไม่เคยได้สัมผัส ปลั๊กก็เสียบแน่นดี เลย งง ว่า เอ๊ะ มันไม่น่าจะใช่ปลั๊กกับระบบไฟของเราแล้วนะ ส่วนโคมอีกตัวที่เจออาการเดียวกัน อันนี้ก็พูดยาก เพราะที่บ้านเคยมีไฟกระชากหลายครั้งอยู่ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน เราก็แนะนำให้เช็คเรื่องปลั๊กดี ๆ ละกัน
สำหรับในเรื่องของการใช้งานจริง ๆ เราว่ามันเป็นโคมไฟที่สวยโคตร ๆ เราชอบ Design ของ Dyson มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แค่บ่จี๊ และ ไม่ค่อยได้เอาเข้ามาขายในไทยเท่านั้นแหละ ฮ่า ๆ
ในแง่ของการใช้งานจริงเราว่ามันเป็นโคมไฟที่ Practical ในแง่ของการใช้งานมาก เพราะเราสามารถปรับมันขึ้น เพื่อให้แสงสว่างกว้าง ๆ บนโต๊ะทำงานของเราได้ และเมื่อเราต้องการที่จะทำงานที่มันต้องใช้แสงเยอะ ๆ อย่างการประกอบของบางอย่าง เราก็เลื่อนไฟให้ต่ำลง มันก็จะ Condense แสงไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้เลย ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้นมาก ต่างจากไฟอื่น ๆ ที่อาจจะทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะกลไกในการปรับมันไม่เหมือนกัน
Motion Sensor ที่ตอนแรก ก็เออ จะมีมาทำไม เราปิดเปิดเองได้ แต่พอได้มาใช้งานจริง ๆ เออ มันควรมีจริง ๆ นะ พอมันมี แล้วมันเปิดปิดเองได้แล้ว มันสะดวกขึ้นมาก นอกจากนั้น มันเหมือนเป็นการบังคับให้เราเปิดไฟตลอดเวลาเราใช้งานโต๊ะ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะได้รับแสงสว่างที่เพียงพอสำหรับการทำงาน ไม่เสียสายตา
ด้วยการที่มันสามารถปรับสภาพแสงเองได้ มันช่วยทำให้ลดอาการปวดตาของเราได้เป็นอย่างดีมาก ๆ เพราะปกติ เวลาเราใช้งานคอมพิวเตอร์แปบเดียวเท่านั้นแหละ เราจะเจอกับอาการปวดตา แต่อันนี้น้อยลงมาก ทำให้เขาใจเลยว่า แสงสว่างที่เพียงพอในห้องทำงานมันสำคัญมากขนาดไหน แถมเมื่อเราลุกขึ้นมา จะเดินไปมา เราจะไม่เจออาการที่แสบตา เมื่อเรามองออกไปนอกบ้านด้วย เพราะแสงจากโคมไฟมันปรับมาให้คล้ายกับแสงธรรมชาติให้มากที่สุดนั่นเอง
ไปที่คำถามสุดท้ายว่ามันคุ้มมั้ย เราก็บอกเลยว่า คุ้มอยู่นะ เพราะในราคาเกือบ 20k ที่ Central เอาเข้ามาขายในประเทศไทย เราได้ Design ที่โคตรสวย หลอดที่อยู่ได้นานถึง 60 ปี และ การ Customise กับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ แล้ว เราว่าถ้าคิดว่าต้องทำงานบนโต๊ะทำงานวันละนาน ๆ เราว่ามันก็น่าลงทุนมาก ๆ ช่วยเรื่องความเหนื่อยล้า และ รักษาตาของเรา กับถ้ามีเงินก็ซื้อมาเล่นได้ เราว่ายังไง ๆ มันก็คุ้ม แต่ถามว่าจำเป็นต้องซื้อมั้ย ก็ไม่นะ คือถ้าเราทำโต๊ะแบบ Value หน่อยก็ไม่แนะนำ
Dyson Lightcycle Desk เป็นไฟตั้งโต๊ะที่สามารถปรับแสงได้ตามช่วงเวลาของวัน พร้อมกับ Bluetooth ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับ App Dyson Link สำหรับการควบคุม กับการเปลี่ยนโหมดที่ละเอียดมากขึ้น มี Motion Sensor ที่จะคอยตรวจจับการเคลื่อนไหวสำหรับการปิดเปิดอัตโนมัติเพื่อช่วยในการประหยัดพลังงาน และหลอด LED สำหรับให้แสงสว่างถึง 6 หลอดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการระบายความร้อนเฉพาะของ Dyson ที่ทำให้มันอายุยืนถึง 60 ปีกันไปเลย ทั้งหมดนี้สงวนราคาอยู่ที่ 18,900 บาท ไปลองดูกันได้ที่ Dyson Demo สาขาต่าง ๆ หรือสั่ง Online ผ่าน Central Online ได้เลย และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้จ่าย เราไม่ได้จ่าย แต่แม่จ่าย ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ถ้า Sponsor จะเข้า จ่ายให้เราก็ยินดี ~
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...