By Arnon Puitrakul - 11 กันยายน 2023
ก่อนหน้านี้ เราตามหากล้องสำหรับการถ่ายพวก Vlog อยู่หลาย Setup มาก แต่ก็ยังติดนั่นติดนี่อยู่เยอะ เช่น Setup ขนาดใหญ่ ทำให้คนมอง หรือโดนไล่เวลาถ่ายอยู่หลาย ๆ รอบ หรือ Setup ที่ยุ่งยาก ควักขึ้นมาถ่ายที โอ้ย กว่าจะ Setup เสร็จ เหตุการณ์มันผ่านไปละ จนเราไปงานมาล่าสุด ไปเจอกับเจ้า DJI Pocket 2 นี่แหละ เลยจัดการกดมาเลย วันนี้ได้ลองใช้หน่อย ๆ ละ จะเอามารีวิวให้ทุกคนดูกันว่าทำไมมันถึงเป็นกล้องคู่ใจสาย Content Creator เลย
ปล. รีวิวนี้ยาวมาก เพราะอุปกรณ์เสริมมันเยอะมาก ๆ ถ้าอยากรู้คุณภาพให้เลื่อนลงไปล่าง ๆ เลย
เริ่มที่ตัวกล่องกันก่อน ตัวกล่องเป็นกล่องกระดาษง่าย ๆ เลยแต่มีการพิมพ์มาค่อนข้างดีเลย สวนทางกับ Brand อื่น ๆ ไปเยอะมาก โดยด้านหน้ากล่อง เขาจะเขียนไว้เลยว่าเป็น DJI Pocket 2 Creator Combo ถ้าเราไปซื้อ Pocket 2 มันจะมี 2 แบบด้วยกันคือ ตัวธรรมดา และ Creator Combo โดยมันจะเพิ่มพวกอุปกรณ์เสริมหลาย ๆ อย่างที่จำเป็นกับการทำงานมาให้เราในตัวเลย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม เดี๋ยวไปดูกันว่า มันมีอะไรงอกออกมาบ้าง
ด้านข้างนึง ก็จะเป็น Logo ของ DJI พิมพ์ดำมาอย่างสวย ดู Sport มาก ๆ
ด้านข้างอีกข้าง จะบอกว่า ในกล่องมันมีอะไรบ้าง คือ เยอะมาก ๆ เดี๋ยวเราจะมาเล่าทีละอันเลย แต่ถ้าเราซื้อเป็นตัวธรรมดา มันก็จะมีอุปกรณ์มาประมาณนึงที่จำเป็น แน่นอนว่า เราสามารถซื้อเพิ่มได้เหมือนกัน (แต่ราคามันจะแพงกว่า)
ปกติ ด้านหลัง มันจะบอกพวกสรรพคุณของอุปกรณ์นั่นนี่ แต่สำหรับ Dji Pocket 2 ไม่ได้ทำแบบนั้นเลย กลายเป็นบอกเรื่อง DJI Care หรือก็คือ ประกัน ซึ่งเราซื้อกับทาง Big Camera เขาก็ถามว่าเราจะกดประกันเพิ่มมั้ย ตัวของมันจะมาพร้อมกับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเราจ่ายเพิ่มมันจะกลายเป็น 3 ปีอะไรนี่แหละ แน่นอนว่า เราก็กดไปละกัน มันพันนิด ๆ เท่านั้นเอง
ด้านใต้กล่อง ก็จะเป็นพวกรายละเอียดเช่นพวก Serial Number ต่าง ๆ จะสังเกตว่า เขาจะเขียนไว้เลยว่า มันคือ Creator Combo เลย แบบสวย ๆ
และสุดท้าย ด้านบนกล่อง ไม่มีอะไร นอกจาก ที่แขวน คิดว่ากะฟิล ๆ แขวนอยู่บน Best Buy ห้อยเป็นนางตู้แน่ ๆ เลย
เปิดกล่องออกมา เราจะพบกับตัวเครื่องห่ออยู่ในกล่องเลย ส่วนด้านซ้าย เขาจะปริ้นเป็นวิธีการเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์ของเรา เพราะครั้งแรกเมื่อเราเปิดเครื่อง เราจะต้อง Activate ตัวเครื่องเข้ากับ DJI Account ของเรา ตอนนั้นที่ร้านเขาก็ทำให้ ก็ไม่ได้ยากอะไรนะ ทำเองที่บ้านได้
เมื่อเราเอาตัวเครื่องออกมา เราจะเห็นว่า กล่องข้าง ๆ เขาจะมีเป็นเหมือนฟองน้ำสำหรับทำให้ตัวเครื่องมันแน่น ๆ ไม่ขยับเวลาขนส่ง ลดโอกาสที่มันจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้ดีมาก ๆ
โดยตัวกล่อง เขาจะมีรูไว้ เราไม่แน่ใจนะว่า เขาเอามาทำอะไร แต่เราเดาว่า น่าจะมาให้เราเอานิ้วแหย่เข้าไปเพื่อดึงกล่องออกมาละมั้งนะ
ภายในกล่อง มันก็จะประกอบด้วย พวกอุปกรณ์เสริมเยอะมาก ๆ
ใต้กล่อง เขาก็จะเป็นกล่องสำหรับพวก Paperwork ต่าง ๆ เหมือนกับกล่องอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปเลย
หลัก ๆ ก็จะเป็นพวก คู่มือการใช้งานต่าง ๆ แน่นอนว่า เราคนไทย เราอ่านหนังสือกันน้อย เราก็จะข้ามไปไม่อ่าน บรัยยย
หากคิดว่า คุณเอากล่อง Paperwork ออกมาแล้วและมันจะหมดแล้ว แต่ไม่ ใต้กล่อง Paperwork เขาจะมีพวก อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อยู่อีก เพราะเราเป็น Creator Combo ยังไงล๊า
หลัก ๆ ในกล่อง ก็จะมีของประมาณนี้เลย ถือว่าเยอะมาก ๆ นะ สำหรับกล่องเล็ก ๆ กล่องนึง พวกอุปกรณ์เสริมบอกเลยว่า เยอะมาก ๆ ลายตาไปหมด เดี๋ยวเราค่อย ๆ ไปดูกันทีละอย่าง
น้องเขาเป็นกล้องที่ขนาดเล็กมาก ๆ ด้านหน้า มันจะเป็นพวกส่วนของหน้าจอ และ ปุ่มควบคุมต่าง ๆ ด้านบน จะเป็นกล้องที่อยู่บน Gimbal
ถัดลงมาจากจอ เราจะเห็นปุ่ม 2 ปุ่ม เป็นปุ่มสำหรับการกดอัดวีดีโอหรือถ่ายรูป และ ปุ่มสำหรับการเปลี่ยนโหมด โดยเราสามารถที่จะตั้งได้ด้วยว่า เราจะให้มันกดสลับเป็นโหมดอะไรได้บ้าง ด้านบนของปุ่ม เราจะเห็นไฟเล็ก ๆ อยู่เป็นไฟแสดงสถานะของการอัด หรือการชาร์จ และ รูข้าง ๆ จะเป็นหนึ่งในสี่ Microphone ของ Pocket 2
ด้านบนที่เราเห็นว่าเป็นช่องอะไรแปลก ๆ มันคือช่องที่เราสามารถเลื่อนชิ้นพลาสติกออกมาได้ จะเป็นช่องสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมที่เราเดี๋ยวเราว่าจะกันต่อไป
ส่วนจอ เมื่อเราแกะกล่องออกมาครั้งแรก เขาจะมีสติ๊กเกอร์แปะเอาไว้กันรอยระหว่างการขนส่งแหละ และมีการพิมพ์พวกปุ่มการใช้งาน เขาโอเคนะ เพราะสติ๊กเกอร์พวกนี้มันแกะยาก เขาเลยทำที่สำหรับดึงมาให้เหลือง ๆ ด้านล่างขวาของจอ
มาที่ด้านข้างขวาของ Pocket 2 ไล่จากบนลงล่างละกัน รูเล็ก ๆ ด้านบน มันจะเป็นรูสำหรับ Microphone ถัดลงมา จะเป็นปุ่มสำหรับการเปิดและปิด สุดท้าย ล่างสุดจากรูปอาจจะเห็นไม่ชัดเป็นรูสองรู เป็นรูสำหรับใส่ที่คล้องมือที่เขามีมาให้ในกล่อง
ด้านข้างซ้าย บนสุด มีรูเล็ก ๆ นั่นก็เป็นอีกหนึ่ง Microphone เช่นเดียวกัน ถัดลงมาด้านล่างเกือบสุดเลย จะเป็นช่องสำหรับการเสียบ Micro SD Card ไม่รองรับ SD Card ปกตินะ แนะนำว่า Micro SD Card ที่เลือกมาใช้ตัวดี ๆ หน่อย เพราะมันเขียนค่อนข้างหนักเหมือนกัน ยิ่งเราอัด 4K ด้วย หนักเข้าไปใหญ่
และด้านหลังไม่มีปุ่มอะไรเลย นอกจากด้านบนรูเล็ก ๆ ก็เป็น Microphone อีกเหมือนกัน ทำให้ใน Pocket 2 มี Microphone รอบทิศทางตัวมันทั้งหมด 4 ตัว ทำให้ เราสามารถที่จะเก็บเสียงเข้ามาได้แบบ Stereo กันเลยทีเดียว ไม่ว่าเราจะหันไปทางทิศไหน มันก็จะเก็บเสียงเราได้ทั้งหมด
มาที่พระเอกของเรากันดีกว่า คือตัวกล้อง อย่างที่บอกว่ามันตั้งอยู่บน Gimbal แบบ 3 แกน จุก ๆ ไปเลย เรียกว่า มันช่วยเรื่องกันสั่นแบบมหาศาลเลยละ และ แน่นอนว่า ตัวกล้องได้รับการ Upgrade มาจากรุ่นก่อนหน้า ใช้ Sensor ขนาด 1/1.7" CMOS ทำให้สามารถรับแสง และ Noise ลดลง และเลนส์ที่กว้างขึ้นกว่าตัวเดิมเป็น 93 องศา หรือประมาณเลนส์ 20mm เทียบกับตัวเก่ากว้างอยู่ 80 องศา หรือ 26mm ทำให้เรามีพื้นที่ในการยัดคนหรือวัตถุเข้าไปในฉากได้มากขึ้น หรือ ถ้าเราถ่ายตัวเอง เราจะไม่ต้องยืดแขนยาวมากละ เราจะเห็นว่า รอบ ๆ กล้อง เขาทำขอบมาเป็นสีแดงด้วย โคตรเท่เลย
เรามาดูกันดีกว่าว่า ในกล่องของ Creator Combo เขาจะมีอุปกรณ์เสริมอะไรมาบ้าง แต่เราต้องบอกก่อนนะว่า บางอย่างที่มีมาในกล่องนี้ ตัวปกติก็จะมีอยู่แล้วนะ
อย่างแรก เราขอเริ่มจากของที่ไม่ได้เรียกเสียง ว้าววว ก่อนอย่างสายคล้อง ก็ผูกเข้ากับ Pocket 2 ลดโอกาสที่เวลาเราถือถ่ายอยู่แล้วจะทำหล่น อย่างน้อยหลุดมือ มันก็ยังอยู่บนข้อมือเรา ไม่ร่วงตกชิบหาย ดูเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ได้ว้าว แต่มันจะช่วยคุณได้มหาศาลยามยาก
ชิ้นต่อไปอาจจะไม่ได้ว้าวมากกว่าเดิม คือ Tripod Mount อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ว่า ตัว Pocket 2 ไม่สามารถเสียบกับพวก Tripod ได้โดยตรง มันจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอย่างตัวนี้แหละ เราจะต้องถอดก้นเดิมของ Pocket 2 ออกแล้วใส่ตัวนี้เข้าไปแทน
ที่ด้านใต้ของมัน ก็จะเป็น Thread สำหรับให้เราหมุนเข้ากับ Tripod ปกติได้เลย สำหรับคนที่เอาไป Mount กับ Tripod ส่วนรูด้านบนจะเป็นรูสำหรับให้เราเอา USB-C ไปเสียบ แต่ข้อเสียของมันคือ เราไม่สามารถเสียบ USB-C ได้เวลาที่เรา Mount กับ Tripod อยู่ ถ้าเกิดเราถ่ายอะไรที่ยาวมาก ๆ ก็เสี่ยงที่แบตจะหมดก่อนได้ เป็นข้อเสียละกัน แต่แลกมากับความ Low-Profile มาก ๆ ขนาดไม่ได้ใหญ่กว่าท้ายอันเดิมเท่าไหร่
ตัว Connector กับโทรศัพท์ของเรา โดยในกล่อง เขาจะมีมาให้เป็น Lighting สำหรับเสียบกับพวก iPhone และ USB-C สำหรับเสียบอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น iPad หรือพวกโทรศัพท์ที่เป็นหัว USB-C
ด้านหลังของมันจะเป็น Connector สำหรับเสียบเข้ากับ Dji Pocket 2 ของเราได้เมื่อเราเชื่อมต่อกับ App DJI Mimo คือ เราสามารถทำ Live View เพื่อดู Composition อะ เราอยู่กลาง Frame หรือยังนะ กับเข้าไปตั้งค่าตัว Pocket 2 ได้ด้วย เช่นการปรับพวก Exposure, ISO หรือ กระทั่งการตั้งจุดสำหรับการทำ Active Track ก็จะทำได้ง่ายกว่าเมื่อเราทำบนจอโทรศัพท์ ดีกว่าบนจอของ Pocket 2 มาก ๆ บอกก่อนนะ อุปกรณ์มันทำงาน Standalone ได้แต่แค่การต่อโทรศัพท์มันใช้งานได้ง่ายขึ้นเฉย ๆ
โดยเราสามารถเสียบเข้ากับช่องสำหรับเสียบ Connector ได้เลย เราว่าช่องนี้ มันแอบคิดมาฉลาดมาก ๆ นะ เป็น Modular สำหรับเสียบอุปกรณ์อื่น ๆ ทดแทนได้ แต่ ๆ ปัญหาที่เราเจอกับหัวเสียบแบบนี้คือ ถ้าโทรศัพท์ของเราใส่เคส บางที มันจะเสียบไม่เข้า เช่นเราใช้เคสใสของ Apple เอง มันก็จะเสียบไม่เข้าใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ถ้าจะใช้งาน เราจะต้องเอาเคสออกก่อน เช่น เวลาเรา Activate เครื่อง เราก็เสียบไม่ได้เหมือนกัน ต้องถอดเคสเอา ซึ่งแอบรู้สึกว่าลำบากไปหน่อย
ชิ้นต่อไป อันนี้ถูกใจเรามาก ๆ เห้ย สาย USB-C มันจะเร้าใจอะไรวะ แต่เราบอกเลยว่า มันทำให้การชาร์ต Pocket 2 และ อุปกรณ์เสริมทำได้ง่ายขึ้นมาก ๆ คือ สังเกตที่หัวเสียบ USB-A 1 Port แล้วมันกลายร่างออกมาเป็น USB-C 2 Port สำหรับเวลาเราจะชาร์จ Pocket 2 และ Wireless Microphone ที่เราจะเล่าต่อไป พร้อม ๆ กัน โดยที่เราไม่ต้องเสียช่องชาร์จ 2 ช่องพกสาย 2 เส้นไงล้าาาา มันดีต่อใจมาก ๆ และเราก็ลักไก่เอามาชาร์จ Rode Wireless Go ด้วย ฮ่า ๆ
ชิ้นต่อไปคือ Mini Control Stick อันนี้ก็เป็นอีกอันที่เจ๋งมาก ๆ เราจะเห็นว่า มันมีปุ่ม 2 ปุ่ม หน้าตาไม่เหมือนกัน ทางซ้ายที่เราเห็นว่ามันเป็นปุ่มที่ใหญ่กว่า อันนี้มันสามารถที่จะเลื่อนขึ้นลงซ้ายขวาได้ และ ปุ่มขวาเป็นปุ่มธรรมดา มันทำให้เราสามารถใช้ปุ่มเลื่อน ๆ เลื่อนหมุนมุมกล้องได้ และถ้าเรากดที่ปุ่มข้าง ๆ อีกที มันจะเป็นการเปลี่ยนโหมดเป็นการซูม แล้วเราก็ใช้ปุ่มเลื่อน ๆ อันเดิมนั่นแหละ ในการกดซูมเข้าออกได้เลย
การติดตั้ง ก็คือง่ายมาก ๆ เหมือนกับ ตัวเชื่อมต่อโทรศัพท์ก่อนหน้าเลย คือ เราก็เสียบเข้ากับช่อง Connector เดียวกันนั่นแหละ แล้วตำแหน่งของมัน เราชอบมาก ๆ มันอยู่ในจุดที่เราถือแล้วควบคุมง่ายมาก ๆ เลยแหละ แต่ถ้าใครอยากให้มันสะดวกกว่านั้น DJI เขาจะมีเป็น Controller Wheel อีกตัวนึง ที่เป็นลูกกลิ้ง ๆ เลย ทำงานง่ายกว่าเดิมมาก แต่แลกมากับ Profile ที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เราเลยมองว่า ตัว Mini Control Stick น่าจะเป็น Jack-of-all-trade มาก ๆ คือเพิ่มการควบคุมทำให้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้เพิ่ม Profile ขนาดให้ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ แค่หนาขึ้นไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้นเอง
อีกชิ้นที่เราอยากนำเสนอ แล้วมันดีมาก ๆ คือ Wide-Angle Lens หรือ เลนส์มุมกว้างนั่นเอง ถึงแม้ว่า Pocket 2 จะขยายมุมของเลนส์ให้กว้างขึ้นแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า บางที เราต้องการความกว้างมากกว่านี้อีก DJI เลยบอกว่า ถ้าอยากได้นัก เราจัดให้ ทำเป็นเลนส์กว้างออกมาติดเอาละกัน
การติดตั้ง มันง่ายมาก ๆ เพราะกรอบเลนส์มันจะมีแม่เหล็กที่ทำให้เราสามารถติดกับตัว Pocket 2 ได้พอดีเป๊ะ ๆ เราใช้เสร็จ เราก็แค่ดึงออกมาง่าย ๆ แม่เหล็กมันไม่ได้แน่นมากขนาดนั้น
ตัวเลนส์อันนี้ มันจะมีกำลังย่ออยู่ที่ 0.75x ของเลนส์เดิม หรือคิดเป็นช่วง 15mm ก็ถือว่า เพียงพอมาก ๆ แล้วสำหรับการนำมาใช้ถ่ายในมุมกว้าง ๆ สามารถเอาคนมาใส่ใน Frame เราว่ามี 4-5 คนได้สบาย ๆ แล้วนะ โอเคแหละ อาจจะมีอาการ Distorted อยู่บ้าง แต่ถ้าจะเอาคนเข้ามาเยอะขนาดนั้น เราว่า มันก็ต้องยอมแหละ ฮ่า ๆ
ถัดไปคือ โคตรพ่อแห่ง อุปกรณ์เสริม Pocket 2 คือ Do-it-all Handle หรือที่จับทุกอย่าง เออ มันทุกอย่างจริ๊งงงง แต่แลกมากับ Profile ที่ยาวขึ้นเยอะมาก ๆ ภายในของมันจะเป็นพวก Wireless Module ทั้งหลาย มันทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของเราผ่าน Wireless ได้ คือ เราไม่ต้องเสียบ Connector อีกแล้ว นั่นแปลว่า เราสามารถที่จะเสียบ Mini Control Stick พร้อมกับเชื่อมต่อโทรศัพท์ได้นั่นเอง นอกจากนั้น มันยังรับสัญญาณ Wireless Microphone ได้อีก (เดี๋ยวเราจะพูดต่อไป) สุดท้าย เราจะเห็นรูดำ ๆ ล่างสุดเลย คือ ลำโพง ใช่แล้ว Pocket 2 ไม่มีลำโพงในตัว เวลาเราจะเล่นพวกไฟล์ที่เราอัดมา มันจะไม่มีเสียง เจ้านี่ก็จะทำหน้าที่เป็นลำโพงให้เราได้
การเชื่อมต่อของมัน เหมือนเดิมคือ เราเราท้ายตัวเดิมออกไปแล้วเสียบเจ้านี่เข้าไปแทน แต่เราจะเห็นว่า มันมีหัว USB-C ด้วย เพราะมันมีการรับส่งข้อมูลด้วยนะ มันไม่ใช่ที่จับธรรมดาละ
เอาเบ ๆ ก่อน คือที่ท้ายสุดของมันก็จะเป็น Thread สำหรับให้เราต่อกับ Tripod ได้แล้ว แต่เอ๊ะ Port USB-C หายไปไหนละ แล้วเราจะชาร์จยังไง
Port USB-C มันย้ายมาอยู่ด้านหลังแทน สำหรับให้เราเสียบชาร์จได้เหมือนเดิมทุกอย่าง พอมันมาแบบนี้ เลยทำให้ เราสามารถเสียบชาร์จพร้อม ๆ กับตั้งอยู่บน Tripod ได้แล้ว เป็นการแก้ปัญหาตัว Tripod Mount ตัวปกติได้เลย
นอกจากนั้น ด้านข้าง เขายังมีเป็น Jack 3.5 Combo Port คือ เราสามารถเสียบเป็นหูฟังสำหรับการ Monitor เสียงก็ได้ หรือ เราจะเสียบไมค์แบบที่เราต้องการใช้เข้าไปก็ได้เหมือนกัน เช่น เราอาจจะเอา Rode Wireless Go ของเรามาเสียบตรงเข้า Pocket เลยก็ได้ พูดจาโหดร้ายไปหน่อยอะ ๆๆๆ Dji Mic เสียบเข้าไปได้ เผื่อเราอยากจะใช้ Mic 2 ตัวสำหรับสัมภาษณ์ โดยรวม Do-it-all handle เป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีมาก ๆ ตัวนึงเลย ทำได้หลายอย่างในขนาดที่อาจจะใหญ่แหละ แต่คุ้มมากจริง
ถัดไปเป็น Wireless Microphone เจ้านี่แหละ มันเข้ามาแก้ปัญหาของ Osmo Pocket รุ่นก่อนหน้าไปเลย ที่ Microphone ในตัวมันไม่ตอบโจทย์ในบางงาน Pocket 2 เลยออกเป็น Wireless Microphone ออกมาให้เราซะเลย และ มันทำงานง่ายมาก ๆ เราไม่ต้องเชื่อมต่อพวกตัวรับอะไรเลย เพราะ Do-It-All Handle ทำหน้าที่เป็น Receiver ในตัวให้เราเรียบร้อยแล้ว
การใช้งานที่ง่ายมาก ๆ เราสามารถเลื่อน Switch ที่อยู่ด้านข้างเล็ก ๆ มันจะเชื่อมต่อเข้ากับ Do-It-All Handle ของเราอัตโนมัติตั้งแต่เราแกะกล่องแล้ว เราไม่ต้องไปเซ็ตหรือสั่ง Pair อะไรมันเลย หรือถ้าเราต้องการที่จะ Pair ใหม่ เราก็สามารถกดปุ่มด้านบน ที่เป็นรูปโซ่ แล้วมันจะค้นหาอุปกรณ์ให้เราเองหมด เราไม่ต้องทำอะไรเลย โคตรดี
ส่วนการชาร์จ จะเป็นหัว USB-C โดยเราใช้สายชาร์จที่เขามีมาให้ในกล่อง เสียบพร้อมกับตัว Pocket ชาร์จไปพร้อม ๆ กันใน USB-A ช่องเดียวได้เลย โคตรสะดวกเลย
ด้านบน เราจะเห็นว่า เอ๊ะมันมีช่องเหมือน Jack 3.5 เลย เราสามารถเสียบพวก Microphone of Choice ได้เลย เช่นอาจจะเอาพวก Lavalier มาติดแล้วเอา Sender ตัวนี้ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงลอดขึ้นมาผ่านเสื้อ ก็จะทำให้ Setup เรียบร้อยขึ้นเยอะ และ อีกรูตรงกลางจะเป็นรูสำหรับ Microphone คือ เราจะเสียบ Microphone เพิ่มก็ได้ หรือเราจะใช้ Built-in ในตัว Wireless Microphone ก็ได้เช่นกัน
และเขาคิดมาแล้วด้วยว่า ถ้าเราจะเอาไปถ่ายในพื้นที่ ๆ ลมแรง ๆ หน่อย เขามี DeadCat ติดมาให้เราด้วย น้องดูน่ารักไปเลย
ด้านหลัง เป็นตัวหนีบ สำหรับหรีบกับเสื้อ หรือ หนีบไว้ที่กางเกงใต้เสื้อสำหรับคนที่ใช้ Lavalier เหมือนพวก Wireless Microphone ทั่ว ๆ ไปเลย ถือว่ามันดีมาก ๆ ที่ขนาดตัวเล็กซ่อนง่าย แต่ Feature ครบครัน ตัว Microphone คุณภาพบอกเลยว่า ดีกว่าที่คิดไปไกลมาก ๆ ตอนแรกคิดว่าตัวเล็ก ๆ จะไม่เก่งอะไร แต่อ้าว ดีเฉยเลยหวะ
และชิ้นสุดท้ายที่เรา Amazing มาก ๆ คือ แท่งเหล็กนี่แหละ ตอนแรก งง ว่ามันคืออะไรวะ แต่พอไปอ่านข้างกล่อง อ่ออออ Tripod เข้ มันเล็กมาก ๆ
เขาทำมาเป็นน๊อตหมุน ๆ ใส่ในหัวเดียวกับที่เราเสียบกับ Tripod ได้เลย แต่ขนาดมันเล็กมากจริง ๆ ตอนแรกคิดอยู่นะว่า มันจะไหวเหรอวะ
การใช้งานมันง่ายมาก ๆ แค่เราหมุน ๆ เข้ากับ Pocket 2 แล้วกางขาออกมา ก็เรียบร้อยเลย นอกจากตั้งเฉย ๆ ได้สบาย ๆ แล้ว มันยังมีช่องให้เราสามารถเอียงขึ้นลงได้นิดหน่อย เราว่ามัน Works มาก ๆ นะ เวลาเราออกไปข้างนอก แล้วเราต้องการจะตั้งถ่าย เช่นแบบ เราอาจจะตั้งกับโต๊ะ หรือ เสาอะไรก็ได้แล้วถ่ายได้เลย โคตรดีย์
และทั้งหมดเล่ามามายาวมาก ๆ ก็คือ อุปกรณ์เสริมที่ใส่มาในกล่อง Creator Combo นี่ว่าเยอะมากแล้วใช่ปะ แต่ไม่เลย DJI เองยังมีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อีกเช่น Phone Clip, Charging Case, Waterproof Case สำหรับเอาไปถ่ายใต้น้ำ และ อื่น ๆ อีกมากมาย ยังไม่นับรวมพวก 3rd-Party อีกเพียบพวกอุปกรณ์ Mounting กับหมวก กระเป๋า เสื้อหมา นั่นนี่เยอะมาก ๆ เข้าสู่อณาจักรการเสียเงิน ก็ตอนนี้แหละ
อีกอุปกรณ์ที่ DJI ใส่มาให้ในกล่องคือ Case สำหรับเก็บ Pocket 2 ของเราเวลาเราใช้งานเสร็จแล้ว ที่เราบอกเลยว่า มันเหนือจินตนาการของเรามาก ๆ ตอนที่เรา Unbox อุปกรณ์เสริมของมันก็ตั้งคำถามนะว่า เอ๊ะ แล้วเวลาเราพก เราจะทำยังไงวะ มันเยอะ และ เล็กมาก ๆ ใส่ถุงไปจริงเหรอ ยากไปปะ พอไปอ่านสรรพคุณ Case มันมา ชิบหาย มันไม่ใช่ Case ธรรมดา
ด้านข้างเราจะเห็นว่า มันมี Thread สำหรับหมุนเข้ากับพวก Tripod อยู่ แต่มันไม่ได้ออกแบบมาให้เราหมุนกับ Tripod อะไรเลย เราจะเอาเคสขึ้น Tripod ทำไมละวะ
ด้านในเคส มันก็เก็บของได้อีก เข้ !!! มันเขียนเลย Wide-angle lens คือเป็นที่เก็บเลนส์กว้างของเรา เพราะถ้าเราไม่ถอดมันจะเสียบกับเข้าเคสไม่ได้ดังนั้น กล่องเขาเลยทำที่ใส่มาให้เราโดยเฉพาะเป็นแม่เหล็กแค่วางลงไปมันจะเข้าล๊อคเองเลย นอกจากนั้นมันยังมีช่องสำหรับ การใส่พวก Connector ให้เราอีก
นอกจากนั้น ที่ก้นของ Case เขายังออกแบบมาให้ไม่มีช่องปิด ทำให้เราสามารถใส่ Do-It-All Handle แล้วเอามาใส่ Case ได้อยู่ดี คือไม่ว่าเราจะเปลี่ยนท้ายมันเป็นอะไร เราก็ยังใส่ได้เสมอ และ รู Thread ที่เราบอกก่อนหน้านี้ เขาเอามาให้เราเสียบ Tripod เข้าไปได้
พีคเข้าไปอีก ด้านบน เราสามารถเอา Wireless Microphone หนีบไว้ได้อย่างพอดี ถึงเราจะใส่ DeadCat แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการเก็บของเราเลย แต่ ๆๆๆ ให้ระวังไว้หน่อย ถ้าเราใส่ DeadCat ไว้มันไม่มีอะไรป้องกันไม่ให้มันหลุด และมันไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ เวลาใช้อาจจะต้องระวังขึ้นหน่อย และอีกจุดเราจะเห็นว่า ตรงกลาง เขาจะทำเว้า ๆ ไว้ พอจะเดาเหตุผลกันออกเลยใช่มะ เพราะเขาเผื่อว่าเราเสียบพวก Mini Control Stick คาไว้ได้เลย และนี่แหละ คือ Setup ที่เราจะได้แบบเต็ม ๆ เหนี่ยวเลย เมื่อเราซื้อเป็น Creator Combo มันคิดมาดีมาก ๆ จริง ๆ ชอบ
DJI Pocket 2 มาพร้อมกับโหมดการถ่าย ทั้งภาพนิ่ง และ วีดีโอ กันไปเลย เริ่มที่ภาพนิ่งก็ทั่ว ๆ ไป สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 64 MP ใช่ ! จริง ๆ แต่เราแนะนำว่า Sensor ขนาดเล็กเท่านี้ เอาคุณภาพดีกว่า กดลงไปเหลือ 16 MP จะให้คุณภาพที่ดีกว่าเยอะมาก ๆ นอกจากนั้น มันเจ๋งมาก มันใช้ประโยชน์ของการมี Gimbal ที่สามารถหมุนกล้องไปมาได้ มันเอามาใช้ถ่ายรูปแบบ Pano ได้ด้วย โดยการถ่ายทั้งหมด 9 Shot เป็น 3x3 แล้วเอามาต่อกัน ถ้าเราทำบนโทรศัพท์ มันต้องมานั่งหันเอง อันนี้มันทำให้เราหมดเลย เออ ดีจริง
เจ๋งกว่านั้นอีกคือ มันมี Electronic Shutter Speed Adjustment คือ เราสามารถตั้งค่า Shutter Speed ได้ด้วย ตั้งแต่ 8 - 1/8,000 sec ทำให้ เราสามารถเอามันไปถ่ายแบบ ไฟเส้น ๆ ได้ด้วยนะ ในเมื่อถ่ายได้โหดขนาดนี้ มันสามารถ เลือกถ่ายเป็น RAW File ได้ด้วยในสกุล DNG
ฝั่งของ Video มันสามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K แบบ 60 FPS ไปเลยจุก ๆ กับ Bitrate สูงสุด 100 Mbps เรียกว่า โคตรเยอะสำหรับกล้องขนาดเล็ก ๆ เท่านี้เลย แต่เราแนะนำให้ใช้ในสภาวะแสงดี ๆ หน่อย ไม่งั้นเราจะเจอกับ Noise มหาศาลได้เลย หรือ ๆ ถ้าเราต้องการจะถ่ายเป็น HDR Video เราจะสามารถถ่ายได้สูงสุดแค่ 2.7K ที่ 30 FPS เท่านั้น ไม่สามารถถ่าย 60 FPS กับเหมือนมันจะ Crop Frame ของเราไปหน่อยด้วย ใน Spec Sheet บอกว่า มันจะเทียบเท่าเลนส์ระยะ 38mm จากโหมดปกติที่ 20mm หายไปเยอะเลยแหละ
พวกเรื่องของการ Focus และ Track ก็ไม่ต้องห่วงเลย เขามาพร้อมกับ Active Track 3.0 ที่จะคอย Focus และ Track ในจุดที่เราเลือกไว้เสมอ ทำให้เราไม่พลาดวีดีโอสำคัญของเรา แต่ ๆ Feature พวกนี้ มันจะไม่สามารถใช้งานได้เมื่อเราถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 4K เป็นเศร้ามาก เราคิดว่าเป็นข้อจำกัดที่ DJI อาจจะต้องกลับไปทำการบ้าน เพื่อแก้จุดด้อยตรงนี้เยอะมาก ๆ กลายเป็นว่า ถ้า Production เราทำงานบน 4K เราจะใช้พวก Active Track และ HDR Video ไม่ได้เลย
โดยรวม เราคิดว่า การถ่ายทั้งหลาย ถ้าเราเอามาถ่ายภาพกันขำ ๆ ไปเที่ยว เราว่าเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เลยละ ส่วนวีดีโอ ถ้าเราเน้นการทำงานในแบบ Full HD 1080p คิดว่าไม่มีปัญหา เราสามารถใช้ Feature ของ Pocket 2 ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราเริ่มทำงานบน 4K อันนี้ เราว่ายังไม่ค่อยตอบโจทย์คนทั่ว ๆ ไปสักเท่าไหร่ แต่ไปตอบโจทย์กลุ่มที่ทำ Content จริงจังมากขึ้น เน้นการพึ่งพาตัวเองซะเยอะ ก็พอได้อยู่
คุณภาพของตัวไฟล์เอาจริง ๆ เลยนะ มันดีกว่าที่เราคิดเยอะมาก ๆ เราเป็นคนที่ถ่ายรูปด้วย เลยให้ความสำคัญกับขนาดของ Sensor มาก ๆ ใน Pocket 2 มาพร้อมกับ Sensor CMOS ขนาด 1/1.7" ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้ามาก ทำให้คุณภาพของวีดีโอ มันเหนือกว่าที่เราคิดมาก และ เราลองเอามาใช้ถ่าย Content ในช่องเราไปละ แล้ว Content แรกเ_อก เอามาถ่ายเล่าเปิดตัวกล้อง Sony แต่ถ่ายด้วย DJI Pocket 2 ไง ฮ่า ๆ คุณภาพของวีดีโอเป็นยังไงก็ดูได้ในวีดีโอนี้เลย
โดยส่วนตัวเรา มองว่า สีที่ได้จาก DJI Pocket 2 มันซีด ๆ เราไม่แน่ใจว่า เขาตั้งใจทำออกมาให้เราเอาไป Post-Processing ต่อเหรอหรือยังไง สีผิว สีต่าง ๆ มันแอบดูแปลก ๆ ไปหมดนึกว่าติด HLG มา ทำให้เราต้องมาทำ Colour Grading เยอะพอสมควร และ Sensor ที่เล็กลงกว่า Ful Frame ที่เราใช้อยู่ ทำให้เรื่องการถ่ายในสภาวะแสงน้อย มันเห็นความต่างได้ชัดมาก ๆ ในวีดีโอนี้ เราแค่ถ่ายในห้องของเรา ที่มีไฟ Studio แล้วนะ ยังแอบมี Noise ให้เห็นเลย ทำให้คิดว่า ถ้าเจอฉากแบบกลางคืนมีไฟนิด ๆ หน่อย ๆ แตกแน่นอน แต่ถ้าเป็นกลางวันกลางแจ้งเลย คิดว่าไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ เรามองว่า เราต้องบริหารความคาดหวังกันหน่อย คุณภาพมันจะอยู่ตรงกลางดีกว่าโทรศัพท์หน่อย แต่ก็ยังไม่ดีเท่า Mirrorless มันเป็นข้อจำกัดของขนาด Sensor ที่เราต้องแลกมากับขนาดที่เล็กลงแบบสุ๊ด ๆ
ประสบการณ์การใช้การถือถ่าย มันดีมาก ๆ จริง ๆ เราเข้าใจเลยว่า ทำไมมันเป็นกล้องที่เหมาะกับคนที่เน้นการทำงานในทีมขนาดเล็ก ช่องขนาดเล็กของมาก ๆ เพราะขนาดมันสามารถถือได้ง่าย ยิ่งเราใส่ Do-it-all Handle ทำให้มันมีความยาวมากขึ้น ถือกระชับมากขึ้นมาก ๆ
บวกกับ Gimbal 3 แกน ถือไม่ต้องดีมาก เดิน ๆ ไป เราก็จะได้ Footage ที่ Smooth มาก ๆ หรือถ้าเราจะใช้หันมา Selfie ถ่ายตัวเอง อัดวีดีโอตัวเอง ด้วยขนาดที่เล็ก และ น้ำหนักเบา มันทำให้ไม่เป็นเป้าสายตาคน และ พี่ ๆ รปภ แถว ๆ นั้น กับ เราสามารถถือถ่ายมันได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่เมื่อยด้วย
นอกจากนั้น ความเจ๋งของมันคือ เวลาที่เราใช้ในการ Setup มันเร็วมาก ๆ ในบางสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นเร็วมาก ๆ ตัว Pocket 2 มันง่ายมากคือ เราแค่หยิบออกจากเคส แล้วกดเปิดอัดได้เลย ทั้งหมดใช้เวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น เทียบกับกล้องใหญ่ก่อนหน้านี้ มันคนละเรื่องกันเลย อันนี้เป็นอะไรที่เราชอบมาก ๆ เหมาะกับการใช้งานของเราแบบสุด ๆ ไปเลย เช่นในวีดีโอเราปกติ กว่าจะตั้งกล้องนั่นนี่ กว่าจะได้อัดก็เกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมงละ แต่ด้วย Pocket 2 เราใช้เวลาไม่เกิน 3-5 นาทีในการตั้งเท่านั้นเอง ล่นเวลาการทำงานลงไปได้เยอะ
DJI Pocket 2 เป็นกล้องพกพาที่มีขนาดเล็ก เล็กขนาดที่เราสามารถเอาใส่กระเป๋าปกติที่เราใช้งานของเราได้ทุกใบ มาพร้อมกับกล้องที่ Sensor ใหญ่ขึ้น ทำให้ถ่ายในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น วีดีโออัดกันได้ยัน 4K 60FPS และ ภาพนิ่งความละเอียด 64MP ที่อยู่บน Gimbal แบบ 3 แกน ทำให้เราสามารถถ่ายวีดีโอ ได้ Smooth และ ดู Professional มาก ๆ ทั้งหมดที่เราว่ามา มี Setup หนักแค่ 117g อะรวมอุปกรณ์อื่น ๆ เราคิดว่ายังไงก็ไม่เกิน 200g หรอก เทียบกับกล้องใหญ่ที่มี Gimbal นั่นหลักหลายกิโลกรัมเลยละ ทำให้มันเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการทำ Vlog และ การออกไปถ่ายวีดีโอข้างนอกมาก ๆ แต่จุดที่เป็นข้อสังเกต น่าจะเป็นเรื่อง การถ่ายในสภาวะแสงน้อยเช่นในห้องโรงแรม หรือช่วงเย็น ๆ กลางคืนไม่ต้องพูดถึง น่าจะแตกแน่นอน (แต่เข้าใจได้ด้วยขนาดของ Sensor ที่เล็กหน่อย อะ แต่ใหญ่กว่า iPhone 14 แน่นอน) และ Feature หลาย ๆ อย่างที่ไม่รองรับเมื่อเราเลือกถ่ายบนความละเอียด 4K อาจจะต้องรอในรุ่นต่อไปว่า เขาจะแก้ออกมามั้ย
ส่วนตัวเรา แนะนำว่า ถ้าอ่านแล้วอยากได้ เวลาเราไปซื้อ มันจะมีขายเป็นแบบตัวปกติ และ Creator Combo เราแนะนำให้ซื้อ Combo ไปเลย อุปกรณ์เสริมที่เราได้เพิ่มขึ้นมา มันคุ้มเงินที่จ่ายเพิ่มมาก ๆ และ ถ้ากำลังคิดว่า ระหว่างถ่ายบนโทรศัพท์ หรือ บน Pocket 2 ก็บอกเลยว่า Pocket 2 ดีกว่ามาก ๆ ด้วยขนาด Sensor ที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์ทั่ว ๆ ไป และ การมี Gimbal ทำให้เราได้วีดีโอที่คุณภาพดีมาก ๆ ไม่เวียนหัว และ Microphone ที่ขนาดเราใช้ Built-in มันก็ยังให้คุณภาพสูงมาก ๆ ยิ่งถ้าต่อ Wireless Microphone เข้าไปด้วย ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...