Review

รีวิว Apple Watch Hermès Series 8 ที่สุดแห่ง Smart Watch ราคาครึ่งแสน

By Arnon Puitrakul - 14 ธันวาคม 2022

รีวิว Apple Watch Hermès Series 8 ที่สุดแห่ง Smart Watch ราคาครึ่งแสน

จากรอบก่อน เราดันไปติดใจสายสีส้มของ Hermès แล้วกดมาใช้กับ Apple Watch Series 5 Titanium อ่านได้ที่ รีวิวนี้ รอบนี้มานั่งดูงานเปิดตัวเมื่อช่วงกันยายนที่ผ่านมา เปิดตัว Apple Watch Series 8 โดยเฉพาะตัว Hermès ที่มันมี Watch Face ใหม่คือ Hermès Lucky Horse โอ้โหยยยยยยย ไม่รอดแล้วไง

Apple Watch มีแบบไหนบ้าง ?

เริ่มด้วย Guide สำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยซื้อ Apple Watch มาก่อน สำหรับใน Series 8 นี้ เราจะแบ่งขนาดตัวเรือนออกเป็น 2 ขนาดด้วยกันคือ 41 และ 45 มม. โดยสำหรับผู้ชายเราว่า ขนาด 45 มม. กำลังดีเลย เราเคยดู 41 มม. มันแอบเล็กไปหน่อย แต่สำหรับผู้หญิงที่ผู้ชายแขนเล็ก ๆ หน่อย เราว่ากำลังดีเลย

เมื่อเราเลือกขนาดได้แล้ว ต้องมาดูที่วัสดุของตัวเรือน โดยแบบ Aluminium จะราคาถูกที่สุดละ เริ่มต้นประมาณหมื่นกลาง ๆ ซึ่งตัวเรือนจะไม่ค่อยมีความเงาเท่าไหร่ เน้นแบบ Matte มากกว่า แต่ถ้าเราอยากได้ตัวเรือนที่เงาขึ้นหน่อย ก็ต้องขึ้นไปเล่นพวก Stainless Steel น้ำหนักมันจะเยอะขึ้นไปอีกนิดหน่อย และอันนี้จะแพงละ เกือบ ๆ 30k บาทเลยทีเดียว

แต่แอบเสียดายที่ใน Series 8 ไม่มีตัวเรือนที่เป็น Titanium แล้ว อันนั้นเราแอบชอบมาก เพราะมันไม่เงาเน้น Matte เหมือน Aluminium แต่น้ำหนักเบากว่ามาก ๆ เราชอบมาก ๆ มันเบาสุด ๆ เลย ใส่สบายกว่าเยอะ ตัวเรือนแบบ Titanium ตอนนี้จะไปอยู่กับ Apple Watch Ultra ซะแล้ว

นอกจากนั้น เวลาเราไปซื้อ เราต้องซื้อพร้อมสายด้วยอันนี้ก็แล้วแต่เราชอบเลยว่า เราอยากได้สายแบบไหน Lifestyle การแต่งตัวเราเป็นอย่างไรอะไรแบบนั้น เราอาจจะใส่เน้นออกมาเนียบ ๆ หน่อย อาจจะไปเล่นพวกสายหนัง หรือสายโลหะ หรือเน้นออกไปข้างนอกหน่อย ก็อาจจะเป็นพวกสายที่ทำจากผ้า หรือยางอันนี้ขึ้นกับเราเลย

และอีก Level ของ Apple Watch เลยคือ Apple Watch Hermès โดยที่อันนี้จะเป็นตัวพิเศษที่ Apple จับมือกับ Hermès เพื่อทำตัวแบบพิเศษขึ้นมา ที่เราจะเอามารีวิวกันในวันนี้

Unboxing

เปิดมาแค่นี้ก็รู้สึกว่าอลังการแล้ว ตัวกล่องเป็นสีส้มแบบ Hermès และเป็นวัสดุเดียวกับเวลาเราซื้อของจาก Hermès เลย มันคืออันเดียวเลยกันแหละ พร้อมกับมีริบบิ้นผูก อันนี้เราซื้อจาก Shop ของ Hermès เอง เราไม่แน่ใจว่าถ้าเราซื้อจาก Apple โดยตรงมันจะมีมั้ยไม่ชัวร์เหมือนกัน

โดยที่ริบบิ้นอันนี้ก็คือ แบบเดียวกับที่เวลาเราซื้อของจาก Hermès เลย จะเป็น Logo และเขียนว่า Hermès Paris เลย เอาซะไม่อยากแกะเลย

เมื่อเราแกะริบบิ้นออกมา จับดูมันเป็นกล่องแข็งเลย ต่างจากรุ่นปกติตรงที่ด้านนอกมันจะเป็นกระดาษแข็งนิดหน่อยห่อไว้ กับดูด้านหน้าเราจะเห็นเลยว่า มันมีพิมพ์กดอย่างดีเลยนะคือ Apple Watch และ Hermès มีขอบดำให้ดูขรึมขึ้นอีกนิดหน่อย จะแตกต่างกับกล่องของ Apple Watch ตัวปกติโดยสิ้นเชิงเลย เหมือนคนละโลกกันเลย

ด้านหลัง จะเขียนไว้ชัดเจนเลยว่า เป็น Apple Watch Series 8 ตัวเรือน Stainless Steel สี Space Black พร้อมกับ Hermès Sport Band

อย่างที่บอกไปว่า Apple Watch ตัวปกติ เขาจะเป็นกระดาษห่อกล่องอีกที แต่อันนี้มาเป็นกล่อง ๆ เลย ทำให้วิธีการแกะ มันจะต่างกันนิดหน่อย อันนี้กล่องจะถูกสอดมาอีกที วิธีก็คือ เราก็เทมันออกมาปกติเลย

ตอนที่ไปซื้อ เราพึ่งรู้ว่าเวลาเขาเก็บ Stock จริง ๆ ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับกล่องใหญ่นี่แหละ แล้วเอากล่องปลอมสอดเอาไว้ เวลาจะขาย พี่เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปหยิบตัวเครื่องที่สั่ง แล้วเอากล่องสาย แล้วเอากล่องปลอมออก เอากล่องสายจริงสอดเข้าไปแล้วเอามาให้เรา นึกว่าทำแบบนี้แค่ที่ Apple Store แต่ใน Hermès Shop ก็ทำเหมือนกันแฮะ เพราะตอนที่พี่เขาเอาเครื่องออกมาให้เช็ค ก็คือเห็นกล่องปลอมเสียบอยู่เลย ฮ่า ๆ

ตามสไตล์ของ Apple Watch คือ ในกล่อง เราจะได้ออกมาอีก 2 กล่องเป็นกล่องตัวเครื่อง และ กล่องของสาย ลักษณะการพิมพ์เป็นการกดพิมพ์เหมือนกับตัวกล่องใหญ่เลย วัสดุ สีอะไรก็เหมือนกันหมด เราว่าเป็นเพราะกล่องนี่แหละ ทำให้ Experience ในการแกะมันดีย์มาก ๆ เข้าใจเลยว่าทำไมมันแพง

มาที่ตัวกล่องตัวเครื่องก่อนเลย พิมพ์มาเป็นตัวเรือน แล้วถ้าเราดูดี ๆ มันจะเป็น Watch Face ของ Hermès เพื่อบอกให้รู้ว่า นี่ไม่ใช่ Apple Watch ธรรมดานะ แต่เป็น Apple Watch Hermès นะเว้ย

ด้านหลังก็จะเป็นพวก Serial Number อะไรทั่ว ๆ ไป

เปิดฝาออกมา เราจะพบกับตัวเครื่องอยู่ทางด้านซ้าย และ ด้านขวาจะเป็นกล่องสำหรับพวก Paperworks ต่าง ๆ มาในลักษณะเหมือนกับกล่องของ Apple Watch ตัวปกติทุกอย่าง

เป็นปกติของ Apple Product คือจะมีเขียนว่า Designed by Apple in California แต่อันนี้ด้วยความที่เป็นความร่วมมือกับ Hermès ทำให้ มีเขียนต่อท้ายว่า & Hermès in Paris ด้วย เพิ่มความพิเศษเข้าไปอีกระดับเลย

นอกจากนั้น ยังมีพวก Story อีกนะ สำหรับคนที่ซื้อของพวกนี้บางคน จะมองนะว่า Story สำคัญมาก ๆ และ กระดาษแผ่นนี้ก็ Serve เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลย

ด้านล่างจะมีของอีกอย่างมาในซองกระดาษที่มีเขียน Apple Watch และ Hermès พิมพ์ดำ จับแล้วคือดีย์เลย

ด้านในจะเป็นสาย Sport Band แต่ ๆๆๆๆๆ เป็นแบบ Hermès Edition นะ คือตัว Pin ที่เราใช้ติด มันจะมี Logo ของ Hermès อยู่ด้วย ทำให้แนะนำว่า อย่าหาย อย่าขาดนะ มันหาซื้อไม่ได้เลยนะ ซึ่ง งง เพราะเขาให้มาแค่ขนาด S,M เท่านั้น ถ้าข้อมือเราใหญ่กว่านั้นก็ชิบหาย และตัวเรือนของเราเป็นสีดำ ทำให้เขามาพร้อมกับ สายสีดำ ซึ่งสายสีนี้ เราคิดว่าน่าจะเป็นสีเดียวกับ Sport Band สี Midnight นะ เดาว่า ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเราซื้อตัวเรือนสีปกติ เราจะได้สายสีส้ม Hermès เลย เห้ยยย อันนั้นอะ เราว่า Rare กว่าเยอะมาก ๆ เสียดาย อยากได้สีนั้นมากกว่า

และด้านล่าง ก็จะเป็นสายชาร์จมาให้เป็นสายแบบใหม่ด้วย คือ เป็นหัว USB-C ที่ทำให้เราสามารถชาร์จได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะใน Series 7 และ 8 ถ้าเราใช้สายแบบนี้จะทำให้ชาร์จจาก 0 ถึง 100% ใน 45 นาที จากเดิม 1 ชั่วโมง ถือว่าดีนะที่เอามาให้เลย ไม่เอา USB-A แล้วให้เราซื้อเพิ่มเอา แต่ ๆๆๆๆ จุดที่เราไม่โอเคมาก ๆ คือ สายที่ได้มาเป็นสายแบบปกติทุกอย่างเลย แต่ใน Apple Watch Ultra ที่ราคาถูกกว่าเป็นหมื่น กลับได้สายถักซะงั้น ไม่โอเคเลย

มาที่ตัวเครื่องกันบ้างดีกว่า ตัวเครื่องเขาเอาใส่มาเป็นวัสดุเหมือนกระดาษที่แข็งนิดหน่อย เพื่อป้องกันรอยจาการขนส่งอะไรพวกนั้น ซึ่งอันนี้ไม่ต่างจาก Apple Watch ตัวปกติเท่าไหร่ เราว่าถ้าใช้เป็นพวกผ้าแบบเดียวกับที่อยู่ในกล่องสาย เราว่าอันนั้นจะทำให้ดู Premium กว่าเดิม

ด้านหลังของตัวเรือน มันก็จะมีเขียนไว้เลยว่า 45MM ด้วยเพื่อบอกว่ามันเป็นขนาด 45MM จริง ๆ นะ

มาที่กล่องของสายกันบ้าง จริง ๆ ถ้าใครที่อ่านรีวิวสาย Apple Watch Hermès อันก่อนหน้านี้ ก็จะเหมือนกันทุกประการ กล่องมาเป็นเหมือนกับกล่องเครื่อง สีเดียวกันทั้งหมด แต่จะเขียนเป็น Apple Watch กับ Hermès แทน และตัวสายที่เราได้มามันดันติด Barcode สำหรับคิดเงินในร้านมาด้วยอะดิ ส่วนนี้แอบไม่โอเคเท่าไหร่ แล้วไม่กล้าดึงออกด้วย เดี๋ยวขาด

เทียบกับกล่องสายอันเก่า ก็จะเห็นได้เลยว่า มันเหมือนกันทุกประการ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

เปิดกล่องออกมา เราจะพบกับ ผ้าอย่างดี ดูจากรูปมันดูไม่มีอะไรนะ แต่พอจับลงไปแล้วรู้สึกเลยว่า มันเป็นของคุณภาพจริง ๆ ของดีเลยละ และด้านหน้าก็มีการพิมพ์ Apple Watch Hermès เหมือนกับฝาเป๊ะ ๆ

เปิดออกมา เราจะพบกับช่อง 2 ด้านบนและล่างเหมือนกับกล่องสายทั่ว ๆ ไปเลย

แน่นอนว่า ถ้าเป็นของพวก Hermès ก็จะมี Designed by Apple in California & Hermès in Paris อยู่แล้ว เหมือนกับกล่องตัวเรือนเลย

และด้านล่างก็จะเป็นสายแยกช่องอยู่ระหว่างสายยาว และ สั้น ให้เรามาอย่างดีเลย จับแล้วฟินดีมาก ๆ

Apple Watch Hermès Series 8

มาดูตัวเครื่องกันก่อน ถ้าใครที่เคยชิน หรือ ใช้ Apple Watch มาก่อนหน้านี้แล้ว ก็น่าจะคุ้นเคย Design ของ Apple Watch เป็นอย่างดี ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เครื่องเก่าเราเป็น Series 5 มาเห็น Series 8 อื้ม.... ไม่ต่างหวะ แต่สิ่งที่ทำให้เรา ร้องว่า โอ้ชิบหายตั้งแต่หยิบขึ้นมาคือ น้ำหนักตอนใช้ Series 5 เป็น Titanium มันจะเบากว่าตัวเรือน Stainless Steel เยอะมาก ๆ ไม่ชินเท่าไหร่

ด้านข้างขวา บน จะเป็น Digital Crown ที่เราสามารถกด และหมุนเพื่อเข้าสู่เมนูต่าง ๆ ได้ มีขอบแดงนิดหน่อยเป็นปกติของ Apple Watch ถัดลงมาเป็นรูเล็ก ๆ สำหรับ Microphone และสุดท้าย ปุ่มสำหรับกดเพื่อเปิด Recent App แต่สิ่งที่เราอยากให้สังเกตจริง ๆ คือ ตัวเรือน Stainless Steel มันจะมีความเงา และ ประกอบกับตัวเรือนดำ ทำให้มันออกแนวดำเงา เท่ ๆ ครึม ๆ ดีเหมือนกัน

อีกด้านจะเป็นลำโพง สำหรับออกเสียงต่าง ๆ ได้อันนี้ต่างจากตอน Series 5 เรือนเก่าเราละ ตอนนั้นมันจะมีช่องกั้นแบ่งเส้นลำโพงออกเป็น 2 เส้น แต่ Series 8 เอาออกไปแล้วทำให้มันเป็นเส้นเดียวดูเรียบกว่าเยอะมาก

ด้านหลังก็จะเป็นพวก Sensor สำหรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และ ความเข้มข้นของ Oxygen ในเลือดที่พึ่งเปิดตัวตอน Series 6 ใน Series 8 Feature พวกนี้ก็ตามมาเหมือนกัน แต่ ๆๆๆ ถ้าเราลองอ่านตัวหนังสือที่อยู่รอบ ๆ Sensor ดี ๆ มันจะเขียนเลยว่า Series 8 Hermès ซึ่งแน่นอนว่า Apple Watch ตัวปกติไม่มีแน่นอน

เทียบกับเครื่องเก่าของเรา Series 5 ด้านซ้าย มันจะเขียนเลยว่าตัวเรือนมันเป็น Titanium & Ceramic Case เพราะตอนนั้น Apple Watch Edition เป็นตัวเรือนที่ทำจาก Titanium และ Ceramic ซึ่งใน Series 8 ไม่มีแล้ว (เว้น Titanium อยู่บน Apple Watch Ultra)

ดังนั้น ถ้าเราใช้ Apple Watch มาอยู่แล้ว ดูผ่าน ๆ เราก็จะรู้สึกว่า มันหน้าตาเหมือน ๆ กันหมด ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ทำนองนั้นแหละ เท่าที่เราเห็นเดียวกับ Series 5 เราเห็นต่างอยู่ 2 จุดใหญ่ ๆ คือลำโพง กับ Sensor ที่เพิ่มพวก ความเข้มข้นของ Oxygen ในเลือด แค่นั้นเลย เอาจริงคือ เราว่า ถ้าเราใส่ไป แล้วเดินไปเจอคน เราว่าคนส่วนใหญ่ดูไม่ออกหรอกว่า เราเปลี่ยนนาฬิกา นอกจากสายที่อะ ไม่เคยเห็น

สาย Hermès Simple Tour H Diagonal

มาที่ตัวสาย Hermès Simple Tour H Diagonal เป็นสายในฝั่งของ Apple Watch Hermès ใหม่เลย แล้วดันออกสีน้ำเงินที่เราชอบด้วย จะเหลือเหรอ ตอนแรกดูในรูปก็สวยแล้วนะ พอมาเห็นของจริงก็คือ สวยเข้าไปอี๊กกก ตัวหนัง เรามั่นใจได้เลยว่าเป็นหนังที่น่าจะดีที่สุดในโลกแล้ว ระดับ Hermès ทำ คุณภาพไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกลัวเลย สัมผัสคือนุ่มมาก ตัวสาย เราจะเห็นเหมือนเป็นรู ๆ เล็ก ๆ เต็มไปหมด เขาบอกว่า เขาฉลุหนังออกมาเป็นรูให้ออกมาเหมือนกับตัว H ที่มาจากคำว่า Hermès แต่เอาจริง ๆ คือ เราดูไม่ออกแฮะ

ด้านหลังของฝั่งด้านยาว ที่ปลายเราจะเห็นเลยว่า มันมีการกดคำว่า Hermès Paris และ Made in France ไว้เลยเพื่อเป็นการบอกเลยว่า มันของ Hermès นะเว้ย และรูสำหรับปรับสายก็มีมาให้ทั้งหมด 7 รูด้วยกัน น่าจะเพียงพอสำหรับคนส่วนใหญ่แล้วละ เพราะเราเองข้อมือก็ไม่ได้ใหญ่มาก ก็ยังอยู่ที่รู 2 อยู่เลย

ถ้าเราสังเกตให้ลึกเข้าไปอีก ตัวด้ายที่เขาใช้เย็บหนังให้ติดกัน เป็นสีน้ำเงินด้วยนะ น้ำเงินเดียวกับหน้าของสายเลย เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้มันน่าสนใจมาก ๆ

มาที่อีกฝั่งของสายกันบ้าง ถ้าหันหลังมา ตรง Buckle มีการยิงลงไปเขียนว่า Stainless Steel ด้วย แปลว่า พวกโลหะทั้งหมดที่อยู่ในสายจะเป็น Stainless Steel ทั้งหมดเลย ก็จะเข้ากับตัวเรือนที่เป็น Stainless Steel ทั้งหมด และตัว Loop จะมาทั้งหมด 2 อัน แต่ถ้าเรามองจากด้านหลังเราจะเห็นแค่อันเดียวเป็น Free Loop ที่เราสามารถเลื่อนเพื่อให้เก็บปลายสายได้

แต่จริง ๆ คือ ถ้าเรากลับไปดูรูปที่อยู่ด้านหน้า มันจะมี Fixed Loop อยู่อีกอันนึง ที่เราไม่สามารถเลื่อนไปมาได้

และด้านหน้าของ Buckle ก็มีการกดเป็นคำว่า Hermès เข้าไปอีกด้วยนะ อีกจุดที่เราอยากให้สังเกตคือ ทุก ๆ ส่วนที่เป็น Stainless Steel จะเป็นการรมดำทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับตัวเรือนสี Space Black เลย รวมไปถึงตรงที่เรา Mount กับตัวเรือนด้วย ทำให้มันดูเข้ากันมาก ๆ

Hermès Watch Faces

มาที่สิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนเลือกที่จะซื้อ Apple Watch Hermès กัน นั่นคือ Watch Faces นั่นเอง ถ้าเราใช้ตัว Apple Watch Hermès เราจะสามารถใช้งาน Watch Face ที่ Exclusive ได้เลย

ซึ่งตัวที่มาใหม่พร้อมกับ Series 8 นี้ก็คือ Hermès Lucky Horse ตามความเป็น Hermès ที่ทำพวกเครื่องม้ามาก่อน เป็นตัวที่น่ารักมาก ๆ ทำให้เราถึงกับต้อง Upgrade จาก Series 5 มาเลยทีเดียว โดยตัว Lucky Horse เราสามารถปรับพวกสีต่าง ๆ ได้ มีมาให้ทั้งหมด 4 สีด้วยกัน ตามสาย หรือความชอบของเราได้เลย ส่วนตัวเราจะชอบสี Bleu Lin (แปลเป็นภาษาอังกฤษคือสี Blue Linin) ทำให้ Background มันเป็นสีน้ำเงินยีน ๆ หน่อย เข้ากับสายเราได้เป็นอย่างดี และเรายังสามารถปรับพวก Complications ได้ 2 อันอีกด้วย จากการใช้งาน เราบอกเลยว่า แมร่งยากในตอนแรก ๆ มาก ๆ เพราะมันเป็นเข็ม แล้วมันไม่มีตัวเลข บางที เรากะยาก แต่พอใช้ ๆ ไปมันก็ได้แหละ

ตัวม้านั่นบางทีเวลาเราออกงานทางการ เราว่ามันดูเล่นไปหน่อย ทำให้เราจะมีอีกอันที่เราชอบไม่แพ้กันคือ Hermès Circulaire หรือก็คือ Circle ในภาษาอังกฤษนั่นแหละ มันก็จะทำให้นาฬิกาเราดูเป็นทางการมากขึ้นมาก จริง ๆ ถ้าเทียบมันจะคล้าย ๆ กับ California แต่อันนั้น Font มันจะดูนวล ดู Modern มากกว่า แต่ของ Hermès มันจะออกแนว ทางการ เข้ม ภูมิฐานกว่ามาก ๆ เหมาะกับการใส่เวลาต้องไปไหนเป็นทางการก็โอเคเลย

และมันยังมีตัวอื่น ๆ อีกคือ Hermès Circuit H ที่ลักษณะเด่น ๆ จะเป็น Font ที่อยู่ด้านหลังบอกชั่วโมงเป็นตัวเลข และ Noir Hermès ที่จะเป็นเข็มเหมือนกัน แต่พื้นหลังเขาจะเป็นลายของเขา ที่เราไม่ได้ใช้เพราะ มันไม่ค่อยมีช่อง Complication ให้เราใส่เท่าไหร่ ส่วนตัวเราใส่ Smart Watch เพราะมันบอกอะไรได้มากกว่าเวลา เลยอยากได้ Complication มากกว่า 1 ช่องสักหน่อย

ของเล่นใหม่ ๆ ใน Apple Series 8

สำหรับตัว Apple Watch Series 8 เอง ไม่ได้มาพร้อมกับ Feature ใหม่ ๆ ที่ว้าว และใช้งานทุกวันเท่าไหร่หรอก

อย่างแรกคือ การวัดอุณหภูมิร่างกายของเราได้ ซึ่งเขาจะใช้ Sensor ทั้งหมด 2 ตัว คือวัดอยู่ใต้จอ เพื่อวัดอุณหภูมิภายนอก ที่อาจจะทำให้ค่าของ Sensor ที่อยู่ด้านหลังของตัวเรือน ซึ่งเขาก็เอามาใช้เป็น Use Case นับเวลาประจำเดือนอะไรแบบนั้น ซึ่งเราไม่มีรังไข่ มีแต่ไข่อะสิ เลยข้ามไป

และอีก Feature คือ Crash Detection หรือก็คือ เขามี Sensor และเอา AI เข้ามาตรวจจับพวกอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถ้ามันเจอว่า เราอาจจะประสบอุบัติเหตุมันให้ติดต่อหน่วยฉุกเฉินให้เราโดยอัตโนมัติเผื่อว่าตอนนั้นเราอาจจะไม่มีสติกดแล้วอะไรแบบนั้น

Is it OVERPRICED?

เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ๆ ว่า ตัว Apple Watch Hermès มันแพงเกินไปมั้ย เราขอเริ่มจาก Perspective ของคนที่ซื้อ Hermès ก่อนนะ ถ้าเราเอาราคาของใน Hermès มาดูจริง ๆ แล้วเราจะบอกเลยว่าสาย Apple Watch Hermès เป็นของที่ราคาดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว เรายกตัวอย่างง่าย ๆ เลยอันนี้จากเว็บของ Hermès Thailand เป็น Charm สำหรับห้อยกับกระเป๋า ราคา 24,800 บาท หนักเลยใช่มั้ย เอาจริง ๆ เป็นเมื่อก่อน เราก็ร้อง Holy Sh_t เหมือนกัน ถ้าเราคิดราคาแค่ตัวสายเลย มันอยู่ที่ 17,600 บาท เทียบกับนังปลาหมึกนั่น คือคนละเรื่องเลยใช่มะ

โอเค แล้วถ้าเรามองถึงการใช้งานจริง ๆ การไปซื้อแค่ Apple Watch Series 8 เฉย ๆ เอาจริง ๆ ซื้อตัวที่เป็น Aluminium ก็ตกประมาณ 15,900 บาท หรือก็คือเอาเงินที่ซื้อ Apple Watch Hermès ตัวนี้ไปเอาตัว Aluminium ก็ได้ 3 เรือนเลยปะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็น Apple Watch อยู่วันยันค่ำ เหมือนกับ Apple Watch Hermès อยู่ดี

ตัวอย่างที่ชัดมาก ๆ คือ ทำไมคนเราแมร่งต้องไปตามหากระเป๋า Brand Name ดี ๆ ใช้ ราคาใบละหลายแสน หรือล้านก็มี ทำไมเราต้องทำแบบนั้น ไม่ไปหากระเป๋าทั่ว ๆ ไปที่ Function เหมือนกันราคาไม่กี่พันก็ได้แล้วปะ

สิ่งที่เราอยากจะสื่อคือ มันอยู่ที่การให้คุณค่ากับมัน ถ้าเรามองว่า โอเค มันก็เป็น Apple Watch เราเอามาใช้แค่เป็น Smart Watch หรือ Apple Watch Ultra มาเป็น Sport Watch การซื้อ Apple Watch Hermès มันจะดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระขึ้นมาทันทีใช่มะ แต่ถ้าเรามองในเรื่องของ Fashion ความสวยงาม ความพิเศษ มันก็จะอีกเรื่องเลยใช่มะ

ส่วนตัวเราที่เราใช้พวกของ Brand Name จริง ๆ อะส่วนนึงเป็นเพราะ Story แต่ส่วนใหญ่ ๆ คือ คุณภาพ สำหรับใน Apple Watch Hermès เองตัวเครื่องมันก็ Series 8 ปกตินั่นแหละ แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษจริง ๆ คือ สาย โดยเฉพาะสายหนัง เราก็รู้กันดีว่า Hermès เขามีประสบการณ์ในการทำเครื่องหนังมานานมาก ๆ คุณภาพเครื่องหนังของเขาเรียกว่า Top Notch ไม่สุดก็เกือบสุดในโลกแล้ว จับแล้ว ใส่แล้วให้ความมั่นใจ ดูสวย มันเป็น Craftmanship มันไม่ใช่อะไรที่เราผลิตจากเครื่องจักร มันปราณีตกว่านั้นมาก ดูจากการเย็บที่เราเล่าไปก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเห็นค่าจากมัน ดังนั้น เราจะไม่บอกว่า เห้ยมันไม่แพง (อีบ้า ดูราคาก็เห็นแล้วปะ) แต่เราจะบอกว่า มันไม่แพงเกินไปต่างหาก

อยากได้หน้าตาคล้าย ๆ กัน มีถูกกว่านี้มั้ย ?

ถ้าเราเข้าไปดูราคาในเว็บของ Apple ประเทศไทย ตัวเรือนที่เราซื้อมาเป็น Series 8 Stainless Steel สีดำ Space Black แล้วมาพร้อมกับสาย Simple Tour H Diagonal หน้าเว็บบอกราคาอยู่ที่ 50,600 บาท แต่เราจะบอกว่า ถ้าเราอยากได้ Apple Watch ที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ เราซื้อมันได้ในราคาที่ถูกกว่านี้

อีกทางเลือกคือ การซื้อเครื่องปกติ และสาย Hermès แยกเอา ถ้าเราเข้าไปดูเอา Apple Watch Series 8 ตัวเครื่อง Stainless Steel สีดำเลย แต่ Series 8 ปกติจะไม่มีสี Space Black สีดำที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Graphite ซื้อพร้อมกับสายที่ถูกที่สุดเลยคือ Solo Loop ละกัน ราคาอยู่ที่ 29,900 บาทด้วยกัน

ถ้าเกิดสีของ Stainless Graphite ของ Series 5 มันเหมือนกับ สี Grapite ของ Series 8 Stainless Steel (แต่น่าจะเงากว่าอยู่แล้ว ดูแค่สีพอนะ) จะเห็นเลยว่า สีมันแอบต่างอยู่พอสมควรเลย

และซื้อสาย Hermès Simple Tour H Diagonal เพิ่มเข้าไปในราคา 17,600 บาท เมื่อรวมกับค่าเครื่องแล้ว เราจะเสียเงินอยู่ที่ 47,500 บาท โดยที่ได้ตัวเรือนสีใกล้เคียงกันมาก พร้อมกับสาย Hermès ตัวเดียวกัน พร้อมกับสายที่ทำจากซิลิโคนอีกอัน ที่อาจจะต่างกันนิดหน่อยที่เราซื้อแยกมันเป็น Solo Loop แต่สายที่มากับ Apple Watch Hermès มันจะ Sport Band แบบพิเศษนิดหน่อย

นอกจากนั้น อีกอย่างที่เสียไปคือ Hermès Watch Face ต่าง ๆ เช่นของปีนี้ตัวใหม่เลยคือ Hermès Lucky Horse ที่เราไม่รู้จะหาอะไรมาเทียบเหมือนกัน โดยที่ถ้าเราซื้อ Apple Watch ปกติมันจะไม่มี Watch Face กลุ่มของ Hermès ให้เราเลือกเลย จำเป็นจะต้องซื้อ Hermès Edition เท่านั้นถึงจะได้

ทำให้ใครที่ไม่ได้แคร์เรื่องสีที่ต้องเป๊ะ หรือ Watch Face อะไรเลย อยากได้แค่ตัว Apple Watch กับสายของ Hermès เท่านั้น การซื้อแยกถูกกว่าอยู่ 3 พันกว่าบาทเลย อาจจะเอาส่วนต่างไปซื้อสายเริ่มต้นจาก Solo Loop เป็นตัวอื่นที่ราคาสูงขึ้นได้อีกเช่น กลุ่มของ Milanese Loop ก็จะทำให้เรามีสายสำหรับออกงานอีกอันที่ให้คนละฟิล

สรุป

Apple Watch Hermès เป็น Apple Watch ที่ราคาสูงกว่าตัวอื่น ๆ มาก ๆ แต่มันก็มาพร้อมกับ สายที่เรียกว่า สวย และคุณภาพสูงมาก ๆ อย่างสายจาก Brand Hermès ซึ่งเราก็ไม่ต้องพูดกันแล้วว่าคุณภาพมันขนาดไหน เราว่ามันเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่าง ความเป็น Technology และ Fashion ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ และ พึ่งมาสนใจ จากเดิมที่มันอาจจะเดินกันคนละทาง วันนี้มันมาอยู่ด้วยกัน และน่าจะ Represent ความเป็นเราได้เป็นอย่างดีเลยทำให้เราเลือกมาใส่นั่นเอง

Read Next...

รีวิว Fendi x Devialet Mania เมื่อแบรนด์แฟชั่น จับมือกับ แบรนด์เครื่องเสียง

รีวิว Fendi x Devialet Mania เมื่อแบรนด์แฟชั่น จับมือกับ แบรนด์เครื่องเสียง

หลังจากสั่งไปหลายเดือน วันนี้เราก็ได้มันมาแล้วกับ ลำโพงพกพาจาก Devialet รุ่น Mania แต่มันไม่ใช่ตัวปกติ เป็นตัวที่ไปร่วมมือกับ Fendi ออกมาเป็นลำโพง Limited ที่ตอนนี้ในไทยมีเพียง 5 ตัวเท่านั้น และตอนนี้มันอยู่กับเราแล้ว จะเป็นยังไงไปดูได้ในรีวิวนี้เลย...

รีวิว Foreo Iris 2 เครื่องนวดตาสุดฟิน ที่หน้าตาเหมือน....

รีวิว Foreo Iris 2 เครื่องนวดตาสุดฟิน ที่หน้าตาเหมือน....

หลังจากรีวิวของหลายอย่างจาก Foreo ไปบอกเลยว่าใช้จริงมาตลอด หลัง ๆ เราเริ่มมาลองเปิดใจใช้ Eye Cream เลยอยากได้อะไรมานวดใต้ตาหน่อย จนมาเจอว่า Foreo ก็มีเหมือนกันนิหว่า แน่นอนว่า สอยมาเลยจ้าาาา กับ Foreo Iris 2 มาดูกันว่ามันทำอะไรได้ และ มันจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่...

รีวิว iPad Pro M4 13-inch หลังใช้งาน 1 อาทิตย์มันเป็นยังไงสิ๊

รีวิว iPad Pro M4 13-inch หลังใช้งาน 1 อาทิตย์มันเป็นยังไงสิ๊

ตอนก่อนเรารีวิว iPad Pro M4 13-inch ภาคแกะกล่องเรียบร้อยละ ตอนนี้เราได้เอามาใช้งานกว่า 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นข้อสังเกตเยอะมาก ๆ วันนี้เราจะมาเล่าข้อสังเกตเหล่านี้ สำหรับใครที่จะซื้อ จะได้เอามาเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณา...

รีวิว iPad Pro M4 13-inch สุดยอด Tablet สำหรับ Pro ทิพย์ (ภาค Hardware)

รีวิว iPad Pro M4 13-inch สุดยอด Tablet สำหรับ Pro ทิพย์ (ภาค Hardware)

หลังจากเราร่ำร้อง บ่นอยู่นานมาก ๆ ตั้งแต่ปีก่อนว่า เมื่อไหร่ iPad Pro จะออกสักที จะซื้อ วันนี้ครับทุกคน แมร่งมาสักที ประเทศไทยเรามันก็เข้าช้ามาก และการรอคอยของเราก็เป็นผลแล้ว วันนี้ iPad Pro M4 ก็เดินทางมาถึงบ้านเราสักที วันนี้เราจะรีวิวในฝั่งของ Hardware กันก่อน...