By Arnon Puitrakul - 27 มีนาคม 2023
ต้องยอมรับเลยว่า อากาศในไทยของเราเทียบปัจจุบัน กับสัก 10 ปีที่แล้ว ต้องบอกเลยว่า คนละเรื่องเลยนะ เราเองที่เป็น Human Particle Sensor ตื่นเช้ามารู้เลยว่า คืนนี้อากาศแย่หรือดี หนักอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ก็ใช้เครื่องฟอกอากาศอยู่แหละ แต่ค่าฝุ่นมันก็ยังลงไม่มากพอ จนไปนั่งหาว่า ถ้าเราอยากได้ตัวจบจริง ๆ เลย มันน่าจะเป็นตัวไหน เลยไปเจอกับ Airdog จนสุดท้ายเลือก Airdog X5 มา และเอามารีวิวให้อ่านกันในบทความนี้
ตอนที่พี่ขนส่งเอากล่องลงมาจากรถก็คือ ชะงักเลย กล่องใหญ่มาก และเขาเอา Plastics Wrap หมุน ๆ วนมาอย่างหนาเลย นึกว่าจะเอาขึ้นเครื่อง หรือว่ามันเอาขึ้นเครื่องแบบนี้มาจริง ๆ ก็ต้องไปหาคัตเตอร์มากรีดจนออกได้ เหนื่อยยก กับกรีดนี่แหละ
ตัวกล่องมาเป็นกล่องแบบ กระดาษลังทั่ว ๆ ไป ด้านหน้ามีการพิมพ์ Airdog พร้อมกับบอกว่า เป็น Green Technology Air Purifier ด้วยนะ ทำไมมันเป็นแบบนั้น เดี๋ยวเรามาเล่าต่อ
ที่หัวกล่อง ก็จะเป็นพวกข้อมูลของเครื่องทั้งหลาย ด้านบน เราเข้าใจว่าน่าจะเป็น Tag ที่ส่งจาก Airdog มาให้ตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่างบริษัท นภาโซลูชั่นส์ จำกัด และมีสติ๊กเกอร์ที่บอกพวกรุ่น และ ขนาดต่าง ๆ สำหรับการขาย และ การขนส่ง
ด้านบนทำมาเป็นกล่องเรียบ ๆ ซีลมารอให้เราแกะเลย
ที่สำคัญเลยนะ เวลาเขาซีลกล่องมา สติ๊กเกอร์เขาจะมีเขียนว่า Airdog ด้วยนะ ถ้าเกิดซื้อเครื่องมือหนึ่งแล้วเป็นเทปใสปกตินี่ให้เราคิดไว้ก่อนเลยนะว่า ไม่น่ารักละ มีอะไรแปลก ๆ
เปิดกล่องมา เราจะพบกับโฟมที่ป้องกันตัวเครื่องจากการขนส่ง ด้วยความที่กล่องมันใหญ่มาก ๆ และเครื่องมันหนักมาก ๆ ทำให้โฟมที่มันใช้ยึดมันแน่นมาก ๆ ขนาดเราเองยังต้องใช้แรงอยู่นิดนึง แต่ก็ยังแกะคนเดียวได้อยู่นะ แค่ระวัง ๆ หน่อย ระวังหลังเราน่ะ
เมื่อเราเอาโฟมออกมา เราจะพบกับตัวเครื่องอยู่ฝั่งซ้ายพร้อมกับพวก Paperwork ต่าง ๆ และ ขวาก็จะเป็นอะไรเดี๋ยวเรามาดูกัน
ตัว Paperwork ที่เขามีมาให้ตัวแรกคือคู่มือการใช้งาน เป็นภาษาไทยนะ ปกติเราจะบอกว่า เราไม่อ่านนะ แต่ด้วยความที่มันเป็นเครื่องที่ใช้หลักการที่เราไม่เคยใช้งานมาก่อน เราเลยจะอ่านคู่มือ เพื่อเริ่มใช้งาน ทั้งหมดเป็นภาษาไทยเลย แต่เอาจริง ๆ คู่มือนี่มันไม่ช่วยอะไรเลย เราแนะนำให้เข้าไปดูวีดีโอใน Youtube ของ Airdog Thailand แนะนำดีกว่าเยอะ เราเลยไป Search คู่มือของต่างประเทศ ทำให้รู้ว่า อ่ออออ คู่มือเล่มภาษาไทยนี่ก็คือ มันเอาคู่มือของ ต่างประเทศมาแปล โอเค สอบตกเรื่องการเขียนคู่มือมาก ๆ และอีกใบบอกเรื่องการรับประกัน
ตัวเครื่องรับประกัน 12 เดือน แต่ถ้าเกิดเรา รีวิวสินค้า 5 ดาว บน Shopee หรือ Lazada ที่เราซื้อมา พร้อมกับรีวิวสั้น ๆ จะได้รับการขยายเวลาการรับประกันเป็น 20 เดือน ส่วนตัวเราเอง เราไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีแบบนี้ในการประชาสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น มันทำให้เราได้รีวิวปลอม ๆ อะบางคนอาจจะรีวิวจริง ๆ แต่สุดท้ายมันก็เพื่อจะเอาประกันอะ มันไม่น่ารักเลย ซึ่งแน่นอนว่า เราก็ไม่สนใจละกัน
และสุดท้ายของฝั่งซ้ายก็จะเป็นตัวเครื่องที่ห่อเหมือนผ้ากันรอยมาอย่างดีเลย
และอีกด้าน มีการปิดด้วยโฟมเช่นกัน เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการขนส่ง
สิ่งที่อยู่ใต้โฟมนั้น ถ้าเกิดคนที่ไม่รู้ ก็น่าจะ งง แหละ มันคืออะไร จริง ๆ มันคือ กล่องเก็บฝุ่น แล้วน้ำหนักของมันบอกเลยว่า เยอะกว่าที่คิดมาก ๆ ตอนยกขึ้นมาก็ งง ๆ เลยพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงแยกออกมา ไม่ใส่ไว้ในเครื่องให้เราเลย เดี๋ยวตอนที่เราประกอบเครื่อง เราจะรู้ว่าทำไม
โดยหลัก ๆ ในกล่องก็จะมีเท่านี้เลย คือตัวเครื่อง, ที่เก็บฝุ่น และ คู่มือเท่านั้นเลย อย่าพึ่ง งง ตอนเราแกะ เราก็ งง สายไฟอยู่ไหนวะ แล้วเราจะเสียบปลั๊กยังไง อะ ใจเย็น อย่าพึ่ง งง อ่านต่อไปก่อน
ตัวเครื่อง Airdog X5 ดูผ่าน ๆ มันดูดีจริง ๆ นะ ดู Premium มาก ๆ อะ ดูสมราคาค่าตัวมันได้เลยละ ตอนแรกคิดว่า ราคาขนาดนี้ น่าจะทำจากโลหะแล้วละ แต่เคาะ ๆ ดู อ้าวพลาสติกแฮะ แต่ ๆๆๆๆ มันเป็นพลาสติกอย่างดีเลย เคาะแล้วรู้เลยว่า ของดีเลยทีเดียว
ตัว Design ของเครื่อง บอกเลยนะว่า เราชอบมาก ๆ เป็นเหตุนึงที่ทำให้เราไม่เอา X3 แล้วมาเอา X5 เลย เพราะมันดูเรียบง่าย เข้ากับบ้านสไตล์ Modern ได้ง่าย ๆ เลย
จุดที่เราว่า ทำให้ Airdog X5 มันดูดีมาก ๆ คือ พอเครื่องเป็นขาว แล้วทำแถบดำคาดออกมา อันนี้เป็นจอแสดงผลด้วย พวกค่า AQI ปัจจุบัน และ มี Logo Airdog อยู่ด้วย ดูดีมาก ๆ อันนี้ถูกใจ ให้ 10 10 10 ไม่หัก
อีกความเจ๋งคือ เมื่อเราเปิดเครื่องมา หน้าจอแสดงผลจะเปิดขึ้นมา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเครื่องมันจะแสดงค่า AQI หรือคุณภาพอากาศขึ้นมา ไม่ใช่ค่าฝุ่น PM2.5 เหมือนเครื่องอื่น ๆ นะดังนั้น 30 คือ โอเคละ กับด้านล่างที่เราเห็นไฟเขียว ๆ คือ ไฟที่บอกคุณภาพของอากาศ เช่น ถ้าไฟเป็นสีเขียวคือคุณภาพอากาศเยี่ยม แล้วมันจะขึ้นไปเหลือง และแดงในที่สุดถ้าคุณภาพอากาศมันแย่ ตัวหลอดที่ใช้ในการแสดงผลหน้าจอเอง เราว่ามันเป็น 7-Segment LED ธรรมดาเลย แต่พอมันส่องผ่านพลาสติกสีดำ มันทำให้ตัวเลขดูคมดูดีละกัน กับตัวหลอดที่ใช้ฉายสีของคุณภาพอากาศก็สว่างมาก สู้แสงได้ดี คือ ถ้าเราเอาไปวางในห้อง กลางวันเราเปิดม่าน มองจากอีกมุมของห้อง เราก็ยังเห็นได้สบาย ๆ แต่ ๆ ตัวมันไม่มี Light Intensity Sensor ทำให้เวลากลางคืน แล้วไม่อยากให้แสงจากเครื่องแยงตา เราจะต้องเปิด Sleep Mode เครื่องมันจะปิดหน้าจอ และไฟออกไปหมดเลย อย่างน้อยก็ปิดให้อะ
แถบดำนี้ก็คือ คาดไปรอบ ๆ เครื่องเลย ด้านข้างนี้เองก็ด้วยเช่นกัน ด้านข้างถัดจากแถบดำ เราจะเห็นว่า มันมีร่อง เอาจริง ๆ ตอนแรกนี่ไม่รู้คิดว่าที่แกะ อ่อ เปล่า เป็นร่องสำหรับให้มือเราสอดเข้าไปได้ตื้น ๆ เพื่อยกตัวเครื่องไปมาได้อย่างง่ายนั่นเอง เพราะเครื่องมีน้ำหนักเยอะหน่อย ดีที่มีร่องให้เราสามารถยกได้ และ ด้านล่างที่เราเห็นมันเป็นรู ๆ คือรูสำหรับให้อากาศเข้าไป จะเห็นว่ามันดูไม่เยอะนะ มันจะเอาอากาศเข้าได้เยอะเหรอ อ่อ เปล่า เขามีรูแบบนี้ในทุก ๆ ด้านยกเว้นด้านหน้าเลย รับอากาศได้แบบจุก ๆ อร่อย ๆ เลย
ด้านหลังเอง เราจะเห็นว่า มันมีเหมือนกับสลักให้เราเอาฝาออกมา ซึ่งเราสามารถดึงฝามันออกมาตรง ๆ ได้เลย ในนั้นก็จะเป็นพวกส่วนประกอบที่ใช้ในการกรอง และ Sensor สำหรับการวัดค่า AQI หรือคุณภาพอากาศ เป็นจุดที่ เมื่อเราใช้งานไป และต้องทำความสะอาดส่วนใหญ่จะอยู่ตรงนี้แหละ
ซึ่งเขาทำมาดีมากนะ มีรายละเอียดนะว่า ตรงฝาที่ให้เราเปิดได้ เขาจะเขียนว่า Pull ที่บอกให้เราดึงด้วยนะ อันนี้เราแอบชอบในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เครื่องฟอกอากาศอื่น ๆ ไม่ค่อยได้สนใจกันเท่าไหร่ ส่วนรู 3 รูด้านบน เป็นรูให้อากาศมันผ่านเข้าไปที่ Sensor วัด AQI ส่วนสติ๊กเกอร์สีเหลืองด้านล่างเป็นคำเตือนว่า ให้เรามีการตรวจสอบเครื่อง พวกที่เก็บฝุ่นอะไรเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเครื่องด้วย
ถ้าเราเปิดฝาหลังออกมา ด้านบนที่เราบอกว่าเป็น Sensor วัด AQI เราสามารถที่จะแกะฝาของมันอีกชั้นเพื่อทำความสะอาดได้ด้วยนะ
มันจะมีหน้าตาแบบนี้เลย ซึ่งวิธีการทำความสะอาดไปดูได้ใน Youtube ของ Airdog Thailand ได้เลย เขาทำวีดีโอมาละเอียดใช้ได้เลย
ไปที่ใต้เครื่อง เราว่า หลาย ๆ คนน่าจะรู้แล้วนะว่า ปลั๊กไฟมันอยู่ไหน เขาใส่มาใต้เครื่องเลย โดยที่เขาทำแง่งพลาสติกสำหรับม้วนสายไว้ใต้เครื่องด้วยนะ ถ้าเราใช้สายสั้นหน่อยเราก็ม้วนไว้เพื่อไม่ให้สายมันเกะกะบ้านเราได้ เออ อันนี้ฉลาด ๆ
แต่เครื่องที่เป็นข้อสังเกตคือ เขาทำมาเป็นสายที่ติดกับเครื่องมาเลย ถ้าเกิดสายมันมีปัญหา ใช้งานไปเกิดขาด หรือหัวปลั๊กมีปัญหา แน่นอนว่าเราไม่มีทางเลือกนอกจากจะส่งไปที่ Airdog Thailand เพื่อให้เขาจัดการต่อไป พร้อมกับการออกแบบการเดินสายในลักษณะนี้ เพิ่มความเสี่ยงเวลาเราขยับเครื่อง เพราะบางทีเราขยับ ๆ หรือย้ายที่เลย เราจะวาง มันจะต้องระแวงมากว่า เอ๊ะ เราจะทับสายจนมันหักมั้ย ต้องเอาเท้าเขี่ยไล่สายออกไปก่อนอะไรแบบนั้น มันเลยจะลำบากสักหน่อย แต่อะ ถือว่ามีความพยายามในการออกแบบแล้วละกัน แต่ไม่สำเร็จ
ที่สายไฟ มันจะมีกล่องอะไรบางอย่าง ทำจากพลาสติก และมีการกดเป็น Logo ของ Airdog ด้วย เราไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร มันคือ Adapter แปลงไฟเหรอ หรือเป็นพวกกันดูดหรืออะไร แต่ไม่สำคัญ เพราะเขาออกแบบมาให้เราใช้งาน แต่ส่วนที่สำคัญกับเราคือ มันอยู่ซะเกือบ ๆ จุดที่เราเสียบไฟ ถ้าเราเกิดเสียบกับ Wall Plug มันก็จะห้อย ๆ อยู่ข้างกำแพงนั่นแหละ หรือเราเองที่เสียบกับปลั๊กพ่วงที่ติดกับใต้โต๊ะทำงานก็คือ ห้อย ๆ อยู่แบบนั้นแหละ เรียกว่า ไม่น่ารักเลย อนาคตจะดีมาก ถ้าจะย้ายไปอยู่ใต้เครื่อง หรือทำให้มันซ่อนได้ง่าย ๆ ไม่ห้อยอยู่แบบนี้
ส่วนหัวปลั๊กที่ให้มาจะเป็นแบบหัวกลม 2 หัวนะ ไม่มีหัวสายดินใด ๆ ซึ่งก็.... โอเค รับได้แหละ เพราะเครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้ให้เรามาเหมือนกัน ถ้าอันนี้จะไม่มี เราว่าก็ได้อยู่มั้ง
ด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นส่วนที่ลมจะออกมา ทำให้มันเป็นช่องขนาดใหญ่เลย จากรูปเป็น Top View จะไม่เป็นว่า เขามีการทำให้มันเหมือนเป็นหลุมลงไปเล็กน้อยด้วย อันนี้เราไม่รู้เหตุผลเท่าไหร่ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น มันมีประโยชน์ในเรื่องของการควบคุมลมมั้ยไม่แน่ใจเหมือนกัน
ที่ด้านขวาล่างของด้านบน เราจะเจอกับปุ่มขนาดใหญ่อยู่ โดยเมื่อเราเสียบปลั๊กมีไฟเข้า มันจะมีไฟขึ้นมาที่ปุ่ม เพื่อเป็นการบอกว่า ไฟเข้าแล้วนะ อย่าเปิดฝาเล่นนะ เพราะอะไรเดี๋ยวเราไปเล่าในส่วนของ TPA Technology พร้อมกับด้านซ้ายของปุ่มเป็นไฟแสดงสถานะ เริ่มจากซ้ายสุด ๆ ที่ไม่มีสัญลักษณ์อะไรติดอยู่เลยคือ ไฟแสดงการเชื่อมต่อ WiFi จะใช้หลอดสีน้ำเงิน ถัดไปทางขวาจะเป็น Child Lock และ Sleep Mode ขวาไปอีก จะเป็นไฟบอกสถานะการใช้ Mode Auto และ ระดับของความแรงพัดลม โดยเราจะสังเกตได้ว่า หลอดมันจะใหญ่ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงเบอร์ที่มันทำงานอยู่
ไฟนี่ก็พีค ๆ อยู่คือ พัดลมปรับได้ 4 ระดับ แต่ไฟแสดงมี 3 หลอด คือ ถ้าเราเปิดเบอร์ 4 ไฟจะติดทุกหลอด เอ่อ อื้ม สงสัยนะว่า พี่ทำไฟอีกดวงเล็ก ๆ มันจะรกสักเท่าไหร่กันเชียว
เครื่องฟอกอากาศจากที่เป็นไอเท็มระดับ Rare กลายเป็นไอเท็มทั่ว ๆ ไปบ้านไหนก็มีแล้ว ในท้องตลาดตอนนี้ก็คือมีเครื่องหลายยี่ห้อออกมาเยอะมาก ๆ
ส่วนใหญ่หลักการจะคล้ายกันมาก ๆ คือ เราจะมีพัดลมตัวนึง ดูดอากาศผ่าน ไส้กรอง (Filter) ซึ่ง Filter ส่วนใหญ่มาก ๆ เราก็จะใช้เป็นระดับ HEPA Filter ทำให้มันสามารถกรองอนุภาคในอากาศที่ขนาดใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ เทียบกับ PM2.5 ที่เราเจอกันนั่นขนาด 2.5 ไมครอน ก็ดูน่าจะโอเคสำหรับการจัดการกับ PM2.5 ที่เราประสบกัน
แต่ ๆๆๆๆๆๆ เคยสังเกตมั้ยว่า ทำไม HEPA Filter เหมือนกัน แต่ราคายี่ห้อนึงหลักร้อย แต่อีกตัวหลายพันเลย นั่นเป็นเพราะ HEPA Filter เกิดมาไม่เท่ากัน มันมีเกรดของมันอยู่ โดยแบ่งจากประสิทธิภาพในการกรองตั้งแต่ H10-H14 โดยเลขยิ่งเยอะ ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีก เช่น H11 ประสิทธิภาพควรจะอยู่ที่ 95% แต่ H14 ไปถึง 99.995% จะเห็นว่ามันต่างกันเยอะมาก ๆ นะ
เท่าที่เราดู ยี่ห้อที่เราเห็นซื้อกันเยอะ ๆ ราคาไม่แพงส่วนใหญ่จะอยู่ที่ H11 - H12 เท่านั้น พวกตัวแพง ๆ หน่อยจะอยู่ H13 ขึ้นไป นั่นทำให้ราคามันต่างกันนั่นเอง หรือถ้าอยากเอาให้ละเอียดกว่านั้นก็ต้องไป ULPA แต่อันนั้น ราคาก็..... เปลี่ยนทีมีอ้วกแน่ ตามบ้านไม่ใช้แน่ ๆ
นอกจากนั้น ก็อาจจะมีการเคลือบสารประกอบบางอย่างสำหรับฆ่าพวกเชื้อแบคทีเรียลงไป กับ เพิ่มชั้นสำหรับกรองพวกสารละเหยต่าง ๆ ก็จะใช้เป็นพวกกลุ่มของ Activated Carbon ซะส่วนใหญ่
ดังนั้น ข้อสังเกตของเครื่องกรองอากาศที่ใช้ Filter คือ เราทุ่มทุกอย่างอยู่ที่คุณภาพของ Filter ความละเอียดของอนุภาคที่กรองได้ จะขึ้นกับช่องขนาดของ Filter ล้วน ๆ นอกจากนั้นพวก แบคทีเรีย หรือไวรัสเองที่ช่วงนี้เรากังวลกันเยอะ ก็ยังมีปัญหาอยู่ นอกจากนั้น เรายังต้องมีการซื้อ Filter มาเปลี่ยนอีก ซึ่งเอาจริง ๆ เลยนะ จากใจ คือ เครื่องฟอกอากาศ เรากะว่าจะใช้งานหลัก 10 ปี เพราะส่วนประกอบมันง่ายมาก ๆ แต่ปัญหาคือ เมื่อเวลาผ่านไป รุ่นใหม่ ๆ ออกมา ชิบหาย Filter รุ่นเก่าไม่ขาย หรือหาซื้อยากขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้เราประสบมาแล้วกับเครื่องฟอกยี่ห้อนึง
เพราะเหตุผลพวกนี้แหละ ที่ทำให้เราเริ่มไปดูเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ Alternative Technology ในการกรองต่าง ๆ และเราก็ไปนั่งอ่านจนเห็นว่า TPA Technology ของ Airdog นี่แหละ ดูจะเป็นอะไรที่น่าจะพึ่งพาได้มากที่สุดละ
TPA หรือ Two Pole Active ที่เป็นเบื้องหลังความเจ๋งของ AirDog เลยก็ว่าได้ เราต้องบอกก่อนนะว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรขนาดนั้น เพราะหลักการพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังอีกที มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ถ้าลองไปหาอ่านดูใช้ Keyword ว่า Electrostatic precipitator ดูได้ เราใช้กันมานานมากแล้ว แต่ เราไม่ได้เอามาใช้ในบ้านเรือนกันเท่าไหร่
หลักการของมันอยู่ตามชื่อเลยคือ Electrostatic หรือ ไฟฟ้าสถิต เราจะทำให้ฝุ่นมันเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นมา นั่นแปลว่า มันมีขั้วละ เรารู้ว่า ของที่มีขั้วตรงข้ามกันมันจะวิ่งเข้าหากันใช่ป่ะ งั้น เราก็แค่เอาวัสดุที่มีอีกขั้วให้ฝุ่นมันไปจับ นั่นทำให้เราไม่จำเป็นต้องใช้ Filter นั่นเอง
ตัวเครื่อง ถ้าเราเปิดฝาออกมา เราจะพบว่า เขามีการบุยางเพื่อเป็นฉนวนมาให้ด้วย ป้องกันไฟที่อาจจะหลุดรั่วออกมาโดนเราได้
ฝั่งของตัวเครื่อง ถ้าเราเปิดฝาออกมา เราจะเห็นเลยว่า ในเครื่องจะมีส่วนการกรองทั้งหมด 4 ชั้นด้วยกัน (แต่ถ้าเปิดมาครั้งแรก ชั้นที่มันใหญ่ ๆ นั่นคือกล่องเก็บฝุ่น เขาจะใส่แยกมานะ เราต้องเสียบเข้าเครื่องเอง)
ใน TPA ของ Airdog เองก็ใช้หลักการนี้แหละ เริ่มจากกรองพวกฝุ่นขนาดใหญ่ ๆ ด้วยชั้นกรองหยาบก่อน จะได้ลดภาระของชั้นต่อ ๆ ไป ชั้นนี้ก็จะเอาฝุ่นขนาดที่เรามองเห็นได้ เช่น เส้นผม เกษรดอกไม้ ขนสัตว์ และ ฝุ่นขนาดใหญ่ กรองผ่านเข้าไป เทียบกับเครื่องกรองธรรมดาบางตัวที่ Filter เขาจะเอาตาข่ายพลาสติกมาคลุม
จากนั้น เราจะต้อง Charge พวกอนุภาคในอากาศ Airdog เขาเลยทำชั้นที่เป็นม่านไฟฟ้าขึ้นมา เป็นเส้นลวดบาง ๆ ขึ้นมา เขาบอกว่า เวลาเครื่องมันทำงานเนี่ย มันมีไฟ 40,000 V วิ่งอยู่เพื่อทำให้ฝุ่นหรืออนุภาคต่าง ๆ ที่วิ่งผ่านเกิดประจุขึ้นมา ซึ่งเขาบอกว่า ตรงนี้แหละ เมื่อพวกแบคทีเรีย หรือไวรัสเข้ามา ไฟหรือพลังงานตรงนั้นแหละ ก็จะฆ่าทันที ทำให้มันไม่สะสมอยู่ในห้องของเรา
และเมื่อฝุ่นผ่านม่านไฟฟ้าแล้ว มันก็จะเข้าสู่กล่องเก็บฝุ่น ที่ตัวกล่องมันจะเป็นขั้วตรงข้าม ถ้าเราดูที่กล่องมันจะเป็นครีบ ๆ เดาว่า เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิว และแต่ละครีบจะเป็นโลหะ น่าจะเพื่อให้มีความสามารถในการนำไฟฟ้า ซึ่งก็จะเอาขั้วตรงข้ามมาวิ่งทำให้ฝุ่นที่ผ่านม่านไฟฟ้ามันไปติดกับกล่องเก็บฝุ่น โดยที่ Airdog เคลมว่า มันมีสามารถกรองอนุภาคได้เล็กถึง 0.0146 ไมครอน เรียกว่าละเอียดว่า HEPA Filter หลายขุมมาก ๆ และประสิทธิภาพในการเอาอนุภาคออกจากอากาศได้ถึง 99.9%
เราอยากรู้ว่ามันเก็บได้จริงมั้ย ตอนที่เราแกะเลยเอานิ้วรูดที่ แท่งโลหะพวกนี้ก็ไม่มีอะไรออกมา แต่พอเราใช้ไป 1 อาทิตย์ลองแกะออกมารูดดู อื้อหือออออ ดำเลยค่าาาา ถ้าใช้จนแบบที่เราเห็นในวีดีโอสอนการล้างคือ น่ากลัวสุด ๆ เลย
ตัวกล่องเก็บฝุ่นเอง เพื่อการทำความสะอาดที่ง่ายขึ้น เขาเลยทำให้เราสามารถถอดแยกชิ้นส่วนมันได้ด้วย เขาจะมีสลักพลาสติกอยู่ให้เราดึงออกมาทั้งสองข้าง อันนี้เรายังกังวลอยู่นะว่ามันจะอยู่ถึง 10 ปีใช่มั้ย แค่วันแรกมันยังรู้สึกว่าไม่แข็งแรงเลย
เมื่อแยกออกมา เราก็จะได้ออกมา 2 ชิ้นแบบในรูป ตัวชิ้นด้านขวา ที่เป็นโลหะ สำหรับการจับฝุ่น มันสามารถแยกออกมาเป็นอีก 2 ชิ้นได้ ทำให้เวลาเราทำความสะอาด เราจะต้องแยกมันออกมาเป็นทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน และ เราจะเห็นสีเทา ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ของกล่องเก็บฝุ่น เป็นสติ๊กเกอร์ที่เขาติดมาในกล่อง ก่อนเราจะใช้งานเราจะต้องเอาออกด้วยนะ ตอนแรกนี่ไม่รู้ ปล่อยไว้ พอเปิดเครื่องมาได้ยินเสียงเหมือนอะไรมันปลิวลมอยู่ จนอ่อ สติ๊กเกอร์นี่เจอลมมันก็ตีกับเครื่องเลยทำให้เกิดเสียง
แต่ถ้าเราใช้งานไป แล้วเราจำไม่ได้ว่ามันล้างยังไง เขาก็มีเขียนไว้ที่ตัวกล่องแล้วว่า เราจะต้องล้างอะไรยังไงบ้าง อันนี้เราชอบนะ พร้อมกับบอกด้วยว่า ให้เราหันด้านไหนขึ้น ส่วนนึงคือ เราว่าเขาควรจะแก้ปัญหาให้มันใส่ได้ด้านเดียว เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น เราลองใส่กลับด้านแล้วมันใส่ได้จริง ๆ มันไม่ได้มีสลักกันไม่ให้เราใส่กลับหัวเลย
สุดท้าย อากาศจะผ่านเข้าไปที่ชั้นที่เรียกว่า Ozone Remover จริง ๆ มันก็คือชั้นถ่าน Activated Carbon เหมือนกับที่เราพบเจอได้ในชั้น Carbon ของ Filter เครื่องฟอกเลย ทำให้ในชั้นนี้มันจะดูดซับพวกก๊าซ และ สารระเหยรวมไปถึงกลิ่นต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายกับคนเรา ซึ่งเมื่อเราใช้งานไป เราแค่เอาชั้นนี้ถอดออกมาไปตากแดดก็เอากลับมาใช้ใหม่ได้แล้ว โดยชั้นนี้ใน Airdog X5 เขาจะมีการไขสกรูติดอยู่ด้วยนะ การจะเอาออก เราจะต้องเอาไขควงไขสกรูออกมา 2 ตัวก่อนถึงจะเอาออกไปตากแดดได้
ทำให้ทั้งหมดที่เราจะต้องทำจริง ๆ ก็คือ การถอดส่วนต่าง ๆ ออกมาทำความสะอาดล้างน้ำธรรมดา ตัดปัญหา ค่าใช้จ่าย และ กำลังภายในการหาซื้อ Filter ไปเลย ให้กำลังภายในมันอยู่แค่ในหนังจีนเท่านั้นพอเนอะ
ถ้าคิด Cost กันดี ๆ ว่า ถ้าเราเปลี่ยน Filter เอาว่าราคาสัก 900 บาท ทุกครึ่งปี ปีละ 1,800 บาท 10 ปีก็จะเป็น 18,000 บาทด้วยกัน หรือเครื่องในเกรดสูง ๆ หน่อยอาจจะปีละ 3,600 บาท ก็ 36,000 ใน 10 ปี ด้วยส่วนต่างของ Airdog X5 กับเครื่องอื่น ๆ ที่ใช้ HEPA ในตลาดก็ถือว่าไม่ได้แพงกว่ากันเท่าไหร่เลย
หลังจากเราได้ลองหาข้อมูล และ ลองอ่านคำเคลมต่าง ๆ ที่ Airdog เคลมมา ทำให้เราสงสัยในหลาย ๆ เรื่องมาก ๆ มันจะ Science Nerd หน่อยนะ ถ้าไม่สนใจก็ข้ามหัวข้อนี้ไป
เรื่องแรกคือ ชั้นม่านไฟฟ้า 40,000 V จริง ๆ เหรอ เครื่องกินไฟ 60W อะเราตีว่า ใช้สัก 20W ในการสร้างประจุเลยอะ ที่เหลือให้พัดลมดูดอากาศ ถ้าเราเรียนฟิสิกส์ ม.ปลายมา เรารู้กำลัง กับแรงดัน เราก็จะหากระแสได้ คำนวณออกมาอยู่ที่ 0.0005 A เท่านั้นเอง เหรอออออ มันจะไหวจริง ๆ เหรอ อย่างน้อยมันต้องแปลงจากไฟบ้าน 220V เป็น 40 kV หม้อแปลงมันไม่ใหญ่เลยเหรอ แต่อันนี้ถูกแพคมาใน Packaging ขนาดเล็กมาก ๆ ก็ยัง งง ๆ อยู่เหมือนกัน
ถ้าเราบอกว่า ม่านนี่มันมีพลังงานสูงด้วย หรือว่า ที่มีการเรทว่ามันมีการปลดปล่อย Ozone ออกมาด้วย มันเกิดจากการที่ออกซิเจนในอากาศมันผ่านชั้นนี้ไป ทำให้ออกซิเจนบางส่วนมันแตกตัว และรวมตัวกันเป็น Ozone (ต้องบอกก่อนนะว่า Ozone เป็นพิษนะ กับคนก็เช่นกัน) หรือว่าชั้น Carbon ที่เขาตั้งชื่อว่า Ozone Remover มันทำหน้าที่นั้นจริง ๆ เพราะในช่วงแรก ๆ ของการใช้งาน เราลองสูดอากาศที่ได้จากเครื่อง เราได้กลิ่นเหมือนโอโซนเลย ใช้ ๆ ไปกลิ่นนี้มันก็น้อยลงมาก ๆ ละ น่าจะเป็นเพราะชั้น Carbon พึ่งใช้มั้ง
และสุดท้ายที่เราสงสัยคือ โอเค เขาเคลมว่า ขนาดของอนุภาคที่กรองได้มันเล็กกว่า HEPA มาก ๆ แต่ประสิทธิภาพมันอยู่ที่ 99.99% เท่านั้น ทำให้เมื่อเทียบกับ HEPA H14 เอง ที่มีประสิทธิภาพ 99.995% ในการกรอง ถ้าดูผ่าน ๆ ตัวเลขที่เห็นก็คือ HEPA H14 ดีกว่าเห็น ๆ แต่เราพูดแบบนั้นไม่ได้ เพราะ วิธีการที่ใช้ในการทดสอบ เราคิดว่ามันต่างกัน เลย ยัง ไม่ค่อยจะเชื่อคำเคลมอะไรมากเท่าไหร่
ในเมื่อเครื่องฟอกอากาศมันต้องเปิดอยู่ตลอด และไว้ในห้องนอนของเราเอง ทำให้ เสียง เป็นประเด็นสำคัญมาก ๆ เช่นกัน เราลองวัดขำ ๆ เริ่มจาก Baseline กันก่อน ถ้าเราไม่เปิดเครื่องเลย เสียงจะอยู่ที่ 34 dB
เมื่อเราเปิดพัดลมเบอร์แรก เสียงอยู่อย่างมาก 40 dB เท่านั้น ดังกว่าเดิมไม่เยอะมาก ก็ไม่น่าจะรบกวนเวลานอนแน่นอน มันเบามาก ๆ แต่ ๆ เสียงมันเหวี่ยง ๆ หวึ่ง ๆ วน ๆ อยู่ ถึงมันจะเบา แต่ถ้าเรานั่งทำงานแบบเงียบ ๆ มันก็น่ารำคาญอยู่ดี
เปิดพัดลมเบอร์ 2 ดังขึ้นมาหน่อยนึงที่ 44 dB อันนี้ถ้าเราเปิดเพลง หรือนั่งดูหนัง มันไม่มีปัญหาเลย มันไม่ได้ยินเลย แต่ถ้าเรานั่งเงียบ ๆ อ่านหนังสือ ก็พอจะได้ยิน แต่พอเปิดพัดลมเบอร์ 2 แล้ว เสียงเหวี่ยง ๆ มันหายไป กลายเป็นเสียงลมปกติเลย
เร่งขึ้นไปเบอร์ 3 ความดังของเสียงแอบโดดขึ้นไปเยอะอยู่เหมือนกัน อันนี้เรานั่งทำงาน เราได้ยินเสียงละ แต่ถามว่ารำคาญมั้ย ก็เริ่มละ แต่ถามว่ายังนั่งทำงานได้มั้ย เราว่าก็พอได้แหละ แต่ไม่น่าจะเอามาเปิดตอนนอนเท่าไหร่
และสุดท้ายคือ เปิดเบอร์แรงสุด ๆ เบอร์ 4 แบบจุก ๆ ไปเลย มันก็ดังอยู่ประมาณ 64 dB ซึ่งก็ใกล้ ๆ กับที่ Airdog เคลมไว้แหละ เสียงประมาณนี้ก็คือ บอกเลยว่า เราจะไม่เปิดเวลานั่งทำงาน หรือนอนเลยเพราะมันดังไป ไม่มีสมาธิเลย เราจะเปิดแค่เวลาที่ฝุ่นมันหนักจริง ๆ แค่นั้นเลย
ดังนั้น เรื่องเสียงเอาจริง ๆ แล้ว เราว่า ถ้าเราเปิดใช้งานทั่ว ๆ ไปคือ เวลาเราอยู่ห้องปกติ และเราเปิดไว้ตลอด อากาศมันก็ค่อนข้างสะอาดอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องเร่งพัดลมเยอะ เสียงก็จะเบา อยู่ได้แบบสบาย ๆ เลย เรียกว่า ดีกว่าตัวเก่าที่เราเปิดแรงสุด ๆ เสียงดังมาก ฝุ่นก็ยังไม่ลง
เราว่า เรื่องที่หลายคนเป็นห่วงมาก ๆ เพราะ Airdog X5 เขาใช้ไฟฟ้าในการช๊อต สร้างประจุแทนที่จะเป็นแค่พัดลมเฉย ๆ คือการบริโภคพลังงาน ถ้าเอาตามที่ตัวเครื่องมัน Rated ไว้เลย เขาบอกว่า กินไฟอยู่ที่ 60W หรือ 0.06 หน่วยต่อชั่วโมง หรือถ้าเราคิดเป็นเดือนเปิดไม่ปิดเลย 43.2 หน่วยต่อเดือน ถ้าเราบอกว่าค่าไฟเราหน่วยละ 5.5 บาท ก็จะอยู่ที่ 237.6 บาทต่อเดือน อันนี้คือสุด ๆ ละ แต่ในความเป็นจริง เราไม่ได้โหลดไฟสูงสุดขนาดนั้น เราโหลดต่ำกว่านั้นมาก ๆ ทำให้จริง ๆ แล้วมันถูกกว่านั้นเยอะสุด ๆ
เอาหละ เรามาวัดค่าจริงกันดีกว่า เราทดลองปรับพัดลมตั้งแต่ 1-4 โดยตัวเครื่องกินไฟต่ำสุดอยู่ประมาณ 15W ด้วยกัน ถือว่าน้อยมาก ๆ นะ และ ส่วนใหญ่ ถ้าเราเปิดทิ้งไว้ตลอด เครื่องมันก็จะวิ่งอยู่เบอร์ 1 เอง เร่งไปเรื่อย ๆ จนถึงพัดลมเบอร์สูงสุดคือ 51W ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องมันจะไม่ได้กินเท่าที่เครื่อง Rated อยู่ตลอดเวลาหรอก ส่วนใหญ่ก็จะ 15W เองนี่แหละ
Airdog X5 สามารถเชื่อมต่อกับ Application Airdog X ที่เราสามารถโหลดได้ทั้งบน App Store บน iOS และ Play Store บน Android แต่ถ้าเราหาใน Store เราจะเจอ App Airdog 2 ตัวด้วยกัน ดูง่าย ๆ ของในไทยเราให้โหลดอันที่เป็นพื้นหลังสีเขียว
เท่าที่เราเคยคุยกับเพื่อน เพื่อนเรามีปัญหาว่า หาตัว Application บน Play Store เลย จนเราคุยกับฝั่งของ AirDog Thailand เขาบอกว่า เวลา App มีปัญหาเลยอาจจะมีการถอดออกจาก Store ชั่วคราว เราก็ เอ่อออ แบบนี้ก็ได้เหรอวะ เลยเดาว่า ที่เพื่อนเราหาไม่เจอ เพราะมันโดนเอาออกจาก Store ชั่วคราวนี่แหละ
การเชื่อมต่อตัว App ขั้นตอนไม่ยากเลย แค่ให้เรากดปิดเครื่อง และ กดค้างไว้ให้เครื่องร้องตี๊ดยาว ๆ เครื่องจะเปิด และ ไฟแสดงสถานะ WiFi ก็จะกระพริบขึ้น แล้วให้เรากด Pair จากในโทรศัพท์ของเรา ไฟแสดงสถานะ WiFi ก็จะติดนิ่ง ๆ ในหน้า App ก็จะเข้าไปที่หน้าของเครื่องฟอก AirDog Thailand เขาทำวีดีโอสอนไว้ให้อย่างดีเลย
แต่เราเองกลับเจอปัญหาว่า เราไม่สามารถเชื่อมต่อเครื่องของเรากับ WiFi ได้ จนเราทดลองอยู่หลายวิธีมาก ๆ จนเราเจอปัญหาแรกคือ Airdog X5 ไม่สามารถเชื่อมต่อ WiFi ที่เปิดใช้งาน Band Steering ได้ ถ้าเราใช้ WiFi ในลักษณะนั้น เราจะต้องสร้าง SSID แยกที่ปิดการใช้งาน Band Steering และเปิดเฉพาะย่าน 2.4 GHz
หลังจากเราเชื่อมต่อได้ เครื่องมีปัญหา WiFi มันหลุด ๆ ติด ๆ ไฟแสดงสถานะ อยู่ ๆ มันก็กระพริบ ๆ แล้วก็ติด สักพักมันก็เกิดขึ้นอีก ทำให้เราสงสัยว่ามันน่าจะเกิดจากอะไร เพราะอุปกรณ์ IoT อีกร้อยกว่าตัวในบ้าน มันไม่มีปัญหาเลยนะ เราก็ติดต่อทาง AirDog Thailand ไป เขาก็บอกว่า ปัญหามันอยู่ที่ระบบ WiFi ในบ้านเรา
เพื่อความชัวร์ เราเลยเอา Access Point 6 ยี่ห้อ 6 รุ่นมาทดสอบเชื่อมต่อกันเลย เราขอไม่เล่ารายละเอียดละกัน ผลก็คือ เราเจอปัญหากับ Access Point ที่รองรับ Roaming (UniFi AC LR, Aruba Instant On AP11 และ Cisco Catalyst 9115AX) ซึ่งมันจะอยู่ใน Access Point ระดับ Enterprise และกลุ่มที่เป็น Mesh ทั้งหลาย ทำให้ถ้าเราต้องการจะใช้งานให้ไม่มีปัญหาจริง ๆ ตัว Access Point จะต้องไม่รองรับ Roaming เลย หลังจากทดลองเชื่อมต่อกับ Access Point กลุ่มนั้น เราก็ไม่เจอปัญหาอีกเลย
ทำให้เราเดาว่า ตัว WiFi Controller ที่มากับ AirDog X5 น่าจะมีคุณภาพต่ำมาก ๆ ทั้งในเรื่องของการรองรับมาตรฐาน หรือการเขียนโปรแกรมมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อที่ทำได้แย่มาก ๆ ประกอบกับ เสาอากาศที่ต้องยอมรับว่า รับสัญญาณได้แย่สุด ๆ ทำให้คำแนะนำของเราคือ ใช้ Access Point ที่ถูกที่สุดในตลาดไว้ เอาโง่สุด ๆ และ วางมันไว้ใกล้ ๆ เพื่อความเสถียรที่สุดในการเชื่อมต่อ
ในตัว Application เขาบอกว่ามีการ Update ใหม่ทำให้รองรับเครื่องฟอกอากาศ AirDog สูงสุดถึง 8 ตัวเลย และ เมื่อเราเข้ามาในหน้าของอุปกรณ์ของเรา มันสามารถที่จะบอก AQI พร้อมกับ กราฟแสดง AQI ตลอด 15 วันที่ผ่านมาได้ กราฟนี้ ถ้าเราอยากดูย้อนหลัง เราก็สามารถเลื่อนขวาไปได้
และด้านล่างเป็นส่วนควบคุมตัวเครื่องฟอกอากาศ ที่ทำให้เราสามารถปรับแรงลม, เปิด/ปิดตัวเครื่อง, โหมดนอนหลับ, โหมดอัตโนมัติ และ ล๊อกกันเด็ก ก็คือเหมือนกับที่เราสามารถทำได้บนเครื่อง และ Remote เลย แค่กดในโทรศัพท์จากที่ไหนก็ได้บนโลกที่ต่ออินเตอร์เน็ต
จากประสบการณ์การใช้งาน Application ต้องบอกเลยว่า มันเข้าขั้น แย่มาก ถึงมากที่สุดเลย เราไม่เคยเจอแย่ขนาดนี้มาก่อน ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะมันมีปัญหาการเชื่อมต่อติด ๆ หลุด ๆ ด้วยคือ เมื่อเรากดควบคุมบางอย่าง เช่น เราจะปรับกลับมาที่ Auto เรากดไปเกือบ 30 วินาที - 1 นาที มันถึงจะทำงาน ซึ่งตอนที่เรากด มันไม่มี Feedback อะไร แล้วมันช้า เราก็ไม่รู้กดย้ำ ๆ ไป พอคำสั่งส่งถึงเครื่อง เครื่องมันก็ร้องติ๊ด ๆๆๆ ตามจำนวนที่เรากดเลย คือ พอเครื่องมันได้คำสั่งมันก็ทำ แล้วมันโปรแกรมไว้แหละ ถ้าทำให้ร้อง แค่ว่าคำสั่งมันโดนกดหลายรอบ
หนักกว่านั้นอีก อันนี้คือ เราโทษ Programmer ละ เขาไม่ได้คิดเผื่อเคสที่ช้าแหละ คือ เมื่อเรากดเพิ่มความเร็วพัดลม เช่น เราอยู่เบอร์ 1 จะขึ้นไปเบอร์ 2 เวลาเรากด 2 ครั้ง เราคาดหวังให้มันเพิ่มความเร็ว 2 ครั้งเป็นพัดลมเบอร์ 3 ปรากฏว่า คำสั่งมันส่งไปช้า พอถึง มันก็ร้องตื๊ด ๆ 2 ครั้ง แต่พัดลมยังอยู่เบอร์ 2 เข้าใจว่า App ส่งคำสั่งว่าให้เปิดเบอร์ 2 แล้วพอเรากดอีกรอบ เครื่องยังไม่ส่งเบอร์พัดลมล่าสุดกลับมา เลยทำให้ปุ่มที่เรากดย้ำอีกรอบมันเลยเป็นการสั่งให้เปิดเบอร์ 2 เลยทำให้ส่งสั่งเปิดเบอร์ 2 ทั้งหมด 2 รอบนั่นเอง อันนี้เราว่าแก้ปัญหาไม่ยากคือ ถ้าแก้เรื่องช้าไม่ได้ ก็แก้ให้มันส่งคำสั่งเป็น การเพิ่มเบอร์ไปแทน ก็น่าจะแก้ได้อยู่
ปัญหาทั้งหมดนี้ เราไม่ได้นิ่งนอนใจ แน่แหละ มันของเราใช้เนอะ เราได้แจ้งปัญหานี้ และ รายละเอียดที่เราเจอให้กับทาง AirDog Thailand แล้วก็ คาดหวังว่า จะมี Software Update ออกมาแก้ปัญหานี้เนอะ อย่างน้อยเรื่องการเพิ่มความเร็วพัดลมก็ยังดี
ในการใช้งาน นอกจากที่เราสามารถควบคุมผ่าน Application บนโทรศัพท์ของเราได้แล้ว เรายังสามารถควบคุมผ่าน ปุ่มบนตัวเครื่อง และ Remote Control
โดยที่ปุ่มบนตัวเครื่อง เขาจะให้มาเป็นแบบ One Button Operation หรือคือ มีปุ่มเดียว ทำมันทุกอย่าง ก็โอเคเข้าใจได้เป็นเรื่องปกติของเครื่องฟอกอากาศเท่าที่เราเคยเจอมาอยู่ละ คือ เรากดจากเดิมเป็น Auto มันก็จะข้ามไปเป็นพัดลมเบอร์ 1,2,3 และ 4 แล้วมันจะไปที่ Sleep Mode กับวนกลับมาที่ Auto เหมือนเดิม
ในส่วนของ Remote เราสามารถทำได้เหมือนกับปุ่มของตัวเครื่องทุกอย่างเลย แต่ปุ่มทุกอย่างแยกกันหมด ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากดวน ๆ หลาย ๆ รอบ การใช้งาน เราว่ามันง่ายเลยนะ เขาออกแบบมามันก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ครั้งแรกที่ได้จับ Remote ก็คืออุทานออกมาดังมาก เพราะตัว Remote ทำจากพลาสติกที่จับแล้วรู้เลยว่าคุณภาพแย่มาก ๆ พูดบ้าน ๆ เรียกว่า ก๊องแก๊ง แบบนั้นเลยก็ได้ไม่สมราคาเครื่องเท่าไหร่ เทียบกับคู่แข่งที่มี Remote บอกเลยว่า ของยี่ห้ออื่นดีกว่าหลายขุมเลย
ตัว Remote มันใช้ถ่านกระดุมเบอร์ CR2025 เป็นถ่านกระดุมทั่ว ๆ ไปที่เราสามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ เลยละ ถ้ามันหมด เราก็สามารถหาเปลี่ยนได้ไม่ยากเท่าไหร่ อันที่ให้มา เหย เราว่าน่าจะเป็นถ่านของ Panasonic ด้วยนะ ให้ของดีนะ แบบเราเคยเจอหลาย ๆ ยี่ห้อที่ให้ถ่านพวกนี้มาด้วย เขาจะลดต้นทุนด้วยการใช้ถ่านถูก ๆ แล้วอายุการใช้งานน้อยมาก ๆ
แต่ข้อสังเกตคือ การออกแบบ ตัวรับสัญญาณ Remote ที่ Airdog X5 การที่เราจะใช้งาน Remote ควบคุมได้ เราจะต้องหัน Remote ไปที่ด้านหน้าของเครื่องที่มีจอแสดงผลเท่านั้น ถ้าเรากดจากข้าง ๆ และด้านหลังเครื่องส่วนใหญ่มันจะไม่ติดเลย เดาว่าตัวรับสัญญาณน่าจะอยู่ข้างหน้า ทำให้เวลาเราใช้งานจริง เราอยู่ใกล้ ๆ อาจจะไม่ได้หันหน้าเขาเครื่องก็จะใช้งานไม่ได้เลย เราเอง ที่ส่วนใหญ่ เราจะอยู่ข้าง ๆ เครื่อง เราก็ใช้งานไม่ได้เหมือนกัน ถ้าจะใช้ App ก็ไม่รู้เรื่องอีก สุดท้ายคือ เราก็ต้องเดินไปกดที่เครื่องอยู่ดี แล้วจะมี Remote และ App ไปทำไม
อีกส่วนที่ตอนแรก เราก็ไม่ชินกับการออกแบบของ Airdog เองคือ เมื่อเราเข้า Auto Mode ไฟแสดงสถานะบนเครื่อง ที่ความเร็วพัดลม มันก็ยังติด และบางครั้งมันอยู่ที่ 1 แล้วก็บางครั้งไป 2 จริง ๆ มันคือมันจะบอกว่า ตอนนี้จากค่า AQI มันเปิดพัดลมเบอร์อะไรอยู่ แต่ในแง่ของ Interaction Design เราว่า มันทำให้สับสนมาก ๆ เพราะคนจะเข้าใจว่า เราไม่ได้เปิด Auto Mode ถึงมันจะมีไฟแสดง Auto Mode อยู่ก็เถอะ ไม่ต้องใครไกล ตอนแรก เราเองก็ งง แต่พอเข้าใจมันก็ง่าย เราว่า มันเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมาก ๆ จุดนึงเลย
ถึงเราจะสงสัยอะไรเยอะแยะกับเจ้า TPA Technology ที่เป็นส่วนสำคัญของระบบกรองของ Airdog เอง แต่ประสิทธิภาพในการกรองที่ได้ เราประทับใจมาก ๆ
เพราะก่อนหน้านี้ เราใช้พัดลมกรองอากาศยี่ห้อหนึ่งอยู่ เราเปิดด้วยความเร็วสูงสุด พร้อมกับปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เปิดแอร์ ค่าความเข้มข้น PM 2.5 ก็ไม่ลงไปต่ำกว่า 30 ไมโครกรัม/ลูกบาก์ศเมตรเลย จนทำให้เราสงสัยว่า Sensor เสียเหรอ เลยเอาไปทดสอบกับห้องปิด ขนาดเล็กลง ค่าฝุ่นเริ่มต้นใกล้เคียงกัน ปรากฏว่า ค่ามันก็ลงไปได้ 2-3 ไมโครกรัม/ลูกบาก์ศเมตร แปลว่า มันไม่ได้เสีย เครื่องน่าจะกำลังไม่พอจัดการกับอากาศในห้องนอนเราได้
หลังจากเอา Airdog X5 มาเปิดในห้องเดิมเลย ค่าความเข้มข้น PM2.5 ที่ได้จากพัดลมฟอกอากาศเครื่องเดิม วางตำแหน่งเดิม มันตกลงไปเหลืออยู่ประมาณ 2-4 ไมโครกรัม/ลูกบาก์ศเมตร ในแง่ของตัวเลขเอง เอาแบบคร่าว ๆ มันก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจริง จากเดิม 30 กว่า เหลืออยู่ 4 ยิ่งตอนนอน ดูจากข้อมูลที่เก็บมันลงไปถึง 2 เท่านั้นเอง ก็ต้องพูดเลยว่า หน้าเท้า กลับเป็นหลังมือ
ในแง่ของ Human Particle Sensor คือ เราเอง บ้าง เพื่อให้มันโปร่งใส เราเลยเขียน Home Automation สำหรับการทำ Blind Test ขึ้นมา โดยเมื่อเรานอน เราจะให้มันสุ่มวัน บางวัน มันจะเปิดแค่พัดลมฟอกอากาศตัวเก่า และ บางวันเราจะให้มันเปิด Airdog X5 เราทดสอบทั้งหมด 10 วัน
จากการทดลองเราสรุปได้ว่า วันที่เราเปิดพัดลมฟอกอากาศตัวเดิม ตื่นมาจะคัดจมูก มีน้ำมูก ค่าฝุ่นโดยเฉลี่ยตลอดการนอนของทุกวันจะอยู่ที่ 35.13 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร แต่วันไหนที่ Airdog X5 เปิด เช้าวันต่อมา เราจะโล่งจมูกมาก ๆ โดยค่าเฉลี่ยตลอดการนอนของทุกวันจะอยู่ที่ 3.67 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร จากการทดลองง่าย ๆ ก็น่าจะทำให้เราเดาได้แล้วว่า เราไม่น่าจะคิดไปเองแน่ ๆ Human Particle Sensor มันทำงานได้จริง สะท้อนค่าฝุ่นจริง ๆ แต่ไม่เอาแล้วนะ ไม่ทดลองต่อแล้วนะ
หลังจากลองเสร็จ เราก็อยากรู้ว่า Filter มันจะดักฝุ่นได้เยอะขนาดไหน เลยลองแกะกล่องเก็บฝุ่นออกมาดู เออ ไม่เห็นอะไร จะเห็นได้ยังไงละ มันดักฝุ่นที่เล็กจนเรามองไม่เห็น แล้วก็มือบอนเอานิ้วไปรูดเลย อื้อหืออออ อะไรวะเนี่ย ทำไมดำได้ขนาดนั้น ทำให้เราเห็นว่า สีของโลหะตรงที่มันเก็บฝุ่น บริเวณที่เรารูด กับจุดอื่น ๆ มันมีความเข้มไม่เท่ากัน ตรงที่เราไม่ได้รูดมันดำกว่านิด ๆ แต่อย่าลืมนะว่า นั่นคือ 10 วันเองนะ หรือว่า เดือนนึงก็น่าจะต้องล้างแล้วเนี่ย
ไหน ๆ เราพูดถึง Sensor ละ เราว่าจุดอ่อนตัวนึงของเครื่องคือ Sensor มันมีความ Sensitive ต่ำมาก ๆ เราลองเปิดเครื่องเป็น Auto แล้วแกล้งเปิดหน้าต่างไว้ เครื่องฟอกยี่ห้ออื่น ๆ สามารถ ตรวจจับฝุ่นว่ามันเพิ่มขึ้นมหาศาล แล้วเร่งพัดลมได้อย่างรวดเร็ว แต่ Airdog X5 กว่ามันจะรู้สึก ค่า AQI บนหน้าจอขึ้นคือช้ามาก ๆ ทำให้ ถ้าใช้งานจริง ๆ เราจะไม่แนะนำให้ใช้ Auto เลย มันไม่ค่อยรู้สึกอะไรเก่งเท่าไหร่ เอาว่า Sensor ที่เราซื้อต่อเองราคาไม่แพงดีกว่าหลายสิบเท่า แต่กลับกัน ถ้าเราจะต้องควบคุมเองบ่อย ๆ มันก็ยุ่งอีก App ที่ควรจะใช้ได้ ก็เละเทะ ใช้งานจริงไม่ได้ กับ Remote ก็ไม่รู้จะพังเมื่อไหร่ สุดท้าย ไปจบที่กดบนเครื่อง ง่ายที่สุด
ประสิทธิภาพในการกรองกลิ่นกันบ้าง เราบอกเลยว่า มันเป็นตัวที่ กรองกลิ่นได้ดีมาก ๆ เรามั่นใจเลยว่า เป็นตัวที่กรองกลิ่นได้ดีอันดับต้น ๆ ในท้องตลาดเลย อย่างแรกก่อนเลย เราวาง Aroma Diffuser หรือบ้าน ๆ เราเรียกน้ำหอมก้าน กลิ่นก็เรียกว่า หายเกี้ยง บาย Jo Malone หนู..... อีกสถานการณ์คือ เราชอบเอามาม่า เข้ามากิน ซึ่งมันเป็นห้องนอน เมื่อก่อน เรากินเสร็จเอาจานลงไปล้าง กลับขึ้นมาเปิดประตูห้อง กลิ่นมาม่าตีเข้าหน้า แล้วก็นอนทั้งกลิ่นนั้นแหละ แต่อันนี้เราทำเหมือนเดิม ไปล้างจานกลับขึ้นมาเหมือนเดิม อ้าว กลิ่นมาม่ามันหายไปแล้ว ในเวลาแบบ ไม่นานเองนะ ตกใจเหมือนกัน
อีกการทดลอง เราเอา Airdog X5 เปิดพัดลมแรงสุด แล้วเอาไปไว้ในห้องขนาดเล็ก ๆ หน่อย แต่ห้องนั้นมีปัญหากลิ่นสี เพราะพึ่งทำห้องเสร็จไม่กี่เดือน และเป็นห้องปิดทึบ แบบทึบจริง ๆ อากาศไม่ค่อยระบาย วางเอาไป 2 ชั่วโมง เปิดห้องเข้าไป เออ มันแสบตาน้อยลงมาก ๆ แต่พอเอาเครื่องออกไป แล้วทิ้งไว้อีก 2 ชั่วโมง กลิ่นกลับมาเหมือนเดิมเย้ ก็น่าจะเพราะสาระเหย มันก็ออกมาเรื่อย ๆ พอเครื่องฟอกไปมันก็ออกมาเต็มห้องเหมือนเดิม แต่สิ่งที่จะบอกคือ Airdog ที่เราเอาไปลองตั้งมันช่วยได้จริง ๆ เสียดายที่เราไม่สามารถทดสอบเป็นตัวเลขได้ เราไม่มีเครื่องมือที่จะเอามาวัดค่าตรงนี้เลย
Airdog X5 เป็นเครื่องฟอกอากาศที่เราว่า เป็นเครื่องฟอกอากาศแบบใช้งานจริง ๆ มันเหมาะกับคนที่มีงบประมาณในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศสูงสักหน่อย แต่ราคาที่สูงมันแลกมากับการได้ใช้เทคโนโลยีอย่าง TPA ที่ทำให้มันสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็ก ๆ และเคลมว่าฆ่าเชื้อที่เป็นอันตรายต่าง ๆ ได้ และ เราไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อไส้กรองมาเปลี่ยน กับประสิทธิภาพของ Airdog X5 ยังทำงานได้ดีในสิ่งที่เขาเคลมอยู่ กลับกันในแง่ของ Feature อื่น ๆ ที่ทำให้มันน่าใช้ โดยเฉพาะการควบคุมทั้งหมดเลย เรียกว่าเข้ากันแย่แบบสุด ๆ เต็ม 10 ให้สัก -1 ไม่ก็ 2 เท่านั้นเอง การเชื่อมต่อกับ App ที่ยาก ต่อได้ใช้จริงก็ใช้ไม่ได้จริงคาดหวังไม่ได้ ส่วน Remote ก็จ่อกดได้ด้านเดียว (จะงก Receiver อะไรขนาดนั้น) สุดท้าย เราก็ต้องเดินไปที่เครื่องอยู่ดี ประกอบกับ เครื่องไม่แสดงค่าฝุ่นแต่เลือกที่จะแสดงเป็น AQI
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...
อีกหนึ่งรีวิวที่หลาย ๆ คนถามเข้ามากันเยอะมาก นั่นคือ รีวิวของ iPhone 16 Pro Max วันนี้เราได้เครื่องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งาน จับข้อสังเกตต่าง ๆ รวมไปถึงตอบคำถามที่สำคัญว่า iPhone รุ่นนี้เหมาะกับใคร...