By Arnon Puitrakul - 19 มิถุนายน 2023
หลังจากรอบก่อน เราได้ซื้อ AirDog X5 มาใช้งานในห้องนอนแล้วมันเจ๋งมาก ๆ พวกฝุ่นต่าง ๆ มันลดลงไปเยอะมาก ๆ จนถึงมากที่สุด กับไม่ต้องหาซื้อ Filter เปลี่ยนด้วย ติดใจขนาดนี้ ทำไมเราจะไม่ขยายผลไปไว้ในจุดที่เหลือในบ้านด้วยละ ห้องเล็ก เลยจัด Airdog X3 คู่กับ X5 ไว้อีกห้องเลย วันนี้จะมารีวิวกันว่า X3 ที่เป็นตัวเล็ก มันจะเล็กทั้งขนาดและ ประสิทธิภาพ หรือแค่ขนาดเท่านั้น มาดูกัน
เราเคยเขียนรีวิว ของ Airdog X5 ไว้แล้วนะ ถ้าใครสนใจตัวนั้น ก็ไปอ่านรีวิวด้านล่างนี้ได้เลย
เรามาเริ่มแกะกล่องกันดีกว่า ตัวกล่องมาถึงบ้านเราคือ มันก็ไม่ได้ใหญ่มากเท่าไหร่ มาเป็นกล่องกระดาษลังทั่ว ๆ ไป พร้อมกับพิมพ์ Brand AirDog กับบอกว่า เป็น Green Technology Air Purifier เลยนะ เอ๊อออ จริง ๆ ก็เหมือนกับกล่องของ Airdog X5 ที่เราเขียนรีวิวไปก่อนหน้านี้เลย
ด้านใต้ของตัวกล่อง เขาก็จะแปะข้อมูลของตัวเครื่อง
ถ้าเทียบขนาดของกล่องระหว่าง Airdog X3 (ด้านซ้าย) และ X5 (ด้านขวา) จะเห็นได้เลยว่า ขนาดมันต่างกันมาก ๆ เลยนะ จนแบบตกใจมากเลยนะ ทั้งความสูง และ ความกว้างยาวของกล่อง และน้ำหนักต่างกันมาก ๆ แบบ มากที่สุด
เรามาแกะกันเลยดีกว่า เหมือนเดิมเลยคือ เช็คที่ซีลด้วยนะ ซีลที่ถูกต้องคือ เราจะต้องได้ซีลที่มีโลโก้ของ Airdog อยู่ด้วยนะ ถ้ามาเป็นเทปใสปิดทับอีกที นี่ไม่น่ารักแล้วนะ
เปิดกล่องมา เราก็จะเจอกับตัวเครื่องขนาดใหญ่นอนอยู่ และมีโฟมมาปิดหัวท้าย เพื่อป้องกันอันตรายกับตัวเครื่องจากการขนส่ง จริง ๆ เราว่า ถ้าเขาเริ่มเทรนรักษ์โลก ตามบริษัทอื่น ๆ ใน Silicon Valley จริง ๆ น่าจะลดจำนวนโฟมพวกนี้ได้แล้วแหละ นอกจากรักษ์โลกแล้ว มันยังไม่กระจายเป็นเม็ด ๆ ปริวอยู่ในบ้านด้วย
ด้านหน้า เขาจะมีเป็นคู่มือการใช้งานมาให้เรา กับพวก Paperwork แต่แน่นอนว่า จากการใช้งาน X5 มาแล้ว เราเซียนแล้วเว้ย ดังนั้น เราข้ามไปเลย
ด้านข้างบนของกล่อง เราเห็นอะไรแปลก ๆ หยิบมาดู อ่อออ เดี๋ยวนี้เขาแถม Washing Kits ให้แล้วอ่าาา เครื่องเก่าเราไม่ได้เลยนะ ทำไมไม่ยุติธรรมเลออออ
ใน Washing Kit จริง ๆ ก็คือเป็นอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดเครื่อง Airdog ของเรานี่แหละ คือ แปรงสำหรับถูตัวกล่องเก็บฝุ่น และ ฟองน้ำสำหรับทำความสะอาดแผงลวด และ เช็ดคราบสกปรกบนตัวเครื่องนิดหน่อย เราบอกเลยนะว่า ก่อนหน้านี้ที่เราล้างเครื่องคือ มือดำเลยอะ ถ้ามีอุปกรณ์พวกนี้มาช่วย มันจะง่ายขึ้นเยอะมาก ๆ
ด้านหน้าที่เราเห็นว่ามันเป็นโฟม 2 ชิ้น ตอนแรก ก็ งง เอ๊ะ ทำไมมันทำกล่องสูงกว่าปกติวะ หรือ ทำไมมันใช้โฟม 2 ชิ้น จนมาแกะดู อ่อออออ เปิดมา เราจะเจอกับพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นขนาดใหญ่ ๆ เลยคือ กล่องเก็บฝุ่นของตัวเครื่อง พวกนี้เขาจะแยกชิ้นกับตัวเครื่องมานะ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการขนส่ง หรืออาจจะตกร่องไปโดนขดลวด ทำให้ขดลวดขาดได้
เมื่อเอากล่องเก็บฝุ่นออกมา เราจะพบกับ กล่องอะไรสักอย่างอยู่ในนี้ เกือบแล้วนะ ตอนแรกคิดว่า เป็น Sperator สำหรับคั่น เพื่อไม่ให้กล่องเก็บฝุ่นมันขยับจากการขนส่ง
ไฮหยาาาา ในกล่องก็คือ เป็น Adapter สายไฟสำหรับเสียบไฟเข้า เกือบทิ้งไปแล้วไง เราไม่คิดถึงพวก Adapter ไฟเลยนะ เพราะในตัว X5 ล่าสุดที่แกะไป สายไฟมัน Built-in กับเครื่อง ที่เราบ่นอยู่
ตัว Adapter มาเป็นสีขาว เข้ากับตัวเครื่องเลย พวกวัสดุอะไร ก็ถือว่าพื้น ๆ ทั่ว ๆ ไป การใช้งานกับเครื่อลักษณะนี้ เราว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่เราก็จะซ่อนไว้หลังเครื่องอยู่แล้ว กับพวกความคงทน คิดว่า น่าจะทั่ว ๆ ไป ไม่มีเรื่องน่าเป็นห่วงอะไรเท่าไหร่
สำหรับขนาดก็จะอยู่ที่ 13V/1.85A หรือ 24.05W ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก คิดว่าน่าจะสั่งพวก Generic Adapter มาปกตินี่แหละ มันเลยออกมาเป็นขนาดทั่ว ๆ ไป จริง ๆ ถ้า 24W อาจจะทำให้มันมีขนาดเล็กกว่านี้ได้เยอะมาก ๆ เลยะ เสียดายนิดหน่อย
เมื่อเราเอาตัวเครื่องออกมา ก็อย่างที่เราเห็นกันในกล่องคือ จะมีโฟมมากันบน และ ท้ายของตัวเครื่อง พร้อมกับที่เราเห็นขาว ๆ ที่คลุมเครื่องอยู่ เขาจะมีเหมือนผ้ามาคลุมไม่ให้ตัวเครื่องเป็นรอยด้วยนะ
เราแกะพวกโฟมกับผ้าคลุมออกมาละ เราจะพบกับตัวเครื่อง AirDog X3 ขนาดเอาตรง ๆ เลยนะ มันปุ๊กปิ๊กน่ารักมาก ๆ ดูดีมาก ๆ ให้ฟิลต่างจากจากรุ่นพี่ของมันอย่าง AirDog X5 มาก ๆ เราว่าที่มันเป็นแบบนั้น เพราะตัว X3 เขาจะไม่มีแถบดำ เลยทำให้มันดูโล้น ๆ เรียบ ๆ ประกอบกับความเล็กของมัน เลยทำให้ดูน่ารักไปซะงั้น และด้านล่าง ของด้านหน้านี้
เวลาเราเปิดใช้งาน เขาจะมีไฟสี สำหรับแสดงคุณภาพอากาศปัจจุบันด้วยนะ เช่น ถ้าคุณภาพอากาศดี เขาจะเป็นไฟเขียว พอแย่ลงก็จะเป็น เหลือง ส้ม แดง ตามลำดับลงไป เพื่อให้เราแค่มองไป ก็จะอ่อออ รู้แล้วว่ามันโอเคไม่โอเคยังไง
กับน้ำหนักมันน้อยกว่ามาก ๆ ตอนที่ยกแกะ คือมันไม่ทุลักทุเลเท่ากับตอน X5 เลย แกะง่ายมาก ๆ ตัวเครื่องมาในทรงเดียวกับ Airdog รุ่นอื่น ๆ เลยคือ จะเป็นตัวเครื่องสีขาว ทำจากพลาสติกที่ เราเคาะ ๆ แล้วแอบรู้สึกว่า เกรดไม่ได้สูงมากเหมือนกับ X5 แต่สิ่งที่ต่างคือ ความหนาของพลาสติก มันบางกว่า X5 มาก ๆ ทำให้ฟิลเวลาเราจับ มันก๊องแก๊ง ๆ ไม่สมราคาเท่าไหร่ อ้าว ฟิลแรกชิบหายซะละ
ด้านข้างของตัวเครื่องด้านล่าง เราจะเห็นรู ๆ จะเป็นรูสำหรับรับอากาศเข้าไปในเครื่องทำมาเป็นคลื่น ๆ ด้วยนะ แอบดูดีใช้ได้เลยสร้างลูกเล่นให้ Design ตัวเครื่องหน่อย กับพอพลาสติกมันบาง มันจะทำความสะอาดง่ายกว่ามาก ๆ เพราะตอนใช้ X5 เราเจอปัญหาว่า รูอากาศเข้าตรงซอกมันจะมีคราบดำ ๆ เต็มไปหมด เช็ดยากมาก อันนี้ไม่น่ามีปัญหาเลย กับด้านบน ที่เราเห็นรู ๆ มันจะเว้าเข้าไปด้วยนะ คือ เป็นที่จับ
ด้านบนของตัวเครื่องก็จะทำจากพลาสติกเหมือนกับตัวเครื่องทุกประการ เว้นแต่จะใช้เป็นสีดำแทน ก็ทำให้มันดูดีมาก ๆ เลยนะ พับช่องอากาศออกที่มีรูขนาดใหญ่อยู่ แต่มันก็เล็กมากพอที่จะทำให้เด็กเอานิ้วแหย่เข้าไปได้แน่ ๆ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนเด็กแหย่แล้วเกิดอันตราย แต่มันก็ใหญ่พอ ที่ถ้าเราปิดเครื่องอยู่แล้วพวกแมลงเล็ก ๆ มันจะเข้าไปได้ กับด้านขวา จะเป็นหน้าจอ กับปุ่มควบคุม เดี๋ยวเรามาคุยกันตอนใช้งานเครื่องอีกที
แล้วการทำที่จับเจาะ ๆ รูคือ มันไม่ได้มาเล่น ๆ นะ ตอนแรกนึกว่า อ่อ สวย ๆ อ่อเปล่า เวลาเราเปิดอะ ลมมันจะออกมาด้วยนะ แล้วมีทั้งสองข้างเลย ทำให้อากาศที่ฟอก มันก็จะกระจายในห้องได้เร็วขึ้นด้วยนะ เป็นจุดที่ชอบมาก ๆ ที่เครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ เจ้าไม่ทำกัน
ไปที่ก้นเครื่องก่อนเขาก็จะมีพวกรายละเอียดของตัวเครื่องอะไรก็ว่ากันไปตามปกติเลยนะ และช่อง ๆ ที่เราเห็นซ้ายขวา ของเครื่องก็จะเป็นรูสำหรับเอาอากาศเข้าอีกนะ ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ และ 4 รู ๆ ตามมุมที่เราเห็น มันคือขาของเครื่องโดยเขาจะทำจากยาง ทำให้ตัวเครื่องมันไม่ลื่นไปมาขูดพื้นบ้านเราเล่น โดยเฉพาะบ้านที่เป็นกระเบื้อง หรือหิน มันจะไม่ขูด และ ๆๆ พอมันเป็นยาง เป็นฉนวนไฟฟ้า ทำให้ถ้าเกิดอะไรขึ้น ไฟฟ้ามันก็จะไม่ไหลลงพื้นโดนเรานั่นเอง
เราจะเห็นแง่งเล็ก ๆ ที่อยู่ตูดด้านหลังของเครื่อง จะเป็นรูสำหรับการเสียบไฟเลี้ยงเข้า โดยใช้ Adapter ที่เขาให้มาในกล่อง ก็ใช้รูขนาดเล็ก เพราะมันไม่ได้กินไฟเยอะอะไรที่เขียนในรายละเอียด กินอยู่แค่ 27W เท่านั้นเองถือว่าไม่ได้เยอะอะไร และเรื่องที่เอา Adapter แบบเสียบแยกออกมานี่ขอชมเลยนะ อนาคตถ้าเกิด Adapter มันเสียขึ้นมา เราไม่ต้องติดต่อ AirDog ซื้อ Adapter ยุ่งยาก เราสามารถหา Generic Adapter ที่ แรงดัน กับพิกัดไฟตรงกันก็จบแล้ว กับหัว DC แบบนี้ เราหาซื้อได้ง่าย ๆ เลย
แต่ ๆ เราแอบติงเรื่องการเลือกขนาดหัวเล็ก ๆ แบบนี้ เวลาเราถอดเข้า ๆ ออก เวลาเราจะทำความสะอาดบ่อย ๆ มันอาจจะทำให้หัวที่มันเล็ก ๆ เสียหาย จนทำให้ไฟไม่เข้าเลยก็ได้ ดังนั้น อาจจะต้องใช้หัวที่มันมีขนาดใหญ่ มีความแข็งแรงมากกว่านี้หน่อยจะดีมาก ๆ
เวลาเราเสียบสายออกมา ไม่เหมือนหมาแล้ว เหมือนหางหนูมากกว่า สายไฟเส้นเล็ก ๆ แล้วมันมีข้อใหญ่ ๆ ขาว ๆ ด้วย เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน แต่เราไม่ชอบเลยที่มันมีแบบนี้ มันทำให้ดูรกพอสมควรเลย
ด้านหลังของตัวเครื่อง ด้านล่างก็จะเป็นรูสำหรับเอาอากาศเข้า เหมือนกับด้านข้างทั้งสองเลย ทำให้ตัวเครื่องก็จะมีรูสำหรับรับอากาศเข้าทั้ง 3 ทาง เว้นด้านหน้าไว้ ทำให้เครื่องมันสามารถเอาอากาศเข้าได้มากที่สุด พอรูมันมีเยอะ แรงดูดมันเท่าเดิม ทำให้เกิดแรงดันมันน้อยลง ส่งผลให้เสียงอากาศไหลเข้ามันเบาลง กับ ด้านหน้าไม่มีช่องรับอากาศก็ทำให้ด้านหน้าที่ใช้โชว์ก็จะดูสะอาดตามากขึ้น แต่เพราะช่องอากาศมันอยู่แบบนี้แหละ ทำให้เวลาเราวาง อย่าเอาไปวางในช่องที่ปิดมิดด้านล่างมาก เช่น ข้างโซฟาที่อาจจะปิดทึบ แล้วอีกข้างเป็นกำแพงแล้วอะไรแบบนั้น หรือพวกซอกอะไรพวกนั้น ทำให้อากาศเข้าไม่สะดวก เครื่องทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ควรจะวางให้ห่างจาก สิ่งของ และ กำแพงสัก 5-10 cm ในด้านที่รับอากาศเข้า น่าจะดี
ฝาด้านบนของตัวเครื่อง เป็นฝาเล็ก ๆ ที่เปิดแอบยากเหมือนกันนะ เพราะแง่งที่ให้เราดันลง มันแข็งมาก ๆ
เมื่อเปิดออกมา ก็จะเป็น Sensor สำหรับวัดคุณภาพอากาศ ดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้ใน AirDog X5 เลย ดังนั้น เราน่าจะคาดหวังคุณภาพใกล้ ๆ กันได้ ถือว่าดีนะที่พอรุ่นที่ถูกลง เขาก็ไม่ได้ลดคุณภาพของ Sensor
ด้านล่าง จะเป็นฝาสำหรับเข้าถึงพวกกล่องเก็บฝุ่น และ อุปกรณ์กรองต่าง ๆ โดยที่ฝาเขาก็จะทำมาเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ เลยคือ ตรงกลางที่มันเป็นบริเวณที่ไฟฟ้าไหลผ่าน เขาจะทำฉนวนไว้โดยการหุ้มด้วยยางไว้ อันนี้ตอนที่เราใช้ ๆ ไป อาจจะต้องมีการมาเช็ดหน่อย เพราะมันจะชอบมีคราบดำ ๆ มาเกาะอยู่
มาที่ด้านในเครื่องกันบ้าง อันนี้คือ เมื่อเราแกะกล่องออกมาแล้วเปิดครั้งแรกจะเป็นแบบนี้เลยนะ เราจะเห็นช่องขนาดใหญ่มาก ๆ อันนั้นคือ สำหรับใส่กล่องเก็บฝุ่นที่เราแกะกันไป
ถ้าเรามองเข้าไปด้านใน ช่องที่ให้เราสอดที่เก็บฝุ่นเข้าไป ที่มันมีไฟฟ้า เขาก็จะมีการหุ้มยางฉนวนเอาไว้ให้กันไฟรั่วด้วยนะ
สำหรับชั้นแรกคือ ชั้นกรองหยาบ ก็จะเป็นตะแกรงที่ละเอียดพอสมควรเลยนะ สำหรับกรองพวกฝุ่นขนาดใหญ่ เส้นผม ขนสัตว์ อะไรพวกนั้น ก็จะผ่านชั้นนี้ไปก่อน ลักษณะจะเหมือนกับ X5 เลย แค่ขนาดอาจจะเล็กกว่า มีเขียนให้เราเลยว่า Top คือให้เราหันด้านนี้ขึ้นบนเครื่อง
มาที่ส่วนของ ลวดสำหรับสร้างประจุให้ฝุ่น ใน X3 เราแอบชอบมากกว่า X5 นะ เพราะความถี่ของขดลวดมันถี่กว่า X5 นิดหน่อย ทำให้โอกาสที่ฝุ่นจะโดนขดลวดมีประจุแล้วไปติดกับกล่องเก็บฝุ่นจะสูงกว่า ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่า
ไปที่ชั้น Carbon สำหรับกรองกลิ่น และ เอาก๊าชที่ไม่พึงประสงค์ออกก่อนละกัน อันนี้ก็เป็นอีกส่วนที่ชอบใน Airdog X3 มาก ๆ คือ มันสามารถดึงเข้าออกได้เลย เพราะเวลาเราทำความสะอาดตัวเครื่อง เราจะต้องเอาไปตากแดดจัด ๆ แล้วเอากลับมาใช้ซ้ำได้ จะต่างจากเครื่องอื่น ๆ ที่เราใช้เสร็จก็ทิ้งเลย (จริง ๆ Activated Carbon พวกนี้คือ ด้านในมีรูเล็ก ๆ เต็มไปหมด ก๊าชมันก็จะเข้าไปอยู่ในรู แล้วรูมันจะเต็ม พอเราเอาไปตากแดด รูมันจะขยายเพื่อให้ก๊าชที่สะสมระเหยออกไป แล้วเราก็เอากลับมาใช้งานใหม่ได้ นี่คือหลักการของ Activated Carbon ทั่ว ๆ ไปเลย แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเอาชั้น Activated Carbon เครื่องอื่นไปตากแดดแล้วได้ชัวร์นะ เพราะส่วนใหญ่ เขาจะทำเป็นแผ่นที่ทึบแสง เลยทำให้กระบวนการปล่อยก๊าชออกทำได้ไม่มีประสิทธิภาพ) มันจะง่ายมาก ๆ แค่ดึงออกมา แต่ใน AirDog X5 เขาจะมีแผ่นพลาสติกที่ปิด แล้วใส่สกรูเข้าไปอีก ยุ่งยากกว่าเยอะ
ลักษณะของแผ่น Carbon คือ เขาจะทำเป็นช่องกลม ๆ ไว้แล้วในช่องกลม ๆ เขาจะเอา Activated Carbon ใส่ไว้ และ ถ้าเราลองเขย่า ๆ มันจะไม่มีเสียงเลยนะ เพราะก้อนถ่านพวกนี้มันถูกฟิคติดกับพนังในช่องเลย อันนี้เราไม่แน่ใจว่า มันทำแบบนั้นไปทำไม หรือเพื่อบอกอายุของมันหรือไม่ แบบถ้าเราใช้ ๆ ไปแล้วกาวที่ยึดมันเสื่อมแล้ว ถ้าเขย่าแล้วมีเสียงมาก ๆ ก็เป็นสัญญาณในการเปลี่ยนเหรอ แต่กว่าจะถึงวันนั้นก็นานเป็นสิบปีเลยนะ
ตัวกล่องเก็บฝุ่น ด้านข้างพวกกรอบเขาทำมาจากพลาสติกที่มันออกเงา ๆ นิด ๆ คิดว่า ถ้าเราใช้ ๆ ไปแล้วล้าง ๆ ไป น่าจะมีขนแมวแน่ ๆ แต่ก็ไม่ต้องสนใจมาก มันอยู่ในเครื่อง เราไม่เห็นอยู่แล้ว บอกเลยว่ามันเบากว่า X5 หลายขุมเลยละ แต่ ๆ ช่องที่เราเอามือสอดเข้าไป เพื่อดึงออกมา มันแอบเล็กไปหน่อย ทำให้ถึงมันจะเบากว่า แต่การเอาเข้าออกก็ยากกว่า X5 มาก ๆ
ตัวกล่องเก็บฝุ่นในรุ่นนี้ เราสามารถแกะแยกมันออกมาเป็น 2 ชิ้นเพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด วิธีการแกะคือ เขาจะมีเหมือน Switch ให้เราเลื่อนเพื่อปลดล๊อค ทำให้เราสามารถดึงแยกส่วนออกมาได้ ชอบมาก ๆ ง่ายสุด ๆ ต่างจาก X5 ที่มันขาล๊อค
จะเห็นเลยว่า ตัวมันสามารถแยกออกมาได้เป็น 2 ชิ้นแบบที่เห็นในรูปเลย เวลาเราใช้ไป เราก็แค่เอาไปทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่านี่แหละ แต่เราแอบเสียดายหน่อยตรงซี่ที่เก็บฝุ่น เขาทำมาเป็นสีดำ จะต่างจาก X5 ที่มันใช้สีโลหะเลย ทำให้เวลาฝุ่นมาเกาะเยอะ ๆ เราจะเห็นความต่างเลย พอเป็นสีดำ มันก็เห็นได้ยากกว่า อันนี้คือ เรื่องของความ Satisfy เวลาล้างเฉย ๆ นะ ฮา ๆ
ถ้าเราเอากล่องเก็บฝุ่นของ Airdog X3 (ด้านซ้าย) และ Airdog X5 (ด้านขวา) มาวางเทียบกันแล้ว เราจะเห็นเลยว่า ขนาดมันต่างกันพอสมควรเลย
จะเห็นความต่างมากขึ้นจากความสูงของมัน น่าจะต่างกันราว ๆ เท่านิด ๆ ได้เลยนะ ถือว่าเยอะมาก ๆ นั่นน่าจะทำให้น้ำหนักของมันเบากว่ากันเยอะมาก ๆ เวลาเราจะย้ายเครื่องไปมาสำหรับการรีวิว เห็นชัดมาก ๆ ในความทุลักทุเลในการขนย้ายฮ่า ๆ
ที่ด้านหน้าของกล่องเก็บฝุ่น เหมือนกับส่วนประกอบอื่น ๆ คือ เขาจะมีเขียนให้เราด้วยว่า เราจะต้องเอาด้านไหนขึ้น สำคัญมาก ๆ เลยนะ โดยเฉพาะกล่องเก็บฝุ่น กับเขาจะมีสติ๊กเกอร์เหลือง ๆ แปะไว้บอกว่า มันล้างได้แต่ ๆๆๆ ให้มั่นใจว่า แห้งจริง ๆ ถึงจะประกอบใส่กลับในเครื่องเด้อ สำคัญมาก ๆ ไฟฟ้ากับน้ำที่มีฝุ่น ไม่สนุกเท่าไหร่นะ
สำหรับการควบคุมเครื่อง Airdog X3 เขามาในรูปแบบของ One Button Control เลยคือ มีปุ่มอยู่ปุ่มเดียวในการควบคุมเลย คือตุ่มเล็ก ๆ ที่พอเราลองเอามือไปลูบ ๆ แอบรู้สึกถึงความ Cheap ของวัสดุมาก ๆ ฟิลปุ่มของเล่นราคา 500 บาทเลย ไม่น่ารักเท่าไหร่เลย กับเราสามารถต่อ WiFi เพื่อควบคุมผ่าน Application ได้ด้วยนะ กับไม่มี Remote เหมือนในรุ่น X5 ทำให้ตัวเลือกในการควบคุมก็จะมีแค่ ปุ่มบนเครื่อง และ Application AirDog บนโทรศัพท์
เมื่อเราเสียบปลั๊ก และประกอบทุกอย่าง อย่างถูกต้อง ไฟเขียว ๆ ที่เป็นรูป Switch จะติดขึ้นมา เราสามารถกดปุ่มเปิดเครื่องที่ด้านข้างไฟเขียว ๆ ได้เลย ส่วนตุ่มข้าง ๆ จอเลยดำ ๆ ที่เหมือนปุ่มสักอันมันกดไม่ได้นะ เราเดาว่าน่าจะเป็น Light Intensity Sensor สำหรับวัดแสง ที่ไว้ทำอะไร เดี๋ยวเรามาบอก
หน้าจอแสดงผลเรียกว่า เป็นเหมือนไฟ 7-Segment ธรรมดาเลย สำหรับคนที่เป็น Maker ก็จะรู้ราคาดีนะว่า มันประมาณไหน ถูกสัส ๆ เลยละ โดยด้านบน เมื่อเปิดเครื่องมา มันจะขึ้นมาเป็น L1 หมายความว่า เป็นพัดลมเบอร์ 1 และ มี A ขึ้นมาคือ Auto หมายความว่า คือเครื่องมันปรับพัดลมให้เราเอง โดยตอนนี้มันจะเลือกเบอร์ 1 ให้ เมื่อค่าคุณภาพอากาศมันแย่ลง มันก็จะปรับขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เราเอง
เมื่อเรากดที่ปุ่มเปิดอีกครั้ง มันจะออกจาก Auto สังเกตได้จากไฟตัว A เขียวที่หายไป แล้วถ้าเรากดอีก ไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นการปรับความแรงพัดลมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงเบอร์ 4
กดผ่านไปอีก เราจะเห็นเป็น จุด 3 จุด ถ้าดูที่หน้าเครื่อง ไฟแสดงคุณภาพอากาศก็จะดับ และพัดลมจะเงียบลงเป็นเบอร์ 1 หรือก็คือ Sleep Mode ที่จะพยายามไม่รบกวนการนอน สำหรับใครที่เอาไว้ในห้องนอน ใช้โหมดนี้ก็จะได้อากาศสะอาด และ เงียบสบาย เหมาะกับการนอน
แล้วความที่น้องเข้ามี Sensor สำหรับวัดแสง เวลา เราปิดไฟ หรือเครื่องอยู่ในที่มืด และ เราให้เครื่องอยู่ใน Auto Mode เครื่องมันจะตัดเข้า Sleep Mode ลดเสียงปิดไฟแสดงให้เราเลย แล้วพอเราเปิดไฟกลับมา มันก็กลับมาในโหมด Auto ปกติให้เราเลย อันนี้มันดีมาก ๆ เพราะตอนนี้ เราใช้ X5 ในห้องนอนเราแล้ว พอปิดไฟจะนอน แสงจากเครื่องมันจะแยงตาสุด ๆ ต้องมานั่งกดเปิดปิด Sleep Mode เองทุกคืน ไม่สนุกเลยนะ
และ ตัวเครื่อง ถ้าไม่ได้อยู่ใน Sleep Mode มันจะแสดง AQI หรือค่าคุณภาพอากาศ สลับไปมากับเบอร์พัดลมที่มันกำลังทำงานอยู่ด้วยนะ ย้ำว่าไม่ใช่ค่าความเข้มข้นของฝุ่นเหมือนกับเครื่องอื่น ๆ นะ เป็น AQI นะ
ในแง่ของการใช้งานจริง เราพูดถึงความที่เป็นเครื่องฟอกอากาศก่อนนะ คือมันเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ใช้หลักการต่างจากเครื่องอื่น ๆ ในตลาดบ้านเรือนทั่วไปมาก ๆ แต่เป็นเรื่องปกติ สำหรับโรงงานใหญ่ ๆ อะนะ AirDog เอาหลักการนี้แหละมาทำเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า TPA
ซึ่งจากการใช้งาน AirDog ของเรามา มันเป็นเทคโนโลยีที่ มันให้ประสิทธิภาพการกรองฝุ่นต่าง ๆ ออกได้ดีมาก ๆ แบบว่าดีจริ ๆ ถึงเราจะเห็นมันหน้าตาแปลก ๆ แต่ดีของจริง อันนี้การันตีเลย ลองไปอ่านได้ที่เรารีวิวตัว Airdog X5 ได้เลย ตอนที่ฝุ่นเยอะ ๆ แล้วเราแพ้ฝุ่น เจอเข้าไปตื่นมาน้ำมูกเราดีขึ้นเยอะมาก ๆ กับตัวเลขที่ได้จาก Particulate Sensor ก็เห็นเลยว่า มันดีกว่าเดิมเยอะมาก ๆ
กับอีกเรื่องที่เราต้องชื่นชมในประสิทธิภาพของ Airdog คือ การกรองกลิ่น มันโดดเด่นกว่ายี่ห้ออื่นเยอะมาก ๆ เราเอามาม่าเข้าไปกินในห้อง ลงไปล้างจานกลับขึ้นมา กลิ่นหายไปแล้วทั้ง ๆ ที่เราปล่อยอยู่ใน Auto พัดลมไม่ได้เร่งเลยด้วยซ้ำ กับพวกน้ำหอมคือหายหมด เกลี้ยง อวสาร Jo Malone เวอร์ !!!! ทำให้ เราว่ามันเหมาะมาก ๆ สำหรับบ้านที่เลี้ยงสัตว์ที่มันจะชอบมีกลิ่นในบ้านเรา มันน่าจะช่วยได้เยอะมาก ๆ เลยละ
พูดถึงข้อดีไปละ เอาข้อเสียกันบ้างคือ Application ควบคุมเรียกว่า ใช้งานไม่ได้เลยดีกว่า ห่วยแตกสุด ๆ กดแล้วกว่าจะไปช้าระดับหลักนาทีได้เลย กับ WiFi Chip น่าจะคุณภาพแย่มาก ๆ การเชื่อมต่อที่ยากมาก ๆ และถึงต่อได้ก็ไม่เสถียรอีก คือหวังการควบคุมแค่ผ่านปุ่มบนเครื่องเท่านั้นเลย กับพวกวัสดุตัวเครื่อง โอเค ทำออกมาหน้าตาดูแพงสมราคา แต่ถ้าเราลองได้จับ หรือมองใกล้ ๆ เราจะเห็นถึงความ Cheap มาก ๆ มันลามไปถึงว่า เมื่อเราใช้งานไปนาน ๆ หลักสิบปี เหมือนที่ Airdog เคลมว่าไม่ต้องเปลี่ยน Filter ใหม่นี่แหละว่า เออ Filter เราไม่น่าต้องเปลี่ยนอะ ที่ต้องเปลี่ยนคือกรอบตัวเครื่องมากกว่านะ เราว่า ถ้าเราซื้อเครื่องฟอกอากาศราคาขนาดนี้ มันก็มีความคาดหวังเรื่องวัสดุด้วยเหมือนกัน ซึ่ง Airdog X3 หรือ X5 ด้วย มันก็ไม่เคยตอบโจทย์ในเรื่องนี้เท่าไหร่ เรียกว่า มองสวย จูบไม่หอม
สำหรับ Airdog X3 เราว่า บทสรุปของเราเลย น่าจะเหมือนกับ Airdog X5 เลยคือ มันสำหรับคนที่มองหาเครื่องฟอกอากาศที่ราคาอยู่ในระดับสูงหน่อย เน้นไปที่ประสิทธิภาพในการกรองที่ดีมาก ๆ จากเทคโนโลยี TPA ที่เป็นของ Airdog เอง ลืมพวก การเปลี่ยน Filter และ ข้อจำกัดของ HEPA Filter ไปได้เลย ทำให้เราได้อากาศที่สะอาดดีมาก ๆ แต่ ๆ ส่วนอื่น ๆ แง่มุมอื่น ๆ ของตัวเครื่อง เราก็ให้คะแนนต่ำไปเลย จากตัววัสดุของเครื่องที่จับแล้ว Cheap มาก ๆ พูดตรง ๆ ว่า Cheap กว่า Mi ราคาไม่กี่พันเลยอะคิดดูละกัน กับการเชื่อมต่อกับ Application ที่มี เพื่อให้มีแค่นั้นเลย ใช้งานจริงไม่ได้ห่วยแตกสุด ๆ คือ ถ้าเรามองข้ามเรื่องพวกนี้ แล้วไปโฟกัสที่ หน้าที่ของเครื่องฟอกอากาศ คือการฟอกอากาศได้ เราว่า AirDog X3 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีตัวนึงเลยนะ สำหรับห้องขนาดเล็กหน่อยไม่เกินสัก 30 sqm^3
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...