By Arnon Puitrakul - 21 กรกฎาคม 2017
หลังจากที่คราวที่แล้วได้ บุกไปงาน Mobile Expo ไปซื้อ (ที่ไปงาน ตัวเครื่องเหลืออยู่ 2 ตัว กับ อุปกรณ์ เหลือชุดสุดท้าย) และกลับแกะกล่อง iPad Pro 10.5 inch พร้อมกับรีวิวคร่าว ๆ กันไปแล้ว (อ่านได้ที่ ลิงค์นี้) วันนี้ผมได้ใช้งานเจ้าเครื่องนี้มาได้เกือบเดือนแล้ว เลยจะมาเล่าว่า ประสบการณ์การใช้งานมันดีสมราคาค่าตัวมันรึเปล่า !!
เริ่มที่หน้าจอของ iPad Pro 10.5 inch กันก่อนเลย เพราะเหมือนกับจุดเด่นของ iPad ในปีนี้เลยก็ว่าได้ มันมากับหน้าจอที่ Apple เรียกว่า ProMotion ที่ Refresh Rate ของมันอยู่ที่ 120 Hz ทำให้เวลาเราใช้จะรู้สึกว่ามันลื่นขึ้นมาก ๆ
ถ้าเราดูวีดีโอรีวิวของต่างประเทศหลาย ๆ เจ้าก็พูดถึงหน้าจอ ProMotion นี้เยอะมาก ๆ แต่ก็ไม่สามารถโชว์ให้ดูได้ เพราะวีดีโอมันวิ่งอยู่ที่ 30 Hz ไม่เห็นความแตกต่างเท่าไหร่ แต่ถ้าได้ไปลองลูบคลำ ขอสัมผัสได้มั้ยจ๊ะ มาละก็น่าจะรู้สึกเลยว่ามันลื่นกว่า
นอกจากที่หน้าจอ ProMotion จะทำให้เรารู้สึกว่ามันลื่นขึ้นแล้ว ถ้าเราใช้กับ Apple Pencil แล้ว จะทำให้ Latency ของการเขียนลดลงเหลือแค่ 20 ms เท่านั้น ถ้านึกภาพไม่ออก คือเขียนแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเราเขียนอยู่ในกระดาษจริง ๆ เลย
การให้สี และแสงเองก็ทำได้ดีเช่นกัน เพราะหน้าจอรองรับ P3 Grammit ที่ให้ช่วงสีในการแสดงผลค่อนข้างกว้างมาก และหน้าจอที่สว่างถึง 600 nits ทำให้หน้าจอของ iPad Pro ตัวนี้ให้สีที่สมจริง และสว่างมาก ๆ แจ่มแมวเลยล่ะ !!!
ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบลำโพงที่มากับเครื่องต่าง ๆ สักเท่าไหร่ เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับพวกนี้มาเท่าไหร่ แต่ iPad Pro 10.5 inch นี้ทำให้ความคิดนั้นหายไป !! ตอนที่ลองเปิด JOOX ในเครื่องครั้งแรกนึกว่ามันไปต่อลำโพงหลังห้องอยู่ เสียงใส ชัด และดังมาก ๆ เพราะตัวเครื่องเองก็มากับลำโพงถึง 4 ตัวเลยทีเดียว มันเลยให้เสียงแบบนี้ได้
เราคงคุ้นเคยกับรูปทรง และหน้าตาของ iPad กันมานานแล้วละ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ก็หน้าตา และการวางอะไรต่าง ๆ ก็ได้รีวิวไปในตอนแกะกล่องแล้ว แต่สิ่งที่อยากให้โฟกัสคือ ขนาด มากกว่าจริง ๆ ที่ซื้อมาก็เพราะว่ามันมากับหน้าจอขนาด 10.5 นิ้วนี่แหละ
ถามว่า 10.5 นิ้วมันมีอะไรดี คำตอบมันอยู่ที่ Keyboard ด้วย มันทำให้เราได้ Full-Sized Keyboard ทั้งในหน้าจอเอง และตัว Smart Keyboard ด้วยทำให้เราพิมพ์อะไรได้สะดวกมากขึ้น
แต่หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นจาก 9.7 นิ้วจะทำให้ตัวเครื่องนั้นใหญ่ขึ้นมากเลย ขนาดของรุ่น 10.5 นิ้วแทบไม่ต่างจาก 9.7 นิ้วเลย เพียงแต่ขอบจอมันเล็กลง กับขนาดเครื่องที่ใหญ่ขึ้นนิดเดียวเท่านั้นเอง
การที่เราใช้ iPad Pro เป็น Tablet เราอาจจะไม่ได้แคร์เรื่องของกล้องมากก็ได้ แต่ Apple ก็จัดเต็มใช้ Module กล้องตัวเดียวกับ iPhone 7 ที่ว่าแจ่มกันเลยทีเดียว ทำให้ภาพที่ได้ออกมาทีคุณภาพสูงมาก จริง ๆ สูงกว่า Tablet ทั่ว ๆ ไปเยอะมาก ๆ เลยเท่าที่สังเกตอะนะ (แหงแหละ มันเอากล้องของ โทรศัพท์มาใส่นี่หว่าาา !!!)
การถ่ายภาพในเวลากลางวันก็ให้ภาพที่สีสดใส และคมมาก ๆ ภาพด้านบนคือตัวอย่างภาพจาก iPad Pro 10.5 inch เวลากลางวัน ผมลองถ่ายในหลาย ๆ มุม และเวลาก็ทำให้ได้ภาพที่สวยอยู่นะ สวยแบบไม่ต้องทำอะไรก็สวยได้
ภาพกลางคืนก็ทำได้ดีเช่นกัน เพราะมันให้ภาพที่ไม่เวอร์ เหมือนกับกล้องอื่น ๆ ที่บางครั้งมันพยายามจะทำให้เห็นรายละเอียดจนภาพเละไปหมด แต่กล้องตัวนี้ก็บ้างในที่ที่แสงน้อยจริง ๆ เคสส่วนใหญ่ก็ทำได้ดีมาก ๆ
ในเรื่องของการถ่ายวีดีโอ แน่นอนว่า iPhone 7 ถ่ายวีดีโอขนาด 4K ได้แล้วทำไม iPad เครื่องนี้ใช้กล้องตัวเดียวกันจะทำไม่ได้ และมันทำได้ดีด้วย ไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่ เพราะมันมากับ OIS หรือระบบกันสั่นด้วยละ ทำให้หายห่วงได้เลยว่า iPad สร้างสรรค์งานได้ออกมาเป็นอย่างดี
Spec ของ iPad Pro 10.5 inch ตัวนี้ก็จัดว่าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เพราะมันมากับ Chip A10X Fusion ที่แรงบ้านระเบิด ตูมตาม และ RAM ขนาด 4 GB DDR4 ที่ทำให้เราสามารถเปิด App ได้มากขึ้น เมื่อ 2 อย่างรวมกันนี่ทำให้เราสามารถใช้งานมันทำงานได้เยอะมาก ๆ
ที่ทึ่งมากคือมันสามารถตัดต่อวีดีโอ 4K ได้แบบหน้าตาเฉยมาก ๆ ลื่นปรื๊ด (Macbook Pro ที่ใช้ตอนนี้ตัด 1080p ก็ร้อนจนแทบจะดับหนีแล้วมั่ง) แต่ส่วนใหญ่ผมจะถ่ายรูปมากกว่า ก็เอา Raw File จากกล้องมาทำบน iPad Pro หรือเล่นเกมต่าง ๆ นี่ก็ไม่มีคำว่า กระตุก หรือ เครื่องร้อน ให้เห็นหรือสัมผัสกันเลย แค่อุ่น ๆ ลื่น ๆ ชิว ๆ
เห็นรีวิวที่ต่างประเทศทำ Benchmark ออกมาบอกว่า คะแนนนี่แทบจะเท่ากับ MacBook Pro 2017 กันเลยทีเดียว ฉะนั้นเรามั่นใจได้เลยว่าพลังของ iPad Pro เครื่องนี้เหลือหลายพอท่ีจะทำงานหนัก ๆ ได้ในอนาคตเลยละ ลองอ่านต่อดูได้ที่ลิงค์นี้
จากที่เห็นในภาพด้านบนเป็นผลคะแนน Benchmark จาก Geekbench ด้านบนเป็นผลคะแนนจาก Macbook Pro 2017 (13-inch) และด้านล่างเป็นของ iPad Pro 10.5 inch เห็นได้ว่าเฉือนกันไปนิดเดียวเท่านั้น แล้วลองคิดดูว่าเราสามารถพกเครื่องที่สเปกแทบจะเท่า Laptop ไปไหนมาไหนได้แบบเบา ๆ จะดีแค่ไหนกันเชียว ~
พูดถึงเรื่อง Spec กันไปแล้วที่บอกว่าแรงได้ขนาดนั้น แต่ Battery Apple บอกว่ามันอยู่ได้ถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทำให้เราใช้ได้ระหว่างวันได้แบบสบาย ๆ เลย เมื่อก่อนใช้ Surface 3 ต้องพกที่ชาร์จ แต่ตอนนี้พก iPad Pro ไม่ต้องพกเลย เดินถือแค่ iPad เครื่องเดียวจบ
ก็เท่าที่ลอง แบบอยากรู้ว่าถ้าเราดู YouTube ทั้งคืนแบตมันจะเหลือเท่าไหร่ เลยแกล้งเปิด YouTube แบบเปิดเสียง 75% แล้วให้มันเล่นไปทั้งคืนเลย ปรากฏว่าตื่นเช้ามา มันก็ยังเล่นอยู่ โดยที่แบตเหลือประมาณ 20% กว่า ๆ (ตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 8 โมงเช้า) ก็ถือว่าเรื่องแบตเตอรี่ก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เลย
ข้อเสียคือ Adapter ที่ให้มาในกล่องเป็น Adapter ธรรมดาที่ชาร์จได้ช้ามาก ๆ รีวิวต่างประเทศบอกว่าถ้าชาร์จตั้งแต่ 10% - 100% จะอยู่ที่เกือบ 4 ชั่วโมงด้วยกัน แต่ ๆ ช้าแต่ iPad Pro 10.5 inch นี้รองรับ Fast Charge เพียงแค่เรามี Adapter ของ MacBook (MacBook ธรรมดาไม่ Pro นะ) และสาย Lighting to USB-C ก็สามารถใช้ร่วมกัน และทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้นได้
ตัว Apple Pencil เองก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหลักเลยที่ผมเปลี่ยนมาใช้ iPad Pro แทนที่จะเป็น iPad ปกติ เพราะผมก็ใช้ Tablet ในการจด Lecture Note ในห้องเรียนอยู่แล้ว เลยต้องการเครื่องที่ใช้ปากกาได้
และตอนนี้ก็เริ่มหัดวาดรูปด้วยแหละ คือไหน ๆ ซื้อของดีมาใช้แล้วเลยอยากจะใช้ให้ได้เต็มที่มากกว่านี้ ด้านบนคือตัวอย่างรูปที่หัดวาด (อาจจะกากหน่อย กำลังหัดอยู่) น้ำหนักของตัวปากกามันกำลังดีเลย เหมาะกับการวาดรูปมาก ๆ อันนี้ชอบมากเลย
บทความถัด ๆ ไปก็จะมีรูปที่วาดเองมากขึ้น ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าทำในไหน ฮ่า ๆ
แต่เรื่องของแบตเตอรี่ก็เป็นเรื่องที่เซ็งส์ ๆ อยู่พอสมควรเลย เพราะมันหมดเร็วมาก ๆ ยิ่งถ้าเราใช้บ่อย ๆ มันยิ่งหมดเร็วเลย ด้วยราคา 3900 ที่จ่ายเพื่อซื้อปากากา ก็เซ็งส์กับแบตเตอรี่พอสมควร แต่ก็เป็น Stylus ที่ดีที่สุดอันนึงเท่าที่เคยใช้มาเลย มันดีมาก ๆ
Apple Smart Cover ก็เป็นอีกอุปกรณ์เสริมราคาแพง ที่โคตรแพง แต่ที่ซื้อมาเพราะจะซื้อมาพิมพ์ Blog เลยซื้อมา คือกะว่าจะให้ตัวเองเป็น MOJO (Mobile Journalism)
ประมาณว่า Process ในการเขียนบทความเริ่มต้นที่ iPad และจบที่ iPad เลยเหมือนกับบทความนี้ ก็พิมพ์บน iPad ทั้งหมดเลย และรูปก็ถ่ายจากกล้องมา แต่งใน iPad และ Publish ผ่าน iPad เลยสะดวกมาก
ตัว Keyboard เป็นแบบ Full-Sized หรือก็คือขนาดเท่ากับ Keyboard บน Laptop ปกติของเราเลย ทำให้เราไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก นี่ก็เป็นอีกข้อดีของขนาดหน้าจอ 10.5 นิ้ว ก็เพราะ Full-Sized Keyboard นั่นเองเลยทำให้ซื้อเลยจริง ๆ
ตอนแรกเห็นว่าปุ่มมันดูตื้น ๆ กลัวพิมพ์ไม่มันส์ ปรากฏว่าพอได้พิมพ์เท่านั้นแหละ หยุดไม่ได้เลย มันมันส์มากเสียง แจะ ๆ คือเจ๋งสุด ไม่คิดเลยว่า Keyboard ของ Tablet จะพิมพ์ได้สนุกขนาดนี้ และพิมพ์ไม่ยากเลย ไม่ต่างจากพิมพ์บน Laptop เลย
สิ่งที่แย่คือ เราไม่สามารถปรับความเอียงของจอได้ ทำได้แค่วางลงไปแล้วพิมพ์ ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้นั่งอยู่ในอิริยาบทที่เหมาะกับความเอียงระดับนี้ซะเท่าไหร่ ก็ทำให้มีเมื่อย และอีกอย่างคือไม่ค่อยเป็นมิตรกับผมในตอนแรก ๆ ซะเท่าไหร่ เพราะวิธีในการพับไปพับมาของมันต้องใช้เวลาเรียนรู้กับคนที่ไม่ค่อยถูกกับอะไรพวกนี้เช่นผมแบบนี้ ก็ต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะพับแบบที่ตั้งจอได้
ขึ้นชื่อว่า iPad Pro แต่ก็รันบน iOS เหมือนกับ iDevice ทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรใหม่ แต่มันก็มี App ต่าง ๆ ที่ทำมาเพื่อ iPad Pro อยู่หลาย App อยู่หนึ่งในนั้นคือ Procreate ที่เป็น App สำหรับวาดรูปที่ดีมาก ๆ ตัวนึง และมี Pro App อีกหลายตัวอยู่บน App Store แต่สังเกตได้ว่า มันมีไม่มากนัก
ดังนั้นเรื่องของ Pro App และ Software ต่าง ๆ ก็ไม่ได้ต่างจาก iOS ทั่ว ๆ ไปตรงไหนเลย แค่รันของเดิมบนเครื่องสเปกสูงขึ้นเท่านั้นเอง และแน่นอนว่าตอนนี้แกะกล่องมายังเป็น iOS 10 อยู่ ก็จะรอดูอยู่ว่า iOS 11 ที่บอกว่าจะเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งาน iPad ไปเลยจะเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวจะมาเขียนเป็นรีวิวแยกอีกรอบเมื่อได้ลองใช้
iPad Pro 10.5 inch เป็น Tablet ที่จะสมบูรณ์แบบก็ไม่ซะทีเดียว ด้วยสเปกที่แรงทะลุโลก ใช้ App อะไรก็ไม่มีคำว่า กระตุก ให้เห็นแม้แต่นิดเดียว จับคู่กับหน้าจอ ProMotion ที่ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานทั้งในด้าน Media Consumption และ Productivity ทำได้อย่างไม่สะดุด
และยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil และ Apple Smart Cover ที่ทำให้เราสามารถทำงานกับเจ้าเครื่อง iPad Pro 10.5 inch นี้ได้หลากหลายมากขึ้น
แต่ทั้งหมดก็มีข้อเสียเหมือนกัน เช่นเรื่องอัตราส่วนของหน้าจอที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนที่ซื้อมาใช้พวก Media Consumption (จริง ๆ เครื่องออกแบบมาให้เราใช้พวก Productivity มากกว่า ก็ไม่ว่าอะไร) กับข้อเสียของอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไป
มากกว่านั้น ค่าตัวของ iPad Pro 10.5 inch นั้นจัดว่าแพงมาก ๆ ในกล่องเองก็ไม่ได้มาพร้อมกับ Apple Pencil และ Apple Smart Cover ตามสไตล์ Apple ที่ต้องซื้อเพิ่มในราคามหาโหดของมัน ก็คงเหมาะกับคนที่ได้ใช้มันจริง ๆ เนอะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิว iPad Pro 10.5 inch ของผม จากการที่ได้ลองใช้มาเกือบ ๆ เดือนที่ผ่านมา จริง ๆ iPad เครื่องนี้เป็น iDevice เครื่องที่ 2 ของผมนะเครื่องก่อนหน้านี้เป็น iPhone 3GS ก็ยอมรับเลยว่า iOS มาไกลมาก ๆ จากไม่มีอะไรเลย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า มันแทบจะแทนเครื่องคอมได้อยู่แล้ว ตอนนี้งานส่วนใหญ่ของผมทั้งหมด (ไม่นับ Coding) ก็จะทำบน iPad ทั้งหมด ก็สะดวกไปอีกแบบ
สำหรับใครที่อ่านมาแล้ว รู้สึกเหมือนโดนบทความป้ายยาละก็ เข้าไปสั่งซื้อผ่าน Apple Store หรือ iStudio ทุกสาขาเลยนะ และเขาก็ไม่ได้จ่ายด้วยนะ
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...
อีกหนึ่งรีวิวที่หลาย ๆ คนถามเข้ามากันเยอะมาก นั่นคือ รีวิวของ iPhone 16 Pro Max วันนี้เราได้เครื่องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งาน จับข้อสังเกตต่าง ๆ รวมไปถึงตอบคำถามที่สำคัญว่า iPhone รุ่นนี้เหมาะกับใคร...