Science

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ? เหรอ ????

By Arnon Puitrakul - 28 ธันวาคม 2022

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ? เหรอ ????

เมื่อก่อน ตอนเราเด็ก ๆ มันจะมีแบบ การ์ตูนกรุ๊ปเลือด แล้วชอบบอกว่า คนกรุ๊ปเลือดนั้นเป็นแบบนี้ คนกรุ๊ปนี้เป็นแบบนั้น เราก็เชื่อนะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไร จนกระทั่งโตมา ก็เอ๊ะ นี่กรูฟังเ_ยอะไรมาเนี่ย วันนี้เราจะมา ช๊อตฟีล กัน ด้วยการบอกว่า มันไม่เกี่ยวเ_ยอะไรเลย กับนิสัยและสันดา_ของมึ_ ล้วน ๆ ค่าาาา แต่มันคืออะไรกันละ วันนี้เรามาเล่าให้อ่านกัน

ปล. เราไม่ได้จะโจมตีคนที่ทำการ์ตูนพวกกรุ๊ปเลือดออกมานะ แต่อยากให้ผู้อ่านมีวิจารณญาณในการรับชมด้วย เพราะ เราจะบอกว่า มีคนเข้าใจผิดว่ามันเกี่ยวจริง ๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น จนเอามาเป็นเรื่องเป็นราวแปลก ๆ มาเยอะแล้ว เหมือนจะตลก แต่แมร่งไม่ตลกจริง ๆ

เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell)

ก่อนเราจะไปคุยกันเรื่องของกรุ๊ปเลือด เราพามารู้จักกับตัวละครทีาสำคัญของเรื่องนี้กันก่อน นั่นคือ เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) มันอยู่เยอะทั่ว ๆ ไปในร่างกายของเราเลย อยู่ตามเส้นเลือดต่าง ๆ ถ้าเราจำที่เรียนกันมาได้ มันทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปตามเซลล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายของเราผ่านสารที่เกาะอยู่บนเม็ดเลือดแดงชื่อว่า Hemoglobin นั่นทำให้เลือดของเรามีสีแดงนั่นเอง

ถ้าเรามองเม็ดเลือดแดงเป็นรถขนส่งออกซิเจน หน่วยผลิตออกซิเจน ก็เป็นหน้าที่ของปอดเรานั่นเอง เลือดก็จะเข้าสู่หัวใจ แล้วโดนฉีดไปที่ปอด ภายในปอดก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สกัน เอาออกซิเจนเข้าไป เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ทำให้เราต้องหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป และ หายใจออกเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป

หน้าตาของเม็ดเลือดแดง ถ้าเรายังจำที่เรียน ๆ กันมาได้ ลักษณะของมันจะคล้าย ๆ กับโดนัท แต่ไม่ได้เจาะรูตรงกลาง เป็นแค่หลุม ๆ ตรงกลางเท่านั้นเอง สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเป็นเพราะ ตัวเม็ดเลือดแดงนางไม่มี Nuclues เพื่อให้ตัวมันเองมีพื้นที่ผิวในการที่จะให้ Hemoglobin จับตัวกับออกซิเจนให้มากขึ้น รวมไปถึงทำให้มันสามารถเข้าไปตามจุดเล็ก ๆ เช่น เส้นเลือดขนาดเล็ก ๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย

ถ้าเราเอาเลือดของเรามาปั่น ๆ จักรยาน ถุ้ย เลือดของเราจะแยกชั้นออกมาเป็น 3 ชั้นด้วยกัน เริ่มจากชั้นบนสุด มันจะเป็นน้ำใส ๆ สีเหลือง ๆ นิดหน่อย บางคนเรียกน้ำเหลืองอะไรเนี่ย (แต่มันคนละอย่างกันนะ) เราเรียกว่า Plasma คิดเป็นประมาณ 55% ของปริมาณของเหลวทั้งหมด ถัดลงมาเป็นพวกกลุ่มของเกล็ดเลือด และ เม็ดเลือดขาว สักเกือบ ๆ 1% ได้ และ ที่เหลืออีกเกือบ ๆ 45% จะเป็นเม็ดเลือด ในความกรุ๊ปเลือดที่เราพูดถึงกัน มันก็จะพูดถึงในของ 2 อย่างด้วยกันคือ Antibody และ Antigen ที่อยู่บน Plasma และ เม็ดเลือดแดงของเรา

Antigen vs Antibody

2 คำนี้เป็นคำที่สร้างความซับสนให้กับหลาย ๆ คนเยอะมาก ๆ หรือกระทั่งเราเองเมื่อก่อนตอนเรียนก็ เอ๊ะ หรือยังไงนะ จำสลับปะ เรามาทำให้มัน Clear กันดีกว่า (เอาละค่าาา กรูว่าตอนนี้เด็ก Immuno รอหยิก_ เราอยู่แน่นอน ถ้าชั้นอธิบายผิด ถถถถ)

Antigen เป็นสารที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรามันตอบสนอง เช่น ไวรัส และ แบคทีเรียทั้งหลาย พอเราได้รับเข้าไปมันก็จะกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเราให้ออกมาเต้น แล้วก็จัดการให้กลับสู่สภาวะปกติ

Antibody หรือเราอาจจะเรียกว่า Immunoglobins เป็นสารกลุ่มโปรตีน ที่ร่างกายของเราสร้าง เมื่อตรวจพบ Antigen เข้าสู่ระบบของเรา ซึ่ง Antibody แต่ละตัวมันก็จะมีความพิเศษที่จำเพาะกับ Antigen บางประเภท ฟิล ๆ เหมือนกับ กุญแจ กับ แม่กุญแจอะ เช่น เรามี Antibody ที่จำเพาะกับ สาร A เมื่อมันเจอกับสาร A มันก็จะเข้าไปเกาะได้ ซึ่งอาจจะทำการกำจัด หรือถ้าไม่ได้ มันก็จะทำหน้าที่ล่อเป้า เพื่อให้เซลล์อื่น ๆ ในระบบภูมิคุ้มกันของเราจัดการมันอีกที (เราไม่เล่าเรื่อง Epitope กับ Paratope นะ เดี๋ยวยาว)

จำง่าย ๆ คือ Antibody มีคำว่า Body คือตัวเรา ดังนั้นมันจะต้องสร้างจากตัวเรา เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันเรา ทำให้ Antigen คือสิ่งที่มาติดกับ Antibody เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเรา

ในการแบ่งกรุ๊ปเลือด เรามีหลายระบบมาก ๆ ถึงประมาณ 40 ระบบกันเลยทีเดียว แต่ระบบที่เราใช้งานกันเยอะ ๆ เพราะมันมีผลในการใช้งานเลือดในหมู่คนจำนวนมากคือระบบ ABO และ ระบบ Rh

ABO System

ระบบการแบ่งกรุ๊ปเลือดที่เราน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอันดับแรก ๆ คือระบบที่เรียกว่า ABO ตัวระบบนี้ มันจะแบ่งตาม Antigen ที่อยู่บนเม็ดเลือด และ Antibody ที่อยู่ใน Plasma ของเรา โดยสนใจที่ A-Antigen, B-Antigen, A-Antibody และ B-Antibody โดยเราจะแบ่งกรุ๊ปเลือดออกเป็น A,B,AB และ O

InvictaHOG, Public domain, via Wikimedia Commons

ถ้าเราดูจากตารางด้านบน เราจะเห็นว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ป A ก็คือคนที่มี A-Antigen แต่กลับกัน เขาก็จะมี B-Antibody และเช่นเดียวกับคนที่มีเลือดกรุ๊ป B ก็จะมี B-Antigen และ A-Antibody จะเห็นว่ามันสลับกันโดยสิ้นเชิงเลย นอกจากนั้น มันก็ยังมี คนที่ มี และ ไม่มี Antigen ด้วย นั่นคือกลุ่มของ คนกรุ๊ปเลือด AB ก็จะไม่มี Antibody ใด ๆ แต่มีทุก Antigen กลับกัน กรุ๊ป O ก็จะมี Antibody ทั้ง A และ B เลยแต่ไม่มี Antigen สักตัว

ง่าย ๆ คือ ถ้าเรามี Antibody อะไร เราจะรับเลือดของกรุ๊ปที่มี Antibody นั้น ๆ ไม่ได้ เช่น เราบอกว่า เราเลือดกรุ๊ป A เราก็จะรับเลือดกรุ๊ป B ไม่ได้ เพราะในเลือดกรุ๊ป A มี A-Antigen มันก็จะไปจับกับ A-Antibody ที่อยู่ในเลือดกรุ๊ป B นั่นแปลว่า คนที่มีเลือดกรุ๊ป O ก็จะรับได้แค่กรุ๊ป O กันเองเท่านั้น แต่ให้กับคนที่มีเลือดกรุ๊ปใดก็ได้ เพราะเขาไม่มี A-Antigen และ B-Antigen ในเม็ดเลือด เลย ทำให้เราเลยเรียกเลือดกรุ๊ป O ว่า Universal Donor

กลับกันในคนที่มีเลือดกรุ๊ป AB นางไม่มี Antibody-A และ Antibody-B เลย ทำให้มีความสามารถในการรับเลือดที่มีทั้ง Antigen-A และ Antigen-B หรือจะไม่มีเลยก็ได้ นั่นแปลว่า เขาจะสามารถรับเลือดจากกรุ๊ปไหนก็ได้ในระบบ ABO ทำให้เราเรียกคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ว่าเป็น Universal Recipients นั่นเอง

Rh System

อีกหนึ่งระบบที่เราใช้งานกันคือระบบ Rh ในตัวนี้ ซับซ้อนน้อยลงหน่อย เพราะเรื่องใหญ่ ๆ ที่เราจะดูคือ เราจะดู การมีอยู่ของ Antigen และ Antibody RhD ที่อยู่ในเม็ดเลือด และ Plasma ของเรา

ซึ่งผลมันจะเป็นไปได้ทั้งหมด 2 แบบด้วยกันคือ Rh Positive (Rh+) และ Negative (Rh-) โดยที่ Rh+ หมายถึงคนที่มี Antigen RhD อยู่ที่เม็ดเลือดแดง แต่กลับกัน คนที่มี Rh- หมายถึงคนที่ในเลือดไม่มี Antigen RhD อยู่

นั่นแปลว่า คนที่เป็น Rh+ สามารถรับเลือดจากทั้ง Rh+ ที่เหมือนกัน และ Rh- ที่ไม่มี Antigen RhD ได้หมดเลย แต่คนที่มีหมู่ Rh- สามารถรับจากเฉพาะคนที่มี Rh- เท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่า ประชากรส่วนใหญ่ ก็จะมี Rh+ กันซะเยอะ โดยจากสถิติของประเทศไทยเอง เรียกว่า Rare มาก เพราะเราจะพบคนที่มี Rh Negative 3 คนจาก 1,000 คนเท่านั้น

อย่างที่เราบอกว่า มันเป็นเรื่องของการดู Antigen และ Antibody แค่แต่ละระบบ เราดูต่างตัวกันเท่านั้น ในความเป็นจริง Antigen และ Antibody พวกนี้ มันมีอยู่ด้วยกัน ทำให้ในความเป็นจริงแล้ว เวลาเราจะรับเลือด สมมุติว่า คนที่เป็น Rh- มันไม่ได้หมายความว่า เราจะเอาใครที่เป็น Rh- มาให้เลือดนะ แต่เราต้องดูความเข้ากันได้ในระบบอื่น ๆ ด้วยเช่น ABO System ทำให้คนที่เป็นกรุ๊ป O Rh- นี่คือ หนักมากนะ O ก็รับได้เฉพาะ O ด้วยกัน แล้วยัง Rh- ที่หายากอีก ก็คือหนักเลยละ กับมันจะมีเรื่องของการที่แม่ที่เป็น Rh+ แล้วลูกเป็น Rh- มันก็จะมีการจัดการที่ให้แพทย์ที่ดูแลจัดการเนอะ

แต่ถ้าถามว่า Rh แบบไหน Rare ระดับ SSSSSSSS เลย เราขอยกให้กับ Rhnull อย่างที่เราบอกว่า Rh System เราดูกันที่ RhD Antigen แต่จริง ๆ แล้วในระบบ Rh เราดูทั้งหมด 5 ตัวด้วยกันคือ D, C, E, c และ e คิดว่าการที่ Antigen RhD มันไม่มี มันหายากแล้วใช่มั้ย Rhnull คือ กรุ๊ปเลือดที่ ไม่มี Antigen ทั้ง 5 ตัวในระบบ Rh เลย เท่าที่เคยอ่านมาคือเหมือนทั้งโลกมีไม่ถึง 50 คนเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าตอนนี้เหลือเท่าไหร่แล้ว

Blood Typing

ในเมื่อต่างคน เราต่างมีกรุ๊ปเลือดที่แตกต่างกัน มันมีผลแน่กับการนำเลือดไปใช้ เพราะถ้าเราไม่ตรวจสอบ เวลาเราจะให้เลือด ลองคิดว่า ถ้าเราเลือดกรุ๊ป A ที่ในนั้นมี Antibody B แล้วเราได้รับเลือดกรุ๊ป B ที่มี Antigen B เข้าไป แน่นอนว่า ร่างกายเราจะคิดว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้มันพยายามจะกำจัด นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนถึงแก่ชีวิตได้เลย

ทำให้มันจะต้องมีการทำ Blood Typing หรือการหาว่า เราเนี่ยเลือดกรุ๊ปอะไร ก่อนการใช้งานเลือดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เราว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นการทดสอบมาบ้างแล้วละ ลองดูคลิปด้านบนประกอบไปก็ได้

สิ่งที่เขาทำก็คือ การเอาตัวอย่างเลือดนี่แหละ มาหยดลงไปใน Plate ทั้งหมด 3 หยดด้วยกัน จากนั้น เขาก็จะเอา Antibody A,B และ D มาหยดลงไป ถ้าหยดไหนมันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นตะกอน แปลว่า ในเลือดตัวอย่างมี Antigen ตัวนั้นอยู่ เช่น เราบอกว่า หยดอันที่เราใส่ A และ D เข้าไปมัน เป็นตะกอน แต่ B ไม่เป็นไร เลย แปลว่า เราเลือด A Rh+

อีกเคส ถ้าเราหยดลงไปแล้วไม่มีอันไหนเป็นตะกอนเลย ก็น่าจะคิดได้เลยว่า น่าจะเป็น O Rh- ใช่มะ เพราะในเลือด ไม่มี Antigen A, B และ D เลย แค่นั้นเลย

กรุ๊ปเลือด VS นิสัย VS อาหาร

โอเค เริ่มเรอะ เราว่า Part นี้แหละน่าจะช๊อตฟิลใครหลาย ๆ คนได้เลยละ เพราะเราจะบอกว่า ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่ยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของ กรุ๊ปเลือด กับนิสัย และ อาหาร ทั้งหมดที่เอามาเขียนกันก็คือ อุปโลกน์ กันขึ้นมา เพื่อคุยเล่น ๆ กันในวงสนทนามากกว่า พูดง่าย ๆ คือมันเป็นเรื่องแต่งแหละแล้วอาจจะแมส เพราะมันเข้าถึงง่าย คือเราเข้าใจคนที่เอาเรื่องนี้มาเล่นกันนะ แต่ประเด็นคือ มัน มี คน เชื่อ จริง ๆ โว้ย ส่วนตัวเรามองว่า มันอยู่ที่สันดา_ของมึ_ล้วน ๆ ค่าาา กรุ๊ปเลือดไม่เกี่ยว หรือถ้าใครมีงานวิจัยที่ดูความสัมพันธ์พวกนี้ ลองส่งมาหน่อย อยากอ่านเหมือนกัน

แต่อันที่พูดกันเป็นตุเป็นตะมาก ๆ คือ กรุ๊ปเลือดกับอาหาร อันนี้ฟังครั้งแรกคือ อิ หยัง วะ เท่าที่เราไปลองค้นหามา เขาบอกว่า มันเป็นเทรนการกินอาหารใหม่เลยนะ เขาบอกว่า ในอาหารที่เรากินมันมี เลคติน (Lectin) ที่ทำปฏิกิริยากับหมู่เลือด ส่งผลไปในเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันด้วย โอ้โห้ เอาเข้าไป

บอกก่อนนะว่า Lectin นี่มันมีอยู่จริง ๆ นะ มันเป็น Protein ชนิดหนึ่งที่มันจะชอบไปเกาะอยู่กับพวกกลุ่ม Carbohydrates ซึ่งหน้าที่ของมันในคนเรา มันทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างมาก ๆ เช่น การสื่อสารระหว่างเซลล์ต่าง ๆ หรือกระทั่งการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเรา นอกจากนั้น มันยังช่วยเป็นเป้าให้กับการขนส่งยาในร่างกายของเราได้ด้วย [Human Lectins, Their Carbohydrate Affinities and Where to Find Them]

แต่ ๆๆ เราก็ยังหางานวิจัยที่ยืนยันคำเคลมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ กรุ๊ปเลือด และ การเลือกกินอาหารได้จัง ๆ อันเลยนะ กับเราก็ยังคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า การมี Antigen A, B และ D กับ Antibody A และ B มันทำให้มีผลต่อ Lactin ได้อย่างไร หรือกระทั่งการบอกหมู่เลือดในระบบอื่น ๆ เองก็เถอะ ก็ยังไม่รู้จะเชื่อมความสัมพันธ์ยังไงเหมือนกัน ดังนั้น ในวันนี้ ด้วยหลักฐานที่ออกมา ณ วันที่เราเขียน เราว่า ถ้าใครจะเชื่อก็เอาเลยฮ่ะ ไม่ขัดศรัทธา อนาคตอาจจะมีการทดลองที่พิสูจน์ให้เห็น นั่นก็อีกเรื่อง ไว้รอดูกัน

สรุป

กรุ๊ปเลือดไม่ได้บอกบ้าอะไรอย่างที่พวกเราคิดกันตอนนี้เลย จากหลักฐานที่เรามีอยู่ตอนนี้อะนะ มันเป็นเรื่องของการมี Antigen อยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดง และ การมี Antibody อยู่ใน Plasma ในเลือดของเราเท่านั้นเอง ซึ่งมีผลจริง ๆ กับการถ่ายเลือด ที่ถ้าแพทย์ไม่ได้ตรวจก่อนการถ่ายเลือดก็อาจจะมีอัตรายถึงชีวิตได้ เพราะถ้าให้เลือดผิด ร่างกายของผู้รับจะมีการต่อต้าน แล้วทำให้มีอาการแทรกซ้อนหลาย ๆ อย่างตามมาได้

Read Next...

หลังจากมะนาวโซดา ไปโซดามิ้นท์กันแล้วชะลอวัยกี่โมง

หลังจากมะนาวโซดา ไปโซดามิ้นท์กันแล้วชะลอวัยกี่โมง

มันมีลัทธิกิน โซดามิ้นท์ กันแล้วหวะทุกคน นี่มันอะไรกันวะเนี่ย หลังจากมะนาวโซดาฆ่ามะเร็ง สู่โซดามิ้นชะลอวัยกันแล้ว วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า คนที่เขาอ้าง เขาอ้างว่ากินยังไง ทำไมถึงมีผลแบบที่เขาบอกได้จริง และเราจะเล่าในเชิงวิทยาศาตร์ทางการแพทย์ว่า ทำไมมันอันตรายกว่าที่ทุกคนคิด...

เจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของ กันแดด ทำไมมีหลายแบบ จะเลือกอย่างไร

เจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของ กันแดด ทำไมมีหลายแบบ จะเลือกอย่างไร

ถ้าต้องให้เลือก Skin Care แค่อย่างเดียวเราะจะเลือกอะไร เราคงตอบได้อย่างรวดเร็วว่า กันแดด แน่นอน แต่ถ้าเราลองไปดูกันแดดในท้องตลาดบ้านเรา มันมีเยอะมาก มีหลายประเภทสารพัด วันนี้เรามาเล่าให้อ่านกันในเชิงวิทยาศาสตรดีกว่าว่า มันมีแบบไหน และ แบบไหนเหมาะอะไรกับใครบ้าง...

มันจะไม่มีอีกแล้วหมาล่าแดง ๆ กับ Sudan Red

มันจะไม่มีอีกแล้วหมาล่าแดง ๆ กับ Sudan Red

เราอ่านข่าวเจอเรื่องการที่ไตหวันพบการแพร่ระบาดของการผสมสีอย่าง Sudan Red ลงไปในเครื่องปรุงต่าง ๆ โดยเฉพาะพริก และพวกผงหมาล่าที่นำเข้าจากประเทศจีน วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า สรุปแล้วเรื่องมันเป็นอย่างไร และ สีเจ้าปัญหาอย่าง Sudan Red มันเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างไร...

Perfume Science 101: ทำไมน้ำหอมถึงมีกลิ่น ?

Perfume Science 101: ทำไมน้ำหอมถึงมีกลิ่น ?

ช่วงนี้เราอินกับ น้ำหอมมาก ๆ เรื่องที่เราคิดว่าน่าใจมาก ๆ สำหรับ เราที่สนใจน้ำหอม และวิทยาศาสตร์คือ วิทยาศาสตร์เบื้องหลังของน้ำหอม มันมีอะไรมากกว่าที่เราคิดมาก ๆ ทำไมกลิ่นนี้ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ หรือเรื่องที่เรามา Cover กันในวันนี้คือ ทำไมน้ำหอมถึงมีกลิ่น ?...