By Arnon Puitrakul - 18 มีนาคม 2019
ความเครียด ไม่ว่าจะจากเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว และอื่น ๆ อีกมากมายที่เราเผชิญมันแต่ละกัน ล้วนทำให้เราไม่สบายใจ ดั่งไฟร้อนในอก (ถ้าไฟ_านนั่นเพื่อนน่าจะมีเยอะ) ช่วงนี้เราก็เรียนแล้วก็เครียดเหมือนกัน เราเลยอยากจะมาแชร์ว่า วิธีที่ทำให้เราออกจากวังวนแห่งความเครียดโลกระเบิดมันมีอะไรบ้าง ที่เราใช้แล้วรอด
เป็นวิธีที่เราชอบทำมาก ๆ เวลาเราต้องเจอเรื่องยากลำบากในชีวิต บางทีเราอาจจะผ่านมันไม่ได้ในรอบเดียว ก็เหมือนกับเกมเก็บเวลละฮ่ะ ที่บางครั้งเควสบางอันเราก็ยังไม่สามารถผ่านได้ด้วยเลเวลที่เราอยู่ หรือไม่ก็ค่าพลังบางอย่างมันไม่เพียงพอ หรือบางครั้ง เราอาจจะยังไม่มีไอเท็มที่ทำให้เราผ่านเควสนี้ก็ได้
ถ้าเป็นในเกม เราก็จะออกไปตามหาสิ่งเหล่านั้นก่อนใช่ม่ะ ไม่ว่าจะเป็นเลเวลโดยการไปเก็บมอนสเตอร์ ไปดื่มยาเพิ่มพลัง หรือจะต้องไปออกตามหาไอเท็มบางอย่าง แต่ชีวิตเราไม่เหมือนในเกมที่จะดื่มยาแล้วฟื้นพลังได้เลย วิธีนึงที่เราใช้เพิ่มพลังแบบเร็ว ๆ คือการตั้งเป้าหมายในระยะเวลาสั้น ๆ และให้รางวัลกับตัวเอง
ไม่มีใครชอบถูกเกลียด หรือ ไม่อยากได้อะไรหรอกครับ คนเรามีความอยากได้เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือ รางวัล นึกถึงตอนเด็ก ๆ เราว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยสัญญาอะไรบางอย่างกับผู้ปกครองแล้วละว่า ถ้าหนูสอบได้ x.xx หนูอยากได้ .... พอผู้ปกครองเราตบปากรับคำเท่านั้นแหละ เหมือนอะไรเข้าสิงไม่รู้ให้เราพยายามที่จะสอบให้ได้ตามที่เราบอกไว้ เพื่อให้เราได้รางวัลที่เราอยากได้
วันนึงที่ผ่านไปตอนนั้นมันไม่น่าเบื่อ หรือ เหนื่อยเลย เพราะเรานึกถึงรางวัลที่อยู่ข้างหน้าแล้ว เรารู้ว่า ถ้าเราทำได้ เราจะได้รางวัลเมื่อไหร่ อย่างถ้าเป็นเรื่องการสอบ วันที่เราจะได้รางวัลก็คือ วันที่คะแนนสอบออกไง มันมีเป้าหมาย มันเห็นปลายทาง มันทำให้เราพุ่งเข้าหามันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย (ในช่วงแรกอะนะ ฮ่า ๆ)
ยิ่งนับวันเข้า รางวัล หรือ เป้าหมายที่เราใฝ่หามันค่อย ๆ Abstract และต้องใช้เวลาเดินทางไกลขึ้นไปเรื่อย ๆ จากของเล่นที่อยากได้ กลายเป็นความร่ำรวยบ้างแหละ เป็นความสำเร็จในบางเรื่องบ้างแหละ เรียนให้จบบ้างแหละ มันไม่ใช่อะไรที่เราจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงได้เลย แรก ๆ เราก็อาจจะมีไฟแหละว่า เออ ทำ ๆ ไปเดี๋ยวมันก็ถึงปลายทางเองแหละ เวลาผ่านไปเจอเรื่องมาก ๆ เข้า ๆ ไฟที่เคยลุกโชนมันกลับมอดลงทุก ๆ วัน เพราะเราเจอแต่ปัญหา แสงสว่างปลายอุโมงที่เราเคยฝันถึง มันกลับหลิบหรี่ลงทุกวัน ๆ จนทำให้ทุก ๆ วันที่เราตื่นมามันมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเต็มไปหมด และอยากที่จะออกไปจากตรงนี้สักที
สิ่งที่เราลองทำ และ มันพอจะช่วยเราได้คือ การตั้งเป้าหมายในระยะเวลาสั้น ๆ เราลองง่าย ๆ อย่างเช่น ถ้าเราทำการบ้านเสร็จ เราจะได้เล่นเกมเพิ่มขึ้น 30 นาที หรือ ถ้าเราตื่นเร็ว ไปเรียนทัน เราจะได้ไปกินชานมไข่มุข (โดยที่โนสนโนแคร์ว่าชั้นจะอ้วนหรือไม่ ฮ่า ๆ) จะเห็นว่ามันเป็นเป้าหมายสั้น ๆ ที่ทำให้แต่ละวันของการเดินทางสู่เป้าหมายโดยที่เราเห็นแสงสว่างบ่อยขึ้น ทำให้เรามีแรงที่จะสู้ต่อไป เพราะเราเห็นไงว่า ปลายทางมันอยู่ตรงไหน เช่น ถ้าเราทำการบ้านเสร็จ เราก็รู้นิว่า การบ้านที่ได้มามันมีอะไรบ้าง เราแค่ต้องหาวิธีสิ๊ว่า เราจะทำมันให้เสร็จยังไง
ถ้าเกิดมันยังไม่ได้อีก เราแนะนำให้ลองซอย Task หรือเป้าหมายให้ถี่ขึ้นในช่วงแรก พอเราเริ่มมีไฟขึ้นมา เราก็ขยาย Task กลับไปเรื่อย ๆ พยายามปรับขึ้นลงตามแสงสว่างปลายอุโมงในใจเรา มันก็น่าจะทำให้เราผ่านเรื่องในแต่ละวันไปได้
อีกนิดนึง จริง ๆ ไม่ใช่แค่การซอยเป้าหมายให้สั้นลงนะ แต่ลองพยายามซอยปัญหาให้เล็กลงเหมือนกัน เหมือนเวลาเราเขียนโปรแกรมอะ เวลาที่ปัญหามันอลังมาก ๆ เราจะเห็นว่า มันไม่ได้ใช่ปัญหาเดียวที่อยู่ในนั้น มันซับซ้อนกว่านั้นมาก ถ้าเราค่อย ๆ แกะและแก้มันไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเราก็จะแก้ปัญหานั้นได้ ปัญหาในชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าเราค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้สุดท้ายเราก็จะแก้มันได้ เหมือนโปรแกรมที่เราเขียนออกมาได้นั่นแหละ
เรื่องนี้ถ้าเราเปรียบเทียบเป็นการเล่นเกม เราจะมองมันเหมือนกับ การเดินไปซื้อ Power-Ups บางอย่างมา ที่ทำให้เรามีพลังในชั่วครู่ และหมดไปเมื่อเราใช้ และเวลาผ่านไป นั่นแปลว่า วิธีนี้มันอาจจะไม่ยั่งยืนสักเท่าไหร่นั่นแหละ แต่มันเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยเรา Jump Start ออกจากวังวนนี้ได้ชั่วครู่นั่นเอง
เรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราเครียด หรือไม่สบายใจ บ้างมันก็อาจจะเกิดจากเรื่องที่เราอาจจะยังไม่เข้าใจ หรือเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถทำอะไรมันได้ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของความไม่สบายใจ
ถ้าเราคิดตาม Logic ถ้าเราประสบกับความไม่รู้ มันก็มีอยู่ 2 วิธีง่าย ๆ ที่เราจะใช้ได้คือ
หลาย ๆ ครั้งเวลาเราเจอปัญหา เราเป็นคนนึงที่ จะไม่วิ่งเข้าหาคนอื่นแต่แรก เรารู้จึกเกรงใจคนอื่น และบางทีก็ไม่อยากให้รู้เรื่องด้วยอะไรแบบนั้น ทำให้วิธีแรกที่เราคิดได้คือ ก็ค่อย ๆ ลองจำลองดูสิ๊ว่า จากข้อมูลที่เราถืออยู่ตอนนี้ ถ้าเราตัดสินใจแบบนี้มันจะทำให้เกิดอะไรขึ้น และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง
จริง ๆ มันก็คือการทำ Simulation นั่นแหละ เรามีข้อมูลบางอย่างนั่นคือ Parameter ที่เรารู้ และลองจำลอง Effect ของการเปลี่ยน Parameter บางอย่าง Logic ที่เราเอามาใช้ทำ Simulaiton มันก็คือวิธีของคนเราเวลาเจอปัญหาที่ไม่รู้นั่นแหละ ปัญหาของการใช้วิธีนี้มันจะเกิดขึ้นเมื่อ Parameter มันเยอะนั่นเอง
สิ่งนึงที่คนเราต่างจากเครื่องคือ เราเหนื่อยเป็น เราล้าเป็น อย่างเห็นได้ชัดเลยละ เมื่อเราพยายามที่จะจำลองการตัดสินใจต่าง ๆ เข้า มันมี Parameter มากมาย คิดมาก ๆ เข้า มันก็จะทำให้เราเกิดความเครียดสะสมมากขึ้น เมื่อเราคิดถึงความเสี่ยงมันก็จะนำไปสู่ความกลัวโน้นนี่นั่น เหมือนที่เราเห็นกับตัวเองและคนอื่น ๆ ทำให้วิธีนี้จึงใช้กับเรื่องที่เราคิดว่า มันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ หรือไม่ได้ส่งผลการเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากนัก
จึงนำไปสู่อีกวิธีคือ การถาม คนที่รู้ หรือคิดว่ารู้ อย่างที่เราบอก เวลาเราจะคิดเรื่องนึง มันคือ การที่เราพยายามจะ Simulate การตัดสินใจ โดยอิงจากสิ่งที่เรารู้ ดังนั้น การรู้อะไรมากขึ้นมันก็ทำให้เราแก้สมการนั้น ๆ ที่นำไปสู่การแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น หรือบางที ตอนที่เราคิด ๆ เราอาจจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่เราอาจจะแค่กลัวที่จะทำมัน ดังนั้น การคุยกับคนอื่น ไม่ว่าจะด้วยการถามเพื่อให้ได้ข้อมูล หรือ แค่พูด มันก็ทำให้เรามีความมั่นใจกับวิธีที่เราจะใช้แก้ปัญหาได้เร็ว นั่นทำให้เวลาเราไปปรึกษาใครบางครั้ง เขาอาจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลยนะ แต่เขาก็อยู่ข้าง ๆ รับฟังเรา ทำให้เราผ่านเรื่องที่ไม่สบายใจไปได้
ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ เมื่อเราไม่สบายใจคือ พูดมันออกมา พูดมันกับใครก็ได้ที่เราไว้ใจ ไม่ว่าเขาจะช่วยได้ หรือไม่ได้ก็ตาม อย่างน้อยมันทำให้เราสบายใจมากขึ้นได้นะ กลับกันเมื่อเราเป็นผู้ฟัง เราก็ควรเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยเช่นกัน
เรายกตัวอย่างเรื่องของเราที่พึ่งผ่านไปไม่นานนี้เอง เราขอไม่พูดว่ามันคือเรื่องอะไร แต่บอกได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ถ้าตัดสินใจพลาดมันจะเปลี่ยนอนาคตเราไปพอสมควรเลย ตอนนั้นเรายอมรับเลยว่า แรก ๆ มันก็ไม่สบายใจแหละ พอนาน ๆ เข้าเราก็คิดไปเรื่อยอะ ไม่ได้พูดกับใคร มันก็กลายเป็นความเครียดสะสมไปซะงั้น มันทำให้เราคิดเรื่องนั้นไม่หยุดไม่ว่าเราจะเรียนอยู่ หรือแม้กระทั่งจะนอน นั่นทำให้เรานอนไม่หลับเลย
พอเรานอนไม่หลับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายก็ทรุดโทรม (ก็ไม่ค่อยได้นอนนี่หว่า) สติก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ มันเป็นจังหวะที่ โห เลวร้ายบ้าบอมาก นั่นคือผลของการที่เรา เงียบ แต่ตอนนั้น เอาจริง ๆ เราว่าเรามีวิธีที่จะออกจากปัญหานั่นแล้วนะ แต่เราก็ยังไม่มั่นใจว่า วิธีนั้นมันจะไม่ได้ทำให้เราออกจากปัญหาจริงเหรอ ?? กลัวไปหมด พอกลัวมากก็ยิ่งคิดมากเข้าไปอีกเรื่อย ๆ เป็นเหมือน Loop ที่ไม่มี Terminate Condition วนไปเรื่อย ๆ
แต่พอเราได้คุยกับ คนอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์มาก่อน เขาอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์แบบเราเป๊ะ ๆ หรอก แต่สิ่งที่เขาพูด ทำให้เรามั่นใจในความคิดของเรามากขึ้น จนทำให้เราเลิกกลัว และสามารถใช้วิธีที่เราคิดมาจัดการกับปัญหานั้นได้ในที่สุด หรือบางครั้ง เราไม่สบายใจ เราก็ไปคุยกับคนที่ไว้ใจ ตอนนั้นเขาก็ช่วยอะไรเราไม่ได้นะ แต่เราก็รู้สึกสบายใจนะ มั่นใจที่จะออกไปแก้ปัญหาในแบบของเรา เพียงแค่เราพูดมันออกมา
ณ วันที่เราเขียน เป็นวันที่เรากลับจาก Concert ในมหาลัยมา ตอนที่เราอยู่ในงาน เราเหมือนได้หนีออกมาจาก ความเป็นเรา การบ้านที่ทับถม งานที่เยอะชิบหาย ชั่วคราว มันเหมือนเราภูเขาในอกย้ายไปไว้ที่อื่นชั่วคราว แล้วเดินชิว ๆ ออกไปเจอ คนใหม่ ๆ เรื่องใหม่ ๆ มุมมองใหม่ ๆ
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา งานจบ เราก็กลับมาห้อง ภูเขาที่พึ่งยกออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมันก็กลับมาทับเราต่อให้เราแบกเล่นอร่อย ๆ แต่สิ่งที่ต่างจากการที่เราแบกมันไว้ตลอดคือ เรารู้สึกมีกำลังมากขึ้น พอที่จะแบกและพร้อมที่จะเดินต่อไปได้
ถ้าให้เราเปรียบเทียบ ก็น่าจะเหมือนกับถุงทรายที่เป็นปัญหา มีเราที่จะเดินไปตามเส้นทาง ระหว่างทางเราก็ต้องแบกปัญหาไปเรื่อย ๆ ความวัวหาย ความควายก็แทรก ถุงทรายที่ถุงนึงหายอีกถุงก็สลับเข้ามา ถ้าเราแบกมันไปเรื่อย ๆ สลับไปเรื่อย ๆ วันนึงเราก็จะหมดแรงและแห้งตายไปในที่สุด แต่ถ้าเราลอง หยุดพัก มันเป็นระยะ พอเราหยุดพักแล้วกลับมา มันก็จะมีพลังพอให้เราเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนที่เราจะหยุดพัก มันก็น่าจะทำให้เรามีแรงเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเส้นชัยได้
แต่ในชีวิตจริง การที่เราได้เดินออกไปข้างนอก มันไม่ได้แค่เป็นเหมือนสายชาร์จที่ทำให้เรากลับมามีแรงอีกครั้ง แต่มันยังทำให้เราออกไปเจอ มุมมองใหม่ ๆ เรื่องใหม่ ๆ บางทีการที่เราได้เจอเรื่องใหม่ ๆ มันอาจจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างที่เราสามารถเอากลับมาแก้ปัญหาของเราได้อีกด้วย
ดังนั้นถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ หรือปัญหา อย่าอุดอู้ตูดบิดอยู่ในห้องเลย เดินออกไปข้างนอกอย่างน้อยก็ที่ไม่ใช่ห้องทำงานเรา ออกไปหาอะไรกิน ออกไปเดินเล่นก็ได้
ปกติ เวลาเรามีปัญหาหรือเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ เราก็ชอบออกไปปั่นจักรยานคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ปั่น ๆ ไป Euraka Moment มันก็มา ปัญหาที่เราไม่รู้จะแก้ยังไง มันก็ออกมา หรืออย่างบทความนี้ เราก็นึกได้ตอนออกไปดู Concert นี่แหละแล้วกลับมาเขียน
หรือถ้าให้เราแนะนำคือ ถ้าไม่ได้มีเวลามาก ระหว่างวันเราอาจจะเดินลงไปข้างล่าง เดินมันเฉย ๆ นี่แหละ ไม่ก็เดินไปคุยกับคนอื่นบ้าง หรือถ้าใครมีเวลามาก ๆ เราแนะนำว่าเวลาที่เครียดมาก ๆ ให้จองทริปหายไปเที่ยวสักที่นึง แล้วค่อยกลับมาทำงานจะช่วยได้มากเลย
ทุกคนว่าวัน ๆ นึงเราทำอะไรบ้าง เรียนบ้างแหละ ทำงานบ้างแหละ ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองทั้งนั้น จนบางครั้งเราอาจลืมว่าชีวิตเรายังมีอย่างอื่นอยู่ จริงนะ เราไม่รู้ว่าทุกคนเคยประสบประมาณว่า บางทีเราทำงานมากไปนะ จนเราไม่เผื่อเวลาให้อย่างอื่นในชีวิตเราเลย พอทำงานมาก ๆ เข้า มันก็เริ่มเครียด แล้วประกอบกับลืมเรื่องอื่น ๆ ไปหมด พอเราเครียดกับเรื่องงาน เราก็เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน มืดไปหมด
ดังนั้น สิ่งที่เราไม่ควรลืมเลยคือ ชีวิตเรายังมีอย่างอื่นอยู่ที่นอกจากเรื่องงานและเรียนของเราเอง ทำให้การจัดการเวลาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานกับเรียนอย่างเดียว โลกเรายังมีอะไรให้เราได้ออกไปหา ได้ออกไปดูอีกมากมาย
สิ่งนึงที่ทำให้เราออกจากงานกับเรียนได้คือ การหางานอดิเรก ทำ ตอนแรกเราไปฟังคนอื่นพูดมาก็ไม่เชื่อนะว่า มันจะช่วยได้จริงเหรอ มันเสียเวลามากเลยนะ แทนที่เราจะเอาเวลานั้น ๆ ไปทำงานให้เสร็จ แต่ทำไมเราต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ด้วย ทุกวันนี้งานอดิเรกของเราคือ ฟังเพลง ใช่ฮ่ะ ฟังเพลงโง่ ๆ เลย นอนอยู่บนเตียง ใส่หูฟัง ฟังเพลงไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องทำอะไร บ้างก็นั่งอ่านหนังสือที่เราอยากอ่าน ที่ไม่ใช่เรื่องเรียนและงานนน่ะ มันช่วยได้จริงนะ
มีงานอดิเรกประเภทนึงนะ ที่ทำให้เราหายเครียดไปได้เลย นั่นคืองานอดิเรกจำพวกงานฝีมือ เพราะงานพวกนี้ การจะทำมันได้ เราจะต้องใช้สมาธิมหาศาลเลย จนบางทีเหมือนวาร์ปเลย เงยหน้าขึ้นมาอีกทีคือ อ้าวมืดแล้ว ฮ่า ๆ ถ้าใครเครียดมาก ๆ เราแนะนำงานแบบนี้เลย ใช้ได้อยู่ ๆ
ตอนนั้นเรานั่งทำเครื่องร่อนจากไม้นี่ละ ตอนประถมเราก็เคยทำแล้วมันก็สนุกดี ตอนนี้เลยกลับมาลองนั่งทำอีกครั้ง มันต้องจัดไม้ตามแบบ นั่งขัดไม้ นั่งประกอบมันออกมาให้กลายเป็นเครื่องร่อนจนได้ กว่าจะทำมันเสร็จสักลำ มันใช้ทั้งเวลา และความปราณีต ในหลาย ๆ อย่าง ก็ใช้สมาธิเยอะอยู่ในการทำมันออกมา ทำให้เราคลายเครียดได้ดีเลย โดยเฉพาะเวลาที่เราทำเสร็จแล้ว ลองเอาออกไปร่อนดู มันสนุกมากเลยนะ
การเลือกงานอดิเรกที่เหมาะกับเราอาจจะไม่มีสูตรตายตัวซะทีเดียว มันขึ้นกับที่ ๆ เราอยู่ และตัวเราด้วยว่าเราชอบอะไร งานที่เราอยากทำมันอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับอาชีพเราเลยก็ได้ จะดีมากถ้าไม่เกี่ยวกันเพราะ เราเจอเรื่องนึงมาทั้งวันแล้ว จะเอาตัวเองไปเจอสิ่งนั้นอีกทำไม ลองหาอย่างอื่นทำดูดีกว่าเยอะเลย ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ มองโลกในแง่ดีว่า บางทีการออกไปทำอะไรที่ไม่เคยทำ อาจจะทำให้เราเห็นอีกแง่มุมของปัญหาที่เราเจออยู่ก็ได้นะ Euraka Moment ฮ่า ๆ
หลาย ๆ ครั้งที่เราเครียด หรือไม่สบายใจ เราก็มักจะนอนไม่หลับ ไม่ก็กินไม่ลง เออ มันเป็นจริง ๆ นะ สำหรับคนที่กำลังอ่านแล้ว กำลังคิดว่า ได้เหรอ ? เออ บางคนเจอเรื่องเครียดมาก ๆ มันก็เป็นนะ เมื่อก่อนเราก็คิดนะ บ้าเหรอใครจะเป็น จนมาเป็นเองแล้วแบบ เออเชื่อละว่ามันเป็นได้
อาการเป็นยังไง เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่มันก็ไม่อยากกิน และมันก็นอนไม่หลับจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะง่วง แต่ในหัวมันก็รัน ๆ หมุน ๆ อยู่เต็มไปหมดจนนอนไม่หลับเลย ตอนนั้นเราลองอะไรหลายอย่างมาก กว่าจะนอนหลับและกินลง
เอาเรื่องนอนก่อนละกัน การนอนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าเรานอนหลับอย่างเพียงพอ เมื่อเราตื่นมาในวันต่อไป เราก็จะมีพลังในการต่อสู้กับปัญหาที่เรากำลังเจออยู่ได้ อย่างน้อยก็มากกว่าอดนอนมา 3 วันอะไรแบบนั้น
สำหรับคนที่นอนไม่หลับ เราอยากแนะนำให้เริ่มจากการปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย อย่างแรกคือ การเปลี่ยนที่อยู่ของเราให้กลายเป็นสถานที่พักผ่อน ไม่ใช่ออฟฟิต ทำให้พอเรากลับมา เราก็อยากที่จะพักพิง ไม่ทำงาน เราแนะนำให้เริ่มจาก การตกแต่งห้องเราในแบบที่เรารู้สึกว่า เราชอบ เราอยากที่จะกลับมา ง่าย ๆ คือ ทำให้มันเป็นสถานที่ที่เราอยากจะกลับมาหามันทุกเย็น ทำให้เหมือนเป็นรางวัลสำหรับการประสบปัญหามา 1 วันเต็ม ๆ
ทำให้ข้อห้ามถัดไปที่เราอยากจะแนะนำคือ การเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน คือทั้งวันเราก็เครียดทั้งวันจากทั้งเรื่องเรียนและทำงานอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจะต้องเอาความเครียดเข้ามาในที่อยู่อาศัยของเราด้วย ถูกม่ะ เพราะฉะนั้น เรื่องของงานก็เก็บไว้ที่ทำงาน เรื่องของการเรียนก็เก็บไว้ที่คณะพอ ทำให้บ้านเป็นสถานที่แห่งความสุข เป็นที่ที่เราสามารถพักพิง เป็นที่ที่เรามีความสุขนั่นเอง
ทดลองเปลี่ยนจากการกลับมาก็นั่งทำงานก็ให้กลายเป็นทำอะไรที่เรามีความสุข อาจจะเป็นการฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเล่นเกมอะไรก็ว่าไป ขอให้เราทำแล้วมีความสุข และอีกอย่างที่เราว่ามันช่วยได้นะ คือก่อนนอนเราแนะนำว่า ให้เลิกใช้พวกจอ เช่นโทรศัพท์ กับคอมพิวเตอร์ สัก 1 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออะไรก็ว่าไป มันช่วยทำให้เรานอนหลับได้จริง ๆ นะ
หรือถ้าเราลองทั้งหมดยังไม่รอดอีก เราว่าอาจจะเครียดหนักจริง ๆ แหละ ลองไปปรึกษาแพทย์ดูก็ได้นะ เขาอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้อยู่ก็ได้นะ อาจจะใช้ยา หรืออาจจะมีวิธีอื่น ๆ ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็ลองไปดู ไม่เสียหายนิ
สำหรับเรื่องกิน อื้ม.. ส่วนตัวเราว่ายากกว่าเรื่องนอนอีก เพราะบางทีเราไม่เครียดเราก็ยังไม่กินเลย เหมือนขี้เกียจกินอะ โอเค เราลองคิดเป็น Logic ดูนะว่า ถ้าเราจะกินอะไร มันก็น่าจะมีอยู่ 2 เรื่องเองมั้ยที่เราจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ นั่นคือ กินอะไร กับ กินที่ไหน นั่นแหละ ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนอะไร ก็แนะนำให้เปลี่ยนมัน 2 อย่างนี้แหละ สำหรับเราเอง เราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบกินข้าวกับคนอื่นเท่าไหร่ เรานิยมนั่งกินคนเดียวมากกว่า กินไปนั่งดูโน้นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ มันก็เพลิน ๆ กินไปเรื่อย ๆ ก็อร่อยดี ทำให้วิธีที่เราใช้คือ ก็ซื้อกลับมากินที่ห้องนี่แหละ ส่วนกินอะไร เราว่าถ้ามันไม่อยากจริง ๆ ลองกินในสิ่งที่เราคิดว่าเราเคยชอบก็ดีนะ หรือไม่ก็ลองกินอะไรที่เราไม่เคยกินมาก่อน เช่น ร้านตามสั่งหน้าหอร้านนี้ไม่เคยกินเลย ก็ลองสักหน่อย อะไรแบบนั้น
ทั้ง 2 เรื่องในนี้ที่เรายกมาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการ ทำให้เรากินอิ่มนอนหลับ เพราะมันเป็นเหมือนวิธีที่จะชาร์จแบตเราให้เต็มพอที่จะออกไปต่อสู้กับปัญหาที่เราจะต้องเจอในแต่ละวันได้
ต้องบอกก่อนนะว่า วิธีที่เราเอามาแชร์กันวันนี้ไม่ได้มาจากเอกสารทางวิชาการหรืออย่างไร แต่มันมาจากประสบการณ์ของเราเท่านั้น ดังนั้นวิธีที่เราใช้อาจจะใช้กับบางคนไม่ได้ ก็ต้องไปลองดูนะ
ทั้งหมดที่เราเล่ามามันเป็นเพียงการที่ทำให้เรามีพลังที่จะออกไปสู้กับปัญหาต่อไปได้ ถ้าเปรียบชีวิตเราเป็นเกม เป้าหมายของเราก็น่าจะเป็นปลายอุโมงที่เราจะต้องเดินไปให้ได้ ซึ่งการจะเดินไปให้ถึงได้นั้น มันก็จะต้องเกิดจากขาของเราก้าวเดินไปเรื่อย ๆ นั่นเอง แต่บางทีอุโมงยาวไปหน่อย เดินไปเรื่อย ๆ เรี่ยวแรงที่เราเคยมีก็อาจจะค่อย ๆ หายไป แต่สิ่งที่จะทำให้เราเดินต่อไปได้คือ การพักเพื่อเพิ่มพลังกาย และ พลังใจ เพื่อให้เราเดินไปถึงปลายอุโมงได้นั่นเอง และอย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้ เรายังมีเพื่อน มีครอบครัวให้เรากลับไปสวมกอดเมื่อเราเจอปัญหา และคนเหล่านี้แหละจะเป็นแรงชั้นเยี่ยมที่จะทำให้เราผ่านช่วงเวลาอันมืดมนนี้ไปได้
แปลกมากเลยนะ เรารู้สึกว่ายังเหมือนต้นปีอยู่เลย เวลาผ่านไปแปบเดียว กลายเป็นจะหมดปีซะแล้ว เรียกว่าเป็นปีที่ทำอะไรเยอะมาก มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ เรื่องเยอะมาก เรื่องหลาย ๆ เรื่องที่เราปูมาตั้งแต่ปีก่อน มันค่อย ๆ งอกเงยมาเรื่อย ๆ วันนี้เรามาถอดบทเรียนให้อ่านกันว่าเราได้อะไรจากมัน และมันสอนอะไรกับเราบ้าง...
เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะเนี่ย ยังแอบรู้สึกว่าเหมือนยังไม่ผ่านครึ่งปีไปดีเลย อ่อ สิ้นปีแล้วเฉยเลย มา งั้นเรามาเล่าให้อ่านกันดีกว่าว่า ที่ผ่านมาในปี 2022 มันเกิดอะไรขึ้น และมันสอนอะไรเราบ้าง...
ผ่านไปอีกปีแล้วกับปี 2021 ที่น่าจะเป็นเวลาที่ยากลำบากสำหรับใครหลาย ๆ คน เราเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ หลาย ๆ อย่างที่ Plan ไว้ก็ต้องเปลี่ยนหมด หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ก็หวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีขึ้นเนอะ ~...
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องมาเขียน Year in Review อีกครั้ง ประโยคที่ว่า จะหมดปี 2020 แล้วคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ละมั่ง ปีก่อน ๆ อาจจะบอกว่า เออ ใช่แหละ แต่ปีนี้คือเป็นปีที่หนักมากสำหรับหลาย ๆ คนรวมถึงเราด้วย...