By Arnon Puitrakul - 22 มีนาคม 2023
จริง ๆ จะเขียนเมื่อปีก่อนแล้วแหละ แต่เพราะอะไรบางอย่าง ทำให้เวลาจะเอารถไปถ่ายรูปทีไร มักจะเจออะไรแปลก ๆ ทำให้ไม่ได้ถ่ายสักที จนผ่านไป 1 ปี สำเร็จละ ได้รูปมาเรียบร้อย จนออกมาเป็นรีวิวการใช้งาน ข้อสังเกต กับรวบประสบการณ์การใช้งานเลยละกันนะ
ปล. มีคนถามว่า เราตั้งชื่อน้องมั้ย ตั้ง ๆ น้องชื่อ ไฟท์ เพราะมันจุกจิกน่ารำคาญ เหมือนตัวละครที่ชื่อเดียวกันกับนิยายที่เราอ่านมา
จริง ๆ ก่อนหน้านี้ เราก็มองรถไฟฟ้าอยู่นานแล้วละ จน ORA Good Cat ออกมาแล้วมันน่าสนใจมาก ๆ ด้วยหน้าตาที่น่ารัก ขนาดที่ตอนนั้นดูในรูปแล้วมันกระทัดรัด น่าจะเหมาะกับคนที่ขับรถไม่แข็งอย่างเรา แล้วมันน่าจะลดค่าเชื้อเพลิงได้เยอะมากแน่ จากการที่บ้านติด Solar Cell อยู่แล้ว คำนวณ ๆ ออกมาแล้ว มันน่าจะเป็น Ultimate Perk แน่ ๆ
ส่วนเรื่องแบตเสื่อม ต้องแยกนะ เราไม่มองเรื่องของอารมณ์นะ เราเป็นคนวิทยาศาสตร์ เรามองที่ตัวเลข สถิติทั้งหมด ด้วยหลักการ และ ข้อมูลที่ผ่าน ๆ มา ทำให้เราไม่กลัวเรื่องนี้เท่าไหร่ เมื่อรวมกับความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้มัน Make Sense ในแง่ของการเงินมาก ๆ เลยไปโปรยกับแม่ จนแม่ก็เอาอีกคัน ฮ่า ๆ
เลยเริ่มไปคุยกับ I AM ที่ศูนย์บริการแถวบ้าน ถามรายละเอียดกับลอง Test Drive มันก็เออ โอเคกว่าที่คิดเลยนะ เราไม่ได้เป็นคนเรื่องมาก เรื่องรถอยู่แล้วด้วย เรามองแค่ว่า เราทำยังไงก็ได้ ให้เดินทางจากจุด A ไป B ด้วยเงินที่น้อยที่สุด แต่ไม่ถึงกับทำให้พอไปถึงเหนื่อยจนทำงานไม่ได้เลย จนเดือน 1 ของปี 2022 หลังปีใหม่หน่อย ๆ ก็จองผ่าน App GWM ไป ตอนนั้น I AM แจ้งกว่าน่าจะต้องใช้เวลาหลายเดือนเลย กว่าจะได้รถ
แต่พอประมาณสิ้นเดือนเดียวกัน I AM แจ้งว่า เราจะได้รถแล้ว อ้าวเร็วกว่าที่คิดแฮะ อาจจะเป็นเพราะ เราไม่ได้จองพวกสีเบจ และ สีเขียว ที่คนสั่งเยอะ ๆ กับ เป็นตัว Ultra 500 ด้วย มันเลยเข้ามาเยอะ ทำให้เราได้รถเร็วกว่าที่คิดเยอะมาก ๆ เขาก็ถามเรื่องการติดฟิล์ม อะไรพวกนั้น ก็เลือกไปติดข้างนอกเอา ถูกกว่าเยอะเลย
จนวันที่ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2022 แมวฟ้า เราก็ออกมาดูโลกแล้ว เย้ นี่คือรูปแรกที่ถ่ายจากในรถ หลังออกจากศูนย์เลย จำได้ว่า ตอนนั้นคิดแค่ว่า ไม่คิดเลยว่าไทยเราจะมีรถ BEV เข้ามาได้เร็วขนาดนี้ นึกว่าต้องอีกสัก 10 ปีอะไรแบบนั้น
หลังจากนั้นก็ใช้งานมาเรื่อย ๆ จนวันที่เขียน ก็คือ 17 มีนาคม 2023 ผ่านมาปีกว่า ๆ ละ กดไป 26,406 km ไปแล้ว เรียกว่า ไม่เสียใจละกันที่เลือกรุ่นนี้
พวกสเปกของน้อง เราไม่ต้องพูดอะไรเยอะแล้วเนอะ ไปดูตามรีวิวใน Youtube ได้เลย เราขอพูดเป็นข้อสังเกตที่เราเจอละกัน
ด้านหน้าจะมองผ่าน ๆ เราว่า มันแปลกตามาก ๆ ส่วนนึงคือ มันไม่มีรังผึ้งสำหรับระบายความร้อน ทำให้ทำออกมาเป็นปิดทึบ ซึ่งส่วนตัวเอง เราก็ชอบรถที่เป็นแบบนี้แหละ เหมือนกับ Tesla ที่ปิดออกมาแล้ว เออ มันก็ทำให้การออกแบบมันแปลกตาดีเหมือนกัน กับมี Logo ของ ORA ที่เป็นรูปเครื่องหมายตกใจ ด้านล่างถึงเราจะบอกว่า มันไม่มีช่องสำหรับระบายอากาศ แต่มันจะมีช่องสำหรับการดูดอากาศเข้าเล็ก ๆ สำหรับการระบายความร้อนพวกมอเตอร์ และแบตเตอรี่ต่าง ๆ
ไฟด้านหน้าทั้งหมดเป็นระบบ LED ทั้งหมด อะดี ๆ ที่ให้มา เป็นไฟแบบ Intelligent Light มีระบบเปิดปิดไฟหน้า กับไฟสูงอัตโนมัติ แต่ไม่มีแยกโซนปิด หน้าตาของมันเราบอกเลยว่า ถ้าเราขับอยู่แล้วมองเห็นผ่านกระจกหลัง ต้องมีสะดุดแน่นอน มันค่อนข้างต่างจากรถอื่น ๆ เยอะมาก เหมือนกับตาแมว และ Mini Cooper ฮ่า ๆ
ตัวกระจกข้าง เป็นปรับแบบไฟฟ้าทั้งหมด พร้อมกับระบบจดจำที่แมร่งจดจำทิพย์ ๆ Software แบบ Chinese Style กับไฟเลี้ยวแบบ LED ด้านล่างก็มีกล้องอีก แต่ขนาดของกระจกเอาเข้าจริง เราแอบรู้สึกว่ามันเล็ก หรือแม่เราก็พูดว่า รถคันนี้มันมี Blind Spot ที่ค่อนข้างใหญ่มาก ๆ บางทีเราเปลี่ยนเลนเข้าไป รถมาข้าง ๆ เราไม่เห็นเลย จนกระทั่งมันใกล้มาก ๆ ลองปรับกระจกหมดแล้วก็ยังไม่หาย เลยคิดว่า น่าจะเป็นที่ขนาดของมัน
ถ้าเราถ่ายจากมุมมองการขับของเรา เออ กระจกข้างแอบดูเล็กเหมือนกันนะ แต่มันก็มีระบบ Blind Spot เข้ามาช่วยในเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริง คนเราเวลาขับรถ เราถูกสอนให้เชื่อตาเรามากกว่า Computer ขับรถไม่ใช่เครื่องบินอะ พอไม่เห็นแต่เครื่องเห็น เราก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี
สำหรับฝาช่องชาร์จ เราสามารถเปิดโดยการกดเข้าไป มันจะเป็นสปริงทำให้เราเปิดออกมาได้ โดยไม่มีกลไกในการล๊อคแต่อย่างใดถึงเราจะล๊อครถอยู่ก็ตาม เราก็เปิดได้ แต่ก็เอาเถอะ รถคันนี้ไม่ได้รองรับระบบ V2L ดังนั้น เราไม่ต้องมานั่งกลัวคนมาเสียบขโมยไฟมั้ง เรามองว่าช่องชาร์จโอเคแหละ ใช้สปริงง่าย ๆ ไม่ต้องใช้มอเตอร์ให้เพิ่มความเสี่ยงเสียในอนาคตอีก
เมื่อเราเปิดออกมา เราจะพบกับช่องชาร์จแบบ CCS Type 2 โดย จะใช้เป็นจุกยางปิดเพื่อป้องกันฝุ่น และ น้ำเข้า เวลาเราจะใช้ เราก็แค่ดึงออกมา ใช้งานเสร็จเสียบกลับเข้าไปก็จบ เป็นกลไกง่าย ๆ ต่างจากพวกรถยุโรป ที่จะใช้การกดเพื่อเปิดอะไรแบบนั้น
ด้านหลัง โดยรวม เราค่อนช่างชอบนะ มันดูอ้วน ๆ ฟิลไอ้ตาว แมวอ้วนน่ารักดี แต่สิ่งที่เรากลัวคือ ไฟเลี้ยวมันอยู่ด้านล่าง มารู้สึกตอนตามตูด Good Cat เองนี่แหละ ที่พอมันอยู่ข้างล่าง แล้วบางที เราต้องก้มมองนิดนึง ซึ่งคนทั่ว ๆ ไป เราว่าไม่ชินแน่นอน
อีกประเด็นที่คนถามเข้ามาเยอะมากคือ การไม่มีใบปัดน้ำฝนหลังมันทำให้เดือดร้อนในการใช้ชีวิตมั้ย สั้น ๆ เลยนะคือ ไม่ ! เวลาผ่านไปฝุ่นเกาะมันก็ยังมองเห็น กับจริง ๆ คือ กระจกหลังส่วนใหญ่เราใช้ถอยรถ แต่สุดท้าย เราก็ติดใจกล้องมองหลังมัน มองผ่านกล้องง่ายกว่า ดังนั้น ถึงโคลนจะปิดกระจกมิด ก็ไม่เดือดร้อนขนาดนั้น อยู่กับมันได้สบาย ๆ
การจะเปิดฝาท้าย เราจะต้องเอามือไปกดที่ปุ่มมันจะอยู่ประมาณตรงกลาง ๆ ของประตูท้ายหน่อย ข้าง ๆ กันก็จะมีกล้องด้วย อันนี้เอาจริง ๆ มันแอบเลอะมืออยู่นะ ยิ่งรถเราสกปรก ๆ ด้วย ก็ทน ๆ ไป
แต่เราแก้ปัญหาด้วยการไปติดพวกฝาท้ายไฟฟ้าเพิ่มพร้อมกับ Kick Sensor เข้ามาแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี จะเปิดก็กดในรถ หรือเตะเอา จะปิดก็ทำเหมือนกัน ทำให้เราไม่ต้องไปสัมผัสปุ่มที่อยู่หลังรถให้มือสกปรก ก็โอเคแหละ คุ้มอยู่
เปิดท้ายออกมา เราจะเจอกับที่เก็บของ เรามีข้อสังเกตที่ เวลาเราจะยกของขึ้นไป มันจะมีเหมือนที่กั้นไว้อยู่ เราจะต้องยกสูง แล้วถ้าของหนัก มันจะยกยากมาก ๆ หรือกระทั้ง เราจะนั่งเพื่อ Camping ต่าง ๆ มันนั่งไม่ได้เลยละ มีตีลังกา ไม่ก็ปวดหลังแน่นอน
ที่เก็บของด้านหลังเอง เอาจริง ๆ เล็กมาก ๆ เราว่าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบเดียว ก็น่าจะเต็มแล้วละ แต่ส่วนตัวเรา เราเดินทางคนเดียวซะเยอะมาก ทำให้เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้เท่าไหร่ หรือถ้าเราต้องการที่จะขนของขนาดใหญ่ ๆ เราก็สามารถพับเบาะหลังแบบ 60-40 ได้ กับ ถ้าพับมา มันจะมีเนินนิด ๆ หน่อย ๆ เราก็ชอบมานอนเล่น เวลาจะต้องรออะไรนาน ๆ ได้อยู่ แต่ถามว่า นอนข้ามคืนได้มั้ย ก็บอกเลยว่า สั้นไป ตัวเราสูงไป นอนไม่สบายเท่าไหร่
ภายใน เราเริ่มจากด้านหลังก่อนละกัน เป็นเบาะแบบ 3 ที่นั่ง แต่ปรับเอนไม่ได้ ปรับได้แค่พนักพิงคอเท่านั้น เราแอบรู้สึกว่า เหมือนเบาะมันจะชัน ๆ หน่อย ทำให้นั่งทางไกล ๆ อาจจะไม่สบายเท่าที่ควร ฟิลว่า ถ้านั่ง 3 คนเลย แอบไม่สบายนะ แต่ถ้านั่งใกล้ ๆ ก็จะไม่มีปัญหาเลย มันอะไรก็ได้อยู่แล้ว นอกจากนั้น อันที่เราประทับใจมากคือ พอมันเป็นรถไฟฟ้า มันไม่ต้องมีพวกอุโมงเพลา พื้นด้านหลัง มันก็จะเรียบไปเลย เวลานั่ง 3 คน คนตรงกลางจะได้วางขาได้เลย ไม่ต้องไปแย่งที่ของคนซ้ายและขวา ถ้าเราจะเก็บของ ด้านหลังของเบาะหน้าเขาก็ทำเป็นกระเป๋าหนังมาให้ด้วย มันก็จะเก็บได้ประมาณนึงเท่านั้นแหละ ไม่ได้เยอะอะไรเท่าไหร่
ส่วนเรื่องของพื้นที่ Headroom เอง เราสูง 179 cm เราปรับเบาะด้านหน้าแบบเราขับเลย เรามานั่งหลังคนขับก็เหลือที่สบาย ๆ นะ ยืดขาได้สบาย ๆ ได้อยู่กับ Headroom เองก็เหลือที่เยอะไม่อึดอัดเท่าไหร่
หรือถ้าเรานั่ง 2 คนตรงกลางดึงออกมา เราจะเจอกับที่วางแก้ว แบบมีเคี่ยวล๊อคด้วย เออ อันนี้ดีเลย อันนี้เราใส่แก้ว Venti ของ Starbucks ได้แบบสบาย ๆ เรียกว่าพอดี หยิบจับได้สะดวกเลย ที่เราจะติคือ ตรงที่วางแขนมันแอบแคบไปหน่อย ยิ่งถ้าเราเอาแก้ววางด้วย มันจะวางไม่ค่อยสบาย
แต่ถ้าเราไม่วางแก้ว เอาเป็นขวดแทน ข้างประตูเขาก็จะพอมีที่อยู่ สำหรับใส่ขวดน้ำ แต่เราลองแล้วคือ มันจะใส่ขวดเล็กได้เท่านั้น ไม่ได้สูงอะไร พวกขวดลิตรที่แถมตามปั้มก็จบเลยนะ แต่เอาเถอะ เราไม่ได้เติมน้ำมันแล้ว มันไม่มีแถมแล้วแหละ ฮ่า ๆ ส่วนใหญ่ ถ้าเราจะเดินทางจริง ๆ เราจะซื้อเป็นขวดเล็ก ๆ เสียบ ๆ ไว้เผื่อใครจะดื่มพวกนั้นมากกว่า เรียนรู้เยอะจากช่วงที่ไปถ่ายชุดครุย แล้วร้อน ขึ้นรถมาเย็น ๆ แล้วไม่มีน้ำกิน ซื้อแมร่งเลยลังนึงไว้ท้ายรถ หนักช่างแมร่งไฟเหลือ ๆ แต่ขอน้ำพอ
แผงข้างของตัวรถเอง ก็ทำมาเราว่าอยู่ในระดับที่โอเค เดินด้ายสีน้ำเงินด้วย อันนี้ชอบ เพราะเราชอบสีน้ำเงิน กับฟ้าอยู่แล้ว เป็น Soft Touch นิ่ม ๆ ด้วย กับถ้าเห็นในรูป เราจะเห็นหน้าต่าง มันก็ใหญ่ใช้ได้อยู่นะ เรานั่งมองทางไปเรื่อยก็ไม่อึดอัดอะไร
กับอีกส่วนที่ทำให้รถคันเล็ก ๆ คันนี้ดูโปร่งนั่งสบายขึ้นคือ Sunroof ที่กว้างมาก ๆ ถ้าเรานั่งอยู่ข้างหลัง ตัว Sunroof มันไม่ได้วิ่งมาถึงหัวเราเลยนะ มันแค่ประมาณขาเท่านั้น ทำให้ด้านหลัง ไม่ต้องกลัวร้อนหัวแบบเต็ม ๆ กับ คนนั่งด้านหน้าเอง ก็ไม่ได้โดนหัวเต็ม ๆ ทำให้เรื่องความร้อนจากมันโดนหัวเต็ม ๆ ก็ไม่ได้มีผลเท่าไหร่ แต่ถ้าเราบอกว่า กลัวร้อนจริง ๆ เขายังมีม่านมาให้ด้วย ทำให้ถ้าเราร้อน เราก็ปิดม่านบน Sunroof ไปก็ได้ แต่ส่วนตัวเรา จะเปิดไว้ตลอด เท่าที่ขับมา เราติดฟิล์มกันร้อนด้วย ออกมา มันก็ไม่ได้ร้อนอะไรมากเท่าไหร่ เปิดแล้วโปร่งดีด้วย เลยเปิดไว้ พอ Sunroof อยู่กลางรถขนาดนั้น ทำให้มันไม่มีไฟนะ แปลว่า กลางคืน ถ้าเราจะหยิบของด้านหลัง คือไม่มีไฟเลย มีแค่ไฟด้านหน้าที่ส่องไม่ถึงด้านหลัง
ที่ Console ด้านหลัง เขาก็มีช่อง USB-A สำหรับเสียบชาร์จด้วย หน้าตาของมันเราบอกเลยว่า มันน่าเกลียด แต่ก็เอาเถอะมันก็พอ ๆ กับรถญี่ปุ่นในราคาเกือบ ๆ ล้านแหละ ส่วนที่น่าเกลียดสุด ๆ ของ USB ด้านหลังคือ ฝาของมัน จับไปมันจะหักรึเปล่าวะ แล้วการปิดของมันเราเข้าใจนะว่า มันทำเขี้ยวมาเพื่อดันเข้าไปในช่อง USB เลย แต่เอาเข้าจริง มันปิดยากใช้แรงกดอยู่เพื่อให้มันแน่น พอรวมกับความน่าจะไม่แข็งแรงของมันก็น่ากลัวเข้าไปใหญ่
ไปที่ด้านหน้า เขาบอกว่า เขาออกแบบมาด้วย Concept Retro Futuristic โอเคฟิล ๆ น้อยแต่มากแหละ จะ Retro ก็ไม่ซะทีเดียว จะ Futurisitc ก็ไม่ซะทีเดียว ฟิล ๆ ว่าอยากได้อะไรที่มันดู Retro หน่อย แต่ไหน ๆ เป็น BEV รถแห่งอนาคต ก็เอาให้มันดูเป็นอนาคตหน่อยว่าซั่น ทำให้มันออกมาอย่างที่เห็นเลย ไหน ๆ พูดถึงช่องแอร์หน่อย เราว่าเขาออกแบบมาให้สนุกดีนะ มันดูเล็ก ๆ แต่ปรับขึ้นลง ซ้ายขวาได้โอเคเลย แต่อาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วถ้าเราจะปิดช่องแอร์นี้ เราจะกดตรงไหน เราจะต้องเลื่อนมันไปขวาสุด อันนี้แอบไม่ Practical เท่าไหร่ แปลก ๆ กับช่องแอร์ฝั่งคนขับ มันอยู่ตรงนั้นก็คือเป่ามือที่จับพวงมาลัย คนขับมือเย็น ตัวกับหัวร้อนซะงั้น
อะส่วนที่ออกแนว Futurisitc หน่อย เราว่าน่าจะเป็นตัวหน้าจอที่ ทำหน้าจอ Infortainment และ HUD สำหรับการแสดงข้อมูลการขับขี่ออกมาเป็นหน้าจอเดียวกันเลย ฟิล ๆ อนาคตจอย ๆ
กับส่วนที่เป็น Panel ของปุ่ม ที่น่าจะทำให้มันดู Retro เหรอ ปุ่มก็มาฟิล ๆ Mini Cooper เลย มองแว่บแรก หรือว่าเขาไป OEM อะไหล่มาใส่วะ เหมือนชิบหาย โดยปุ่มที่เขายังจะเหลือให้เราอยู่ก็จะเป็น ปุ่มเปิดปิดแอร์ ปุ่มเปิดปิด Compressor Air ตรงกลางเป็นไฟฉุกเฉิน กับ 2 ปุ่มขวาจะเป็น ไล่ฝ้า หน้า และ หลัง ซึ่งเอาจริง ๆ เลยนะ อี 2 ปุ่มหลังเนี่ยนะ เอาไปไว้ในจอเลยก็ได้ เราไม่ได้ใช้กันบ่อยอยู่แล้ว เอาปุ่มที่จำเป็นอื่น ๆ ลงมาเถอะนะ เช่น ปรับพัดลมแอร์ หรือ เพิ่มลดเสียงน่ะ
เลื่อนลงมาเราจะเจอช่องเก็บของ ก็เก็บไปไม่มีอะไรวางพวกกุญแจรถก็ได้ กับถ้าแบตอ่อน เราจะต้องวางกุญแจไว้แถวนั้นแหละเพื่อจะ Start รถได้ ไปที่จุดในภาพอย่างช่องเสียบ USB สำหรับด้านหน้าดีกว่า เขาจะมาเป็น USB-A 2 ช่องด้วยกัน ก็ยังไม่เข้าใจนะว่า ทำไมให้ USB-A มาในปี 2022 แต่เอาเถอะ ช่องนึงเป็นช่องที่เราสามารถเสียบเพื่อใช้งาน Apple CarPlay หรือ Android Audio ได้ แต่อีกช่องเป็นเสียบข้อมูลพวก MP3 ทั่ว ๆ ไปได้ จากการใช้งานคือ มันไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เสียบ ๆ ไปไม่รู้ว่าจะพังเมื่อไหร่เหมือนกัน แต่เราไม่มีปัญหาเพราะ เราก็เสียบทิ้งไว้เลย ไม่ได้ยุ่งกับมันอยู่แล้ว ขึ้นรถมา เราก็เสียบสายฝั่งโทรศัพท์แค่นั้น กับ มีช่อง 12V มาให้ บางทีเรานั่งทำงานระหว่างรอชาร์จ เลยเอา 12V Adapter ที่กำลังสูง ๆ หน่อย 60W อะไรแบบนั้นมาต่อเพื่อชาร์จคอม ก็โอเคเลยละ
พวงมาลัย เป็นแบบ Multifunction ตามสมัยนิยม เขาแบ่งฝั่งค่อนข้างดี ฝั่งซ้ายเป็นควบคุมพวก Cruise Control ต่าง ๆ ส่วนด้านขวาจะเป็นปุ่มเกี่ยวกับ Media ต่าง ๆ ถ้าเราใช้จนชิน ก็คือ ง่ายเหมือนรถรุ่นอืน ๆ เลย ส่วนก้านเอง ถ้าใครใช้รถญี่ปุ่นมา ช่วงแรกจะประสบปัญหาเยอะมาก เพราะมันสลับกัน เหมือนรถยุโรปที่ไฟทั้งหลายอยู่ซ้าย และ ที่ปัดน้ำฝนอยู่ขวาแทน บางทีจะเปิดไฟเลี้ยว ใบปัดน้ำฝนขึ้นแทน ฮ่า ๆ อ่อ ใบปัดน้ำฝนอะ เราตั้งอัตโนมัติไว้ได้นะ เวลาฝนตกมันก็ปัดของมันเอง ทำให้ทั้งไฟหน้า และ ใบปัดน้ำฝน เราไม่ต้องไปทำอะไรมันเลย แล้วก็เรื่องการปรับ มันปรับขึ้นลงแบบ Manual แต่ปรับเข้าออกไม่ได้ ไม่รู้รถสมัยนี้เป็นอะไร ปรับเข้าออกไม่ได้ มันหาท่านั่งยากนะ ยิ่งเราเป็นคนสัดส่วนตัวประหลาด ๆ ด้วย เมื่อยอยู่
แผงควบคุมด้านบน หน้าสุด ถ้าเรากดมันจะเป็นช่องสำหรับใส่แว่นกันแดดอันนึง สำหรับคนขับเท่านั้นแหละนะ ถัดเข้าไปจะเป็นไฟแบบ LED ที่มีปุ่มสำหรับเปิดอยู่ตรงกลาง ถัดเข้าไปอีกจะเป็น Switch สำหรับเปิด ม่าน และ Sunroof ที่คิดว่า อาศัยความเคยชินเลยว่า อันไหนม่าน อันไหน Sunroof สุดท้ายในสุด จะเป็นปุ่มสำหรับกดเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะในตัวรถมี Sim Card ทำให้โทรไปที่ศูนย์บริการความช่วยเหลือฉุกเฉินของ GWM ได้
Console ตรงกลาง เริ่มจาก เกียร์เป็นแบบหมุน แต่มันกวนประสาท มันหมุนได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่มีตัวล๊อคนะ คือเราหมุนฟิ้ว ๆ ได้เลย ซึ่งทำให้เวลาเราจะเปลี่ยนเกียร์ เราจะต้องมองที่หน้าจอ HUD ของรถว่า ตอนนี้มันอยู่เกียร์ที่เราต้องการรึยัง อันนี้แก้เถอะน่าเกลียด และ อันตรายนะ ถัดลงมาจะเป็นเบรกมือไฟฟ้า เราชอบมาก ๆ กดง่ายดี และปุ่ม Auto Break Hold เราไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ กับถัดลงไปอีก ในภาพ เราถ่ายมาไม่ถึงคือ ด้านซ้ายจะเป็น Wireless Charger วางโทรศัพท์ขนาดใหญ่ ๆ ได้สบาย ๆ เลย iPhone 14 Pro Max ก็วางชาร์จได้สบาย ๆ กับด้านขวาจะเป็นช่องเล็ก ๆ เก็บของได้ เราจะชอบเก็บพวกที่ต้อง Quick Hand หน่อย เพราะมันเอามือซ้ายลงมาหยิบได้เลยเวลาต้องการ ที่สำคัญช่องวางของ เขาบุยางมาด้วยนะ ทำให้เวลาเราวางของแล้วรถสะเทือนมันก็จะไม่ค่อยมีเสียง
ความพีคยกให้แป้นคันเร่ง และ เบรก เลย ดูในรูปอาจจะไม่เห็นเท่าไหร่คือ ระยะของแป้นเบรกมันยื่นออกมาเยอะเกินไป ทำให้เวลาเราย้ายเท้าจากคันเร่งไปที่เบรก เราจะต้อง งอ ข้อเท้าเยอะมาก ๆ มันเมื่อย !!!!! พยายามแก้ปัญหาด้วยการใช้ปลายเท้าเหยียบแล้ว แต่ไม่ถนัดสุดท้ายก็ต้องงอเท้าให้เมื่อยเหมือนเดิม
มาที่หน้าจอสำหรับคนขับกันบ้าง ขนาดของมันถือว่า มากำลังดีแหละ แต่พอพวงมาลัยมันปรับขึ้นลงไม่ได้ บางทีพวงมาลัย มันจะแอบบังอยู่ ตัวหน้าจอเอาแบบที่เป็นหน้าจอจริง ๆ เลย มันจะมีแค่ตรงกลางเท่านั้น แต่ข้างซ้าย และ ขวา จะเป็น เปอร์เซ็นต์ Battery และ กำลังมอเตอร์ จะไม่ได้เป็นหน้าจอจริง ๆ มันเป็นแค่ไฟเฉย ๆ แต่จุดที่เราว่าหลาย ๆ คนไม่ได้สังเกตคือ แต่ละขีดของมัน เราตีเป็นตัวเลขได้ง่ายมาก ๆ เพราะมันจะเป็น 10% และ 10 kW จริง ๆ ทำให้เวลาเราดูจากหน้าปัดอันนี้เราเดา ๆ เป็นตัวเลขได้เลย
อีกข้อสังเกตที่เราแอบไม่ชอบคือ ตัวมันสามารถแสดงข้อมูลอื่น ๆ ได้ โดยการกดปุ่ม OK ค้างไว้ แต่ถ้าเราเปิด LKA ทิ้งไว้แล้ว พอรถมันพยายามจะดึงกลับเข้าไปในเลน มันจะเด้งข้อมูลออกแล้วกลับไปหน้า Cruise Control เหมือนเดิม กับหน้าจอมันใหญ่มาก ๆ นะ แต่แกไม่สามารถแสดงข้อมูลอะไรได้เลย นอกจาก Cruise Control อันนี้คือแบบ เราว่ามันตลกไปหน่อยอะ
แต่เรื่องนึงที่เราประทับใจมาก เป็นการสั่งสอนอีพวกรถญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีคือ นาฬิกาที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอของคนขับ และ หน้าจอ Infortainment มัน Sync กันเว้ย !!!! เราไม่เข้าใจเลยนะ ว่าทำไมพวกรถญี่ปุ่น แค่เรื่องนาฬิกา ทำไมพวกแกถึงไม่ทำให้มันตั้งที่เดียวเลยวะ
โดยรวมแล้ว เราเฉย ๆ กับหน้าจอสำหรับคนขับนะ เมื่อเทียบกับรถในราคาใกล้ ๆ กัน น่าจะเป็นอันที่เราชอบที่สุดแล้วแหละ แต่ปัญหาที่เราเจอเช่น การเด้งกับไปที่หน้าจอ Cruise Control เมื่อมันดึงพวงมาลัย นี่แหละ แต่ถามว่า เราใช้ชีวิตกับมันได้มั้ย มันก็ได้แหละ เพราะเอาเข้าจริงปกติ ถ้าเราจะดูข้อมูล เราก็ควรจะดูตอนที่เราจอดรถสิ เลยเฉย ๆ ละ
ระบบ Infortainment ของรถคันนี้จัดว่า เ_ย ได้ใจ แบบว่า เ_ย สุด ๆ เป็นเพราะ Performance ที่แย่มาก ๆ เข้าขั้นขยะสังคม เราไม่เคยเจอหน้าจอที่ช้าได้ขนาดนี้มาก่อน เริ่มจากเราเปิดประตูรถมา กว่าระบบจะ Start ทั้งหมด ใช้เวลาหลายวินาที คือนานมาก ๆ แล้วพอมันเริ่มเสร็จ เราจะกดเข้าเมนูเพื่อจะเข้าถึงส่วนต่าง ๆ เช่น เราจะเปิด One-Pedal Mode เราก็กดเข้าไปที่ Menu ก็รออีก 1-2 วินาที มาปุ๊บก็กด Energy Assistant ก็รออีก 1-2 วินาที เลื่อนไปเปิด One-Pedal เรียกว่า แค่จะเปิดแค่นี้ เราใช้เวลาอย่างมาก 4 วินาทีได้เลย หนักกว่านั้นอีก การควบคุมพื้นฐาน อย่างการปรับพัดลมแอร์ ปรับอุณหภูมิต่าง ๆ เขาทำปุ่มมาให้อยู่ด้านข้างของหน้าจอ กดไป กว่าจะขึ้นมาก็คือ งง ไปแล้ว
ถ้าคิดว่าแค่นี้พีคแล้ว ไปต่อ อย่างที่เราบอกไปว่า มันมีช่อง USB-A ทั้งหมด 2 ช่อง ช่องนึงสำหรับเสียบโทรศัพท์ของเราเพื่อใช้ Apple CarPlay หรือ Android Auto ไม่นับเรื่องเสียบติดบ้างไม่ติดบ้างนะ อันนี้รถจีนเจอเยอะมาก ๆ แต่ไม่ค่อยเจอปัญหานี้กับรถจากฝั่งยุโรปเท่าไหร่โดยเฉพาะ BMW แต่ปัญหาจริง ๆ ของมัน คือ ความหน่วง แบบ หน่วงจนใช้งานไม่ได้เลย ถ้าเปิด Maps เราขับเลยไปเป็นกิโลแล้ว Maps พึ่งบอกให้เลี้ยวเอง แต่ ณ วันที่เขียนทาง GWM เริ่มทดลอง Software Update ที่แก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องลองดูว่าปัญหานี้จะแก้ได้มั้ย แต่เราไม่คาดหวังอะไร เดาว่าน่าจะเป็นที่การเลือกใช้ SoC ที่ประสิทธิภาพต่ำ ๆ มาแทนตัวที่มันควรจะเป็น
พอ Maps ที่เราใช้บน Apple CarPlay มันใช้งานจริงไม่ได้แล้ว เราเลยต้องยอมใช้ On-Board Navigation ไป มองข้ามเรื่องความช้าเลยนะ มันดูดีมาก ๆ การค้นหา Point of Interest ถือว่า ไม่แย่มากเท่าไหร่ แต่เราว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่ ระบบการค้นหา มากกว่า ยังไง เรื่องนี้ Google Maps ดีกว่ามาก ๆ ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหาด้วยการใช้ Google Maps บนโทรศัพท์ค้นหา แล้วเอาพิกัดมาป้อนใส่ใน App GWM แล้วก็ส่งไปที่รถได้เลย
อีกความเจ๋งคือ เมื่อเรากำหนดปลายทางได้แล้ว มันจะบอกด้วยนะว่า ถ้าเราเดินทางจนถึงแล้ว แบตเราจะเหลืออีกเท่าไหร่ อันนี้เราชอบมาก ๆ หรือถ้าไม่พอ มันจะถามว่า เราจะให้มันใส่สถานีชาร์จลงไปด้วยมั้ย แต่พวกสถานีชาร์จที่มีข้อมูลในรถ มันไม่เยอะเท่าไหร่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ส่วนนี้เท่าไหร่เหมือนกัน
แต่การนำทาง เอาเข้าจริง ๆ มันก็พาเราเดินทางไปถึงปลายทางได้อยู่....... แหละ เวลามันเดินทางบางครั้ง ถ้าเราอยู่บนถนนใหญ่ที่อาจจะมีเส้นหลักเส้นรอง พอมันเห็นว่าเลนหลักตรงไหนรถติดนิดเดียว มันก็ให้เราออกข้างนอก แล้วสักพักก็กลับเข้ามาใหม่ คือมัน Sensitive เกินไปหน่อย น่าจะทำให้คน งง แบบ สุด ๆ เลย ส่วนที่เราบอกว่า ไปที่ปลายทางได้อยู่ เป็นเพราะ เราเคยเคสที่ มันพาไปทางแปลก ๆ หนักมากในต่างจังหวัด ดังนั้น เวลาเราจะใช้งาน เราแนะนำให้เปิดเทียบกับ Google Maps ดีกว่า
ในการขับขี่ เอาโดยรวมสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นคนที่จริงจังกับการขับรถ เรามองว่ามันเป็นรถที่ขับสนุกมากนะ ส่วนใหญ่เราจะขับอยู่ในเมือง แถว ๆ นครปฐม นนทบุรี และ กรุงเทพ เรื่อง Performance ของรถไม่มีปัญหาเลย เหยียบเร่งแซงอะไรก็สบายชิว ๆ โดยเราก็ไม่ได้ใช้ความเร็วอยู่แล้ว ทำให้มันได้ข้อดีของมอเตอร์ไฟฟ้าเต็ม ๆ ที่อัตราเร่งช่วงต้นมันดีอยู่แล้ว
แต่ช่วงปลายก็เรียกว่าไม่ได้แย่เลย เพราะเราขับออกต่างจังหวัด เราขับแซงได้สบาย ๆ เว้นแต่จะขับแข่งสู้กันอะไรแบบนั้น ก็อาจจะเหนื่อยหน่อยนะ แต่ขับทั่ว ๆ ไป เราว่าไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
ดังนั้น ถ้าเราตั้งความคาดหวังว่ามันเป็นรถสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เป็นรถที่แรงล้นฟ้า มันก็ขับได้สบาย ๆ ถามว่า ในรถขนาดใกล้ ๆ กันมันแรงกว่ามั้ยก็ต้องบอกว่า ใช่ เหยียบสนุกจนบางที เพลินนะ เหยียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ มองที่หน้าปัด 130 แล้วต้องลง ๆ มาหน่อย เดี๋ยวใบสั่งถามหา
แต่เรื่องที่อยากจะด่า เห้ย ติ จริง ๆ คือ ยางที่ติดรถมา จัดว่าเ_ย แบบ ได้ใจมาก ๆ เป็นยี่ห้อ Giti ในรุ่น GitiComfort คือเข้าใจว่าอ่อตามชื่อมันเลย แต่ไม่ใช่กระด้างมาก ๆ ไม่ได้สบายขนาดนั้น กับพอมันเป็นรถไฟฟ้า ไม่มีเครื่องยนต์ ดังนั้น ความสั่น ๆ กับเสียงเครื่องยนต์หายไป มันก็จะเหลือแค่ เสียงภายนอก (เดี๋ยวบอกว่าแก้ยังไง) และ เสียงยางบดถนน อีอันหลังนี่แหละ เ_ย สุด ๆ น่ารำคาญสุด ๆ เพราะมันบดกับถนนไปเรื่อย ๆ เสียงมันจะค่อนข้าง Static มาก ๆ ทำให้น่ารำคาญแบบสุด ๆ ถ้ายางอันนี้หมดสภาพแล้วก็น่าจะไปเปลี่ยนข้างนอกตามในกลุ่ม เป็น Michelin Primacy น่าจะตอบโจทย์เรื่องเสียงได้ดีกว่า
โหมดการขับขี่มีมาให้เราเลือก ใช้งานตั้งแต่ Eco, Normal, Sport และ Auto ที่เอาจริง ๆ เลยนะ มันไม่ได้ต่างอะไรกันมากเลย แค่เรื่องของความ Sensitive ของคันเร่ง นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้น จะขับโหมดไหนเราว่าเฉย ๆ ได้หมด ซึ่งปุ่มสำหรับการปรับโหมด จะอยู่ที่ด้านข้างขวาของพวงมาลัย ที่เอาจริง ๆ มันแอบหลืบไปหน่อย ถ้าเราจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ระหว่างขับ ก็น่าจะสู่ขิต เพราะมัวแต่หาปุ่ม กับมองจอ แล้วมันอยู่ใกล้กับปุ่มตัดไฟด้วย สามัญสำนึกเราคือ ถ้ากดไปโดนจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ แต่มันน่าจะล๊อคจาก Software ว่าถ้าขับอยู่น่าจะกดแล้วไม่ติดแหละ แต่ความคนอะนะ มันก็กลัวไง สุดท้าย มันจะระแวง ไปใช้สมาธิกับการกดเปลี่ยนโหมด จนไม่เหลือสมาธิมองถนน อันตรายนะ อย่าทำเลย
สำหรับคนที่ไม่เคยขับรถ EV มาก่อน วิธีการกดคันเร่ง มันจะไม่เหมือนกับรถน้ำมันนิดหน่อย เวลาเราถอนเท้าออกจากคันเร่ง มันจะเอากำลังที่ล้อหมุนไปปั่นไฟคืนเข้าแบต ทำให้ถ้าอยู่ ๆ เรากดแล้วถอนสุดเลย มันจะมีอาการกระชากหน่อยนึง ขับ ๆ ไปมีอ้วกจริงแน่ ดังนั้นมันจะต้องมีการปราณีตกับการยก กับ กด เท้าลงไปหน่อย หรือถ้าบอกว่าชาตินี้ไม่ชินแน่ ๆ เราสามารถ เปิดให้มันคืนพลังงานแบบเบาสุดเลยก็ได้
แต่อีกโหมดที่เราชอบมาก ๆ คือ One-Pedal บางยี่ห้อเรียกคันเร่งอัฉริยะอะไรก็ว่าไปแหละ มันคือลักษณะที่ พอเราถอนคันเร่งแล้วมันจะชลอจนถึงจุดหยุดนิ่งเลย ง่าย ๆ ฟิล ๆ ขับรถกอล์ฟที่แรงกว่าแค่นั้นเลย ทำให้ตอนนี้เราชินกับการขับรถที่แทบจะไม่เหยียบเบรกละ ทำให้การขับรถง่ายขึ้นเยอะ ถ้าเรากะดี ๆ มันจะกินไฟน้อยลงมาก ๆ เพราะตอนที่มันชะลอมันไม่ได้กดเบรก แต่เป็นการปั่นไฟคืน ยิ่งเราเหยียบเบรกน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีกับการกินไฟมากขึ้นเท่านั้น
ความตลกของมันคือ เมื่อเราเปิด Cruise Control ตัวรถจะตัดตัวเองออกจาก One-Pedal ทันที อะโอเคน่าจะปกติมั้ง แต่พอเรากลับมาควบคุมความเร็วเอง มันก็จะคาอยู่ที่ Mode Eco ก็... ถ้าเราอยากจะใช้ One-Pedal อีกครั้ง เราก็ต้องเปิดผ่านหน้าจอที่ช้าถึงโลกหน้า อาจจะได้โลกหน้าจริง ๆ ถ้าเราจะเปิดตอนที่เราขับรถอยู่
ถ้าถามว่า ความประหยัดของมันอยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าเราขับเอง นครปฐม เข้าเมืองอะไรแบบนั้นเราจะกดอยู่ประมาณ 11-12 kWh/100km หรือถ้าออกต่างจังหวัดเหยียบ ๆ หน่อยจะกดไป 13 - 14 kWh/100km ขึ้นกับการเหยียบเลย เพราะแม่ขับรุ่นเดียวกัน ขับทั่ว ๆ ไป 13 - 14 kWh/100km แบบสบาย ๆ ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมขับล้างพลาญขนาดนั้นจนไปนั่งโอเค เข้าใจละ เหยียบทิ้งเลยนี่หว่า
ช่วงล่างเอง เราว่า มันทำมาได้นั่งสบาย ๆ เลยนะ เราไม่ได้คิดอะไรเยอะ แต่ขับ ๆ ไป มันก็ไม่ได้อ่อนจนยวบ หรือ แข็งจนสัมผัสทุกอย่างบนถนนได้ มันทำออกมาได้ ดีกว่าที่คิดเยอะมาก ๆ ตอน Test Drive ก็รู้สึกหน่อย ๆ แต่พอมาใช้งานจริง เออ มันดีกว่าที่คิดจริง ๆ ด้วย
แต่ถ้าเราเริ่มแว้นขึ้นมา เหยียบแบบ เกิน 120 km/h ขึ้นไปแล้วนั่งกันเต็มคัน บางครั้งที่เราผ่านถนนที่บางจุด มันจะหวิว ๆ ชอบกลยังไงก็ไม่รู้ ถ้าคนเยอะ ๆ เราแนะนำว่า ขับไม่เกิน 120 km/h ก็น่าจะกำลังดีกว่า (แต่เอ่ออ เกินกว่านี้ก็ใบสั่งแล้วเพ่)
ขับออกต่างจังหวัด ก็ไม่ได้เหนื่อยจากการกระเทือนอะไรเท่าไหร่ ใช้ได้ ๆ ผ่าน ๆ เลย แต่เราเห็นในกลุ่ม Facebook เขาก็เอาไปเปลี่ยนเป็นโช้คของ Profender กัน ก็น่าจะได้ฟิลดีกว่านี้แหละ
เรื่องที่เราจะต้องชมของรถจีนหลายยี่ห้อเลยนะ คือ เขาอัด Feature มาเยอะจริง มาเขย่าพวกรถญี่ปุ่นที่อืดอาดยืดยาดอยู่นาน โดยเฉพาะพวก Feature สำหรับช่วยเหลือผู้ขับขี่ เมื่อก่อน อย่าง Honda ที่เราใช้งาน Honda Sensing ตอนนั้น ต้องระดับ Accord ถึงจะมี เจอรถจีนกระแทกเข้าไป ตอนนี้ City ยังใส่มาให้อะคิดดู !!
กลับมาที่แมวดีกว่า ระบบที่เขาใส่มาให้เป็น Autonomous Driving Level 2+ หรือก็คือ ยังไม่ใช่ Full-Self Driving นะ ตากับสติ เราจะต้องอยู่บนถนนเสมอ โดยจะมีระบบ Cruise Control ทั้งแบบ ล๊อคความเร็ว และ ตามคันหน้าจนถึงจุดหยุดนิ่งเลย แต่ที่เราสงสัยคือ เวลาเราเปิด Cruise Control แล้ว เวลามันจะชะลอความเร็วในล๊อตแรก ๆ มันจะเป็นการไหลให้ชาร์จไฟกลับ แต่หลัง ๆ เขาใช้วิธีการเอาเบรกจับแทน แล้วบอกว่า คันที่ชาร์จไฟกลับที่น่าจะดีกว่าว่า มันเป็นบัค คันใหม่ ๆ แก้แล้ว อันนี้คือ พี่แถ หรือยังไง อยากฟังคำอธิบายมาก ๆ
รวมไปถึงระบบคุมรถให้อยู่ในเลน ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่า มันมีตัวเลือกให้เราเลือกหลายแบบด้วย ค่าเริ่มต้น มันจะเป็นกันรถออกนอกเลน คือ พอรถเราจะออกนอกเลนละ มันจะดึงพวงมาลัยกลับ แต่แบบที่เราตั้งความหวังไว้คือ ให้มันอยู่กลางเลนเลย เราก็เข้าใจว่า อ่อ มันทำไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ไปเปิด Setting มันเล่นดู อ้าว มีหวะ สบายเลยทีนี้ ตอนนี้ ถ้ามีเส้นถนน เราก็ถือพวงมาลัยชิว ๆ เลย แต่ความแปลกของระบบนี้ ในแมวคือ มันเปิดตลอดเวลา ถ้าเราอยากจะปิด เราจะต้องเข้าผ่านหน้าจอที่ช้า และเมนูที่ลึกมาก ๆ ก็ช่างมัน ก็เปิดไปแบบนี้แหละ กับ เวลามันเจอโค้ง มันก็จะช่วยเราหมุนพวงมาลัยด้วยนะ แล้วถ้ามันโค้งหนัก ๆ แล้วเรามาเร็วมาก ๆ อยู่ ๆ มันจะทิ้งเรากลางโค้งเลย อะ อ้าว พี่ไหงพี่ทำแบบนี้กับน้อง ทำให้เรายังต้องถือพวงมาลัยตลอดนะ ย้ำนะว่าตลอด หรือ ถ้าเราอยู่ใน Cruise Control มันก็จะลดความเร็วแบบลดไปเยอะมาก ๆ แปลกสุด ๆ
ในแง่ของความปลอดภัย มันยังมาพร้อมกับ Sensor รอบคันแบบ รอบคันจริง ๆ ทำให้เวลาเราขับ ๆ อยู่ แล้วเราไม่เห็นคันหน้า รถมันสามารถเตือนให้เราเหยียบเบรกด้วยได้เหมือนกัน หรือ กระทั่ง เราถอยหลัง มันจะมี Feature ที่พอมันเห็นรถวิ่งมาในเส้นทางที่เราถอย รถมันจะกระแทกเบรกลงไปเลย เขาเรียกว่า ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) แล้วเสียงมันนะ ทำให้นึกว่าชนไปแล้ว เข้าใจว่ามันฉุกเฉิน แต่ปรับปรุงให้มันเหยียบแบบนุ่มนวลกว่านี้หน่อยเถอะ คนขับหัวใจจะวาย
อีกเรื่อง ที่เราว่าคนขับรุ่นนี้น่าจะพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ มันเตือนเก่งมาก เอะอะ อะไรก็เตือนไปหมด อันที่ตลกสุดคือ จอดรถติดอยู่สาธร มอเตอร์ไซต์ เบียด ๆ ตามสไตล์คนกรุงเทพเนอะ มันก็ร้อง แล้วจำนวนมันไม่ได้มีคันเดียวไง มันมาเป็นโขยง เรียกว่า เพลงไม่ต้องฟังแมร่งละ มา มึ_เข้ามาเลย สุดท้าย ฉลาดมากขึ้น เราก็แค่ใส่เบรกมือ ทุกอย่างก็จะสงบ เห้อ...... แล้วเสียงเตือนแกนะ ดันเหมือน ๆ กันอีก ถ้าคนที่ไม่ชินอะ มันจะ งง มากว่า เอ๊ะ อีนี่เตือนอะไร ซ้ายขวา หน้าหลังวะ มองจนวอกแวกไปหมด เสียสมาธิในการขับมาก ๆ นะ
โดยรวมคือ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่พี่เขามาแบบแน่น ๆ ทำให้เราสามารถขับออกต่างจังหวัดได้แบบสบาย ๆ ชิว ๆ เลย เปิด Cruise Control ตามคันหน้าไว้ ตั้งสัก 90-100 km/h แล้วเราก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ ไม่ต้องแซงใคร ไม่ต้อง Bangkok Driving Style อะไร ประหยัดไฟกว่า กับพิสูจน์แล้วว่า ไม่เหนื่อยขับด้วย แต่เรื่องที่ควรปรับปรุงคือ เสียงเตือน บางทีมันเยอะไป วิธีเตือนมันเหมือนกันเกินไป ทำให้เสียสมาธิในการขับแบบสุด ๆ
ส่วนของเสียง เราขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อยก่อนคือ เสียงจากภายนอก และ เสียงจากเครื่องเสียง มันสัมพันธ์กันอยู่
เริ่มจากเสียงจากภายนอก เราว่ามันเป็นรถที่เสียงดังชิบหายเลย อาจจะเป็นเพราะ ตัวรถมันไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้เสียงที่ออกมาให้เราได้ยิน จะเป็นพวกเสียง ยางบดถนน และ เสียงลมซะเยอะ เสียงพวกนี้มันไม่สม่ำเสมอ ทำให้เรารำคาญแบบ รำคาญชิบหาย ยิ่งเราขับด้วยความเร็วสูง ๆ เสียงยิ่งดังเข้าไปใหญ่ ทำให้เราแก้ปัญหาด้วยการไปติดพวก Sound Damping มาเพิ่ม ซึ่งช่วยได้เยอะมาก ๆ เหมือนกับเราเอา ที่อุดหูอุดอยู่ตลอดเวลา ถือว่าโอเคเลย ตอนนี้ก็ใช้งานได้สบายใจ ไม่ค่อยรำคาญเท่าไหร่ จะมีที่น่ารำคาญจริง ๆ ก็เสียงจากยางล้วน ๆ ก็เดี๋ยวรออันเดิมมันหมดอายุก่อน แล้วเราก็ไปเปลี่ยนเป็นตัวที่ดีกว่าเอาได้
ส่วนเสียงจากเครื่องเสียงเอง ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่ฟังเพลงอะไรมากมาย เราไม่ได้คิดอะไรมาก เราว่ามันก็พอฟังได้ แต่กับเราเอง เราว่า มันแห้ง ๆ กัง ๆ ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน เราเรียกมันว่า ลำโพงฟัง Podcast คือมันค่อนข้างไม่มีรสไม่มีอะไรเลยในนั้น ซึ่งมันก็มีตัวเลือกให้เราสามารถไปเปลี่ยนลำโพง Aftermarket ได้ แต่เราว่า ถ้าจะเปลี่ยนให้เราโอเคเลยจริง ๆ มันแพงแน่ ๆ เราก็เออ ช่างมันแหละ กลับมาฟังที่บ้านดีกว่า เลยจบไป
ตัวที่เราใช้งานตอนนี้เป็นรุ่น 500 Ultra โดยจะเลือกใช้แบตเป็นแบบ NMC ขนาด 63.139 kWh ถ้าเทียบในราคาใกล้ ๆ กันน่าจะมีความจุแบตสูงสุดแล้วละ โดย GWM เคลมว่ามันจะวิ่งได้ระยะทาง 500 km ตามมาตรฐาน NEDC หรือที่เราเรียกกันเล่น ๆ ว่า Not even damn close ซึ่งก็นะ ยิ่งเจออากาศร้อน ๆ ในไทยด้วย ก็คือ แตก ๆ ยั่ว ๆ ไปเลยจ้า ถามว่า วิ่งจริง เอาจริง ๆ เลยมันถึง 500km ได้มั้ย ก็บอกเลยว่า มีคนทำได้จริงแล้ว แต่สำหรับเราเอง วิ่งทั่ว ๆ ไป สุด ๆ ของเราจะอยู่ที่ 496 km เท่านั้นเอง
กับทริปที่เราขับออกต่างจังหวัดแบบน่ากลัวสุด ๆ น่าจะเป็น นครปฐม-กาญจนบุรี อันนี้คือ ขับไปคนเดียว พร้อมอุปกรณ์กล้อง ไปถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ ชาร์จจากบ้านออกมา 100% แล้วขับเที่ยวแล้วกลับถึงบ้านด้วยระยะทาง 447.6 km แบตเหลืออยู่ 10% รถบอกว่าไปได้อีก 46 km (อย่าไปเชื่อมันมากคะ คุณกิตติ นังนี่มันขี้หลอก อย่างมากเราว่า 30km ก็หรู ๆ) มันก็ไปได้อยู่นะ ขาไปขับแบบเฉย ๆ ใช้ Cruise Control ไปเรื่อย ๆ แต่ขากลับมันเสียว ๆ เลยเลือกเปิด One-Pedal แล้วขับเองดีกว่า แลวนี่คือ เราพึ่งไปมาเอง รถอายุปีกว่า ๆ แต่มันยังทำระยะได้เท่านี้อยู่ เราถือว่า มันโอเคเลย
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปีกว่า ๆ State of Health (SoH) เราลดลงไปเหลือ 82.63% แต่ถามว่า มันทำให้ระยะเราหายไปขนาด 17.37% มั้ย หรือถ้าคิดตรง ๆ คือ มันหายไป 68.5 km เลยมั้ย ก็ตอบเลยว่า ไม่น่านะ จากข้อมูลที่เราเก็บมา N=163 Charging Session ระยะทางที่หายไปอยู่ที่ประมาณ 9.5% เท่านั้น ทำให้สถานการณ์แบตเสื่อมของเราไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่เหมือน
การชาร์จเอง ด้วยความที่เราอยู่บ้าน มันมีที่ชาร์จอยู่แล้ว เราก็กลับบ้านมาชาร์จได้แบบไม่มีปัญหาอะไร เลยไม่เดือดร้อนเรื่องที่ชาร์จด้วย
ส่วนราคาค่าชาร์จ ขึ้นกับว่าเราชาร์จที่ไหน ถ้าเรากดที่ผ่านปกติ ๆ ก็คูณ 5 เข้าไป หรือถ้า TOU ก็คูณสัก 3 เข้าไป แต่ถ้าไปข้างนอก ชาร์จ DC ก็ 7.5 ขึ้นกับเวลา และ ผู้ให้บริการ โดยที่บ้านเราจะติด Solar Cell และ เสียบชาร์จเวลากลางวัน ทำให้เราเหลืออยู่หน่วยละไม่ถึงบาทด้วยซ้ำ เราจะโดนอยู่หน่วยละ 5-20 สตางค์ต่อกิโลเมตรเท่านั้น ขึ้นกับเดือนนั้น แดดดีขนาดไหน และ เราเสียบในวันที่แดดดีด้วยมั้ย เราเคยเขียนรีวิวกับข้อมูลจริง ๆ ของเราแล้ว ไปอ่านได้ ด้านบนนี้เลย
เรื่องที่หลายคนจะกังวลกับการเปลี่ยนมาขับ BEV คือ อาการ Range Anxiety หรือแอบกลัว ๆ ว่ารถมันจะขับถึงมั้ยนั่นนี่ เราบอกเลยว่า เราตรงข้าม คันเก่าเรามันบอกเป็นขีด ๆ ที่เอ่อออ ขีดของพี่ มันตีเป็นตัวเลขเท่าไหร่วะ วิ่งได้อีกเท่าไหร่ ยากมาก แต่อันนี้มันบอกเป็นตัวเลข กับพอขับ ๆ ไป เราจะเริ่ม Calibrate ตัวเลขในหัวได้ละว่า ถ้าเราขับด้วย Condition นี้มันจะเป็นเท่าไหร่ เลยทำให้เราไม่กลัวเรื่องนี้เลย เผลอ ๆ อาการดีขึ้นด้วยซ้ำ
เราว่า เพราะปัญหาอะไหล่ Backorder หนัก ๆ ที่เกิดกับแบรนด์ที่ขึ้นต้นด้วย M ลงท้ายด้วย G จนออกข่าวเยอะไปหมด ไม่รู้นะว่าแบรนด์อะไร ก็ทำให้เราคนนึงนี่แหละ กังวลเรื่องอะไหล่มาก ๆ เพราะมันเป็นรถจากจีนเหมือนกัน ตอนนั้นคิดว่า BEV อะไหล่มันไม่เยอะหรอก เรื่องของการ Stock อะไรมันง่ายกว่าเยอะ
จนได้มาใช้จริง ผ่านการเคลมไปหลายรอบอยู่ ฮ่า ๆ ถ้าเป็น Part ที่แบบเปลี่ยนกันเยอะ ๆ เช่นกันชนหน้าหลัง กล้อง อะไรพวกนี้ส่วนใหญ่ ถ้ามันมีในโกดังของไทย ศูนย์บอกว่า คืนนึง หรือวันนึงอะไหล่ก็ถึงแล้ว ส่วนใหญ่ที่เราเจอ อะไหล่ก็มีหมดนะ
กับมีเคสนึงเราเจอปัญหา เสียงแปลก ๆ ที่โช้คด้านหลังซ้าย ได้ยินมาสักพัก แต่ก็หรือว่า ของมันกลิ้ง ๆ ไปมาเหรอ โดยเฉพาะเวลาขึ้นลูกระนาด จนเอาของออกไปแล้วก็ยังมีเสียง แน่ละ โช้คแน่ ๆ ศูนย์เลยทำเรื่องเคลมโช้คด้านหลังซ้ายให้ บอกว่าใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์อะไหล่มา สรุปกดไป 2 เดือนจ๊ะที่รัก คือ พี่เขาบอกหน่วยผิดปะ....
กับจะมีแค่ล่าสุดเนี่ยแหละ เกมโดนสอยตูดไปทีนึง แล้วไปศูนย์เพื่อเคลม ปรากฏว่า พนักงานบอกว่า ตอนนี้โรงงานปิดเช็คสต๊อคประจำปี ทำให้สั่งอะไหล่ไม่ได้ วอทดาฟาคคคคคคค สุดท้าย นับตั้งแต่วันนั้นจนอะไหล่มาก็ 7 วันพอดี กับมีชิ้นนึงบอกว่า Backorder รอนานแน่ ๆ สุดท้าย วันที่เอารถเข้าไป อะไหล่ชิ้นนั้นมันก็มาถึงแล้ว อะ ก็ไม่เลววะ ทำให้จากประสบการณ์ที่เราเจอมาเอง ดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ๆ ตอนแรกเราเข้าใจว่า ถ้าเข้าทีต้องจอดรถไว้หลัก 3-4 เดือนอย่างที่เคยเห็นมา กลายเป็น 7 วันเยอะสุด
เราเห็นหลายคนก็จะพูดว่า ถึงค่าเชื้อเพลิงมันถูก แต่สุดท้าย เราเจอราคาอื่น ๆ เข้าไป มันจะพอ ๆ กับรถน้ำมันแหละ แล้ว What's the point ใช่ป่ะ เรามา Breakdown ให้อ่านกัน
อย่างแรก ค่าเชื้อเพลิง ปีที่ผ่านมา เราไปซบอก PTT EV Station ช่วงที่มันฟรีไปครึ่งนึงแล้วอะ ขอไม่นับละกัน งั้นเพื่อความโกง ๆ ของอีกฝ่าย เราขอ เอาราคาค่าไฟต่อเดือนที่แพงที่สุดที่เรามี คูณ 12 เป็น 1 ปีไปเลย เดือนที่แพงที่สุดของเราคือเดือน 10 ปี 2022 ทั้งเดือน เราเสียค่าไฟสำหรับชาร์จรถอยู่ที่ 322.79 บาท ถ้าเราทำเรทนี้ใน 1 ปีเลย ทั้งปี เราจะโดนค่าไฟสำหรับชาร์จอยู่ 3,873.48 บาท ถ้าเอาของจริงมันจะประมาณ 2 พันต้น ๆ เท่านั้น
ค่า Maintenance ความเป็น EV มันไม่มีชิ้นส่วนอะไรให้เราดูแลเท่าไหร่ ทำให้ GWM จะเช็คระยะที่ 15,000 km หรือ 1 ปี อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน ซึ่งระยะทางเราถึง เลยต้องเข้าเช็ค ซึ่งเราไม่ได้เสียเงินสักบาท เพราะอยู่ในการรับประกันของ GWM เอง ถึงจะไม่ได้ Cover แล้วต้องจ่ายเองราคามันก็อยู่พันนิด ๆ จะมีรอบ 60,000 กิโลเมตรแพงหน่อย 3,000 กว่าบาท แต่ Cost ที่เราจ่ายเองคือ ใบปัดน้ำฝน อยากได้ของดี ๆ เลยซื้อของ Blaupunkt จาก Central ราคา 567 บาท
และค่าประกันในปีต่อไป เราย้ายประกัน เพราะประกันที่แถมมากับรถบริษัทมันทำไว้แสบมาก เรียกว่า เ_ยสุดใจเลย แมร่งเจอคู่กรณีเป็นฝรั่ง ประกันที่ควรจะทำหน้าที่ไกล่เกี่ย กลับบอกว่า เออ ให้เราผิดไปละกัน เพราะประกันพูดกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง ได้เหรอวะ ไปประกันเจ้าใหม่ ก็โดนเบี้ยอยู่ 32,000 บาท
ดังนั้น Cost of ownership ของเราตลอด 1 ปีนี้ ก็จะเป็น 36,440.48 บาท ถามว่าประหยัดกว่ารถน้ำมันขนาดไหน เราจำไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าบอกว่า ปีนึง เรารวมค่าเชื้อเพลิงแล้วเท่านี้ แล้วขับเละเทะขนาดนี้ เราว่า มันก็รับได้นะ ไม่แพง ถึงจะบอกว่าค่าประกันรถน้ำมันแพงกว่า มันก็โดนค่าเชื้อเพลิงตบหน้าไปทีแล้ว เมื่อก่อนเราขับ Honda City อาทิตย์นึงเติมสัก 600 บาทเดือนนึง 2,400 บาท ณ วันที่น้ำมันยังไม่ขึ้นแบบบ้าเลือดขนาดนี้ ยังไม่นับอย่างอื่นนะ เงินเติมน้ำมันปีนึงเกือบเท่าทุกอย่างตอนนี้รวมกันแล้วนะ
แต่เราต้องบอกก่อนนะว่า Condition ใคร Condition มัน อันนี้คือ Condition ของเราไม่ได้เป็นการบอกว่า คนคุณจะต้องได้เหมือนกัน ให้ลองไปคำนวณดูกันเองนะว่า ของตัวเองจากลักษณะการขับขี่มันจะคุ้มมั้ย
น้องแมว Good Cat เป็นรถ Design น่ารัก เดินผ่าน ขับผ่านยังไงก็ต้องเหลียวมอง (เรื่อง Design บังคับให้คนมอง จีนเก่งจริง ยอมรับ) สีฟ้าในโทนที่เราชอบด้วย กับภายในโอเคราคาของมัน ช่วงล่าง การขับขี่ยอมรับเลยว่าดีกว่าที่คิดไปไกลมาก ๆ จะติดแค่เรื่อง ที่เก็บของเล็กไปหน่อย แต่เราก็ไม่ได้มีประเด็น เรามักเดินทางคนเดียว ที่เหลือ ๆ ระบบ Software แบบ Chinese Style ที่ไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ ก็ส่วนนึงคงชินแล้วมั้งเลยรับได้ แต่เรื่องที่เรารับไม่ได้กับรถคันนี้เลยคือ หน้าจอ Infortainment ที่ช้าแบบ แค่จะปรับแอร์ตอนขับรถ เงยหน้าลงไปดูนานไปหน่อย ขึ้นมารถชนตายแล้วมั้ง ยังไม่นับเรื่อง Google Maps บน Apple CarPlay ที่ช้าจนใช้งานไม่ได้
ทำให้เอาจริง ๆ เลยนะ เป็นรถที่ Hardware แมร่งโอเคหมดทุกอย่างเลยนะ ข้อเสียของมันรับได้หมดเลย แต่อีเรื่อง Software เนี่ยนะ !!!! ความ Chinese Style ที่ขนาดเราเป็น Software Developer เรายังไม่เข้าใจเลยว่า พวกแก ออกแบบ Software ตามหลักโลกไหนก่อน ถ้าใครมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ รอ FOTA ได้ (ถ้าเขาแยแสว่าจะแก้อะนะ ที่ผ่านมาก็รับบทนางน่าสงสารตลอด แต่ไม่เห็นมี Action) มันก็น่าสนใจดีครับ ถ้าใครกำลังมองหา BEV ราคาต่ำล้าน ขนาดกำลังน่ารัก ใช้เป็นรถคันเดียวของบ้านได้ ถ้าเราไม่ติดเรื่องปัญหาการรออกแบบ Software ประหลาด ๆ ของจีน ORA Good Cat ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ
เสริมหน่อยนะว่า เวลาเราเลือกรถอะ อย่าเลือกที่ข้อดีของมัน ข้อดีใคร ๆ ก็ชอบ แต่ถามว่า รับข้อเสียได้มั้ยดีกว่า ซึ่งเราเอง ก็รับข้อเสีย มี Alternative Solution ในการจัดการได้เลยไม่มีปัญหากับการใช้รถคันนี้เท่าไหร่
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...