By Arnon Puitrakul - 29 มิถุนายน 2022
หลังจากรอคอยมา ตั้งแต่ เดือน 8 ของปี 2020 ณ ตอนที่เขียนก็เดือน 6 ของปี 2022 เรียกว่า เฉียด 2 ปี เลยทีเดียว เราลองมาดูกันว่าเจ้า Omega 200W GaN Charger เนี่ย มันจะดีสมการรอคอยหรือไม่ หรือว่า ก็แค่เศษซาก เคส Crowdfunding ที่ไม่ประสบความสำเร็จกัน
เริ่มจากว่า โครงการที่จะผลิตเจ้า Omaga อันนี้เป็นโครงการที่บริษัทที่เคยทำ Crownfunding หลายงานมาก ๆ อย่าง chargeasap เปิดออกมา โดยที่บริษัทนี้ มันก็ทำพวกเรื่อง Power Bank และ Charger อะไรอยู่แล้ว ตัวที่ดังจริง ๆ น่าจะเป็น Power Bank ที่เป็น Graphine Battery ตอนนั้นเรียกว่า มันใหม่มาก ๆ นะ สำหรับโลกของ Power Bank ณ ตอนนั้น
แล้วอยู่ ๆ มันก็เปิดโครงการใหม่ขึ้นมาคือ Omega ซึ่งเป็นที่ชาร์จที่ใช้เทคโนโลยีใหม่มาก ๆ อย่าง GaN หรือ Gallium Nitride ที่ออกมาเป็น Semiconductor สำหรับ Charger ทั้งหลาย ที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยกว่าแบบเดิมเยอะมาก กับสามารถจ่ายไฟได้สูงขึ้นเยอะโคตร ๆ เลย นั่นทำให้ ในกำลังที่เท่ากัน Charger ที่เป็น GaN จะมีขนาดเล็ก และ น้ำหนักที่เบากว่าแบบเดิม เหมาะกับการพกพามากขึ้นนั่นเอง
โดยช่วงปี 2020 ที่ Omega เปิดโคตรการออกมา ที่ชาร์จเรียกว่าทุกเจ้าเลยมั้ง ก็ยังเป็น Silicon-based อยู่หมดเลย ทำให้ตอนนั้นเราโคตรสนใจ Omega เลย แล้วยิ่งออกตัว 200W มาคือ เราไปเที่ยว หรือทำงานนอกบ้าน เราสามารถพกที่ชาร์จอันเดียว จิ้มได้ทุกอย่างเลย ตั้งแต่ Laptop ยันนาฬิกา พร้อม ๆ กัน ทำให้มันน่าสนใจมาก ๆ
กับที่ชาร์จ ณ ตอนนั้น ไม่น่าเกิน 100W มั้ง น่าจะอยู่กันที่ 60-100W ไม่เกินนั้นเลย เจอ Omega 200W เข้าไป เรากด Back เลย ประกอบกับ chargeasap เองก็เปิด Funding ไปหลาย Project มันก็ประสบความสำเร็จมาก ๆ ทำให้คิดว่า เออ มันน่าจะไว้ใจได้
แน่นอนว่า การที่ทำ Crowdfunding มันก็ต้องมีพวก Update ออกมา Report เรื่อย ๆ ว่า มันเกิดอะไรขึ้นแล้วบ้าง ซึ่งตอนแรก ๆ เลยก็ทุกอย่างจะดูเป็นไปได้ด้วยดีเลยละ Comment ทั้งหลาย ๆ ก็เออ มาเป็นกำลังใจให้เด้อ อะไรแบบนั้น
จนต้นปี 2021 ก็มี Update ออกมาเรื่อย ๆ จนแล้วจนรอด ก็มีปัญหากับการผลิตไปเรื่อย ๆ ประกอบกับสถาการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีน แล้วก็คั่นด้วยการที่ติดวันหยุดต่าง ๆ เช่นพวก Chinese New Year จนทำให้ Backer หลาย ๆ คนไม่พอใจมาก ๆ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน จนมีการเปลี่ยน Supplier หลายรอบ และ เปลี่ยนโรงงาน กว่าจะเปลี่ยนได้ ต้องให้โรงงานเก่าส่ง Material มาให้ แล้วก็ช้าอีกอะไรสารพัดเลย
เรียกได้ว่า ดราม่ายิ่งใหญ่กินเวลาเป็นปี และเราว่า น่าจะทำให้ chargeasap หมดความน่าเชื่อถือไปเลยทีเดียว เจอแบบนี้เข้าไป เราไม่รู้เลยว่า ถ้าออก Campaign มาอีก จะเป็นยังไง คนน่าจะรุมสาปเลยละ ก็คือ รอตั้งแต่ GaN Charger ยังไม่มีในตลาด จนตอนนี้ Apple แถมมากับ Macbook Pro แล้วอะ คิดดูละกัน
ตัวกล่องบอกเลยว่า เละ !!!! อาจจะเพราะมันไม่ได้มาเป็นกล่องหุ้มนะ มันเป็นแค่ถุงพลาสติก แล้วอาจจะบุบระหว่างการขนส่งก็ได้ ทำให้เรามองว่า เห้ย ทำไมไม่ใส่กล่องมาอะ อะช่างมันละกัน ตัวกล่อง ก็เรียกว่า เป็นกล่องกระดาษบาง ๆ โง่ ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย กระดาษก็แอบบางไปหน่อยนะ อาจจะทำให้มันเลยเละขนาดนี้ก็ได้ ด้านหน้ามีรูปตัว Charger กับเขียนเลยว่ารุ่น 200W ชัดเจนตัวใหญ่มาก พร้อมกับบอกว่า เป็น Charger 200W ที่เล็กที่สุดในโลก เออ จริงอยู่อ่อ ณ วันที่ออก อาจจะจริงนะ แต่วันนี้ที่เราได้มา มันยังจริงอยู่มั้ยไม่รู้
ด้านข้างกล่องก็ไม่มีอะไร เป็นแค่ Logo ของ chargeasap และ GaNFast เท่านั้น
อีกด้าน ก็จะเป็นพวก Bar Code พร้อมบอกรุ่น กับสี โดยที่เราซื้อเป็นรุ่น 200W สี Navy & Gold มา
ด้านหลังกล่อง มีการบอกสรรพคุณให้เราเสร็จหมดเลย ไว้มาดูกันว่า มันทำอะไรได้บ้าง มันชาร์จได้เร็วขนาดไหนกัน
เปิดกล่องออกมา อ้าว ไหงตันแบบนี้ละ
อ่ออ โอเค มันใส่อยู่ในกล่องอีกทีนึง เปิดมา เราจะเจอกับ Quick Start Guide วางอยู่เลย แต่แน่นอนว่า เราไม่อ่านหรอก เกิน 8 บรรทัด ฮา ๆ
นอกจากเรื่องที่กล่องบุบ อีกเรื่องที่ทำให้เราคิดว่า chargeasap ควบคุมคุณภาพได้ห่วยมากคือ การวางเจ้า Quick Start Guide นี่แหละ ดูจากขนาดจริง ๆ เรามองว่า มันน่าจะออกแบบให้วางได้พอดีเลยมั้ง แต่อันนี้คือวางเหลือมลงไปทำให้มันพับงออยู่ในกล่องแบบที่เห็นเลย ทำให้เห็นถึงการควบคุมคุณภาพที่ไม่ได้เรื่องเลย
นอกจากนั้น งานพิมพ์เอง เราคิดว่า มันห่วยมากนะ เพราะขนาดพึ่งผลิต พึ่งเอาของลงกล่องแล้ว Shipping มาให้เราไม่กี่อาทิตย์หรอก แต่กระดาษที่พับอยู่ก็มีรอยสีขาว ๆ บริเวณที่พับแล้ว
กับมีการ์ดที่ขอบคุณในการ Back Campaign นี้ โอเค ควรโดนด่าละอันนี้
ของชิ้นต่อไปในกล่อง คือพวก Adapter สำหรับเปลี่ยนหัวปลั๊ก อันนี้เราเข้าใจว่า มันน่าจะเกิดเรื่องช่วงแรก ๆ เลยมั้งว่า ตอนแรกประกาศว่าจะใส่หัวปลั๊กแต่ละหัวมาให้เลย คือไม่ต้องผ่าน Adapter แต่สุดท้ายก็กลายเป็นแถม Adapter สำหรับแปลงหัวมาแทน เอ้า อะไรว้าาาา แต่อะโอเค ดีกว่าของไม่มาละกันเนอะ
มาถึงพระเอกของเราอยู่ในถุงห่อมาแบบ เออ ห่อก็ห่อ อยู่ไม่ได้มีกาว หรือปิดซีลอะไรเหมือนชาวบ้านเขา ก็คือแค่เอา Adapter ใส่ถุงนี่ แล้วก็ยัดลงกล่องไปแบบจุก ๆ เลย อะ ก็โอเคก็ได้อยู่
เกือบจะปิดกล่องเก็บละ แต่เห็นอะไรดำ ๆ แปลก ๆ ไม่น่าจะใช่กล่องแน่ ๆ เลยลองเปิดออกมาดู
สรุปมันคือถุงผ้าสำหรับเก็บ Adapter เวลาเราเดินทาง แต่เราว่ามันแอบบางไปหน่อยนะ ไม่น่าจะกันอะไรในชีวิตได้เท่าไหร่แหละ ฮ่า ๆ อย่างมาก เราว่ามันก็น่าจะกันรอยขนแมวพอได้อยู่นะ
มาถึงพระเอกของวันนี้แล้วนั่นคือ Omega 200W GaN Charger ถึงเราจะด่าเรื่อง Packaging ไปเยอะ แต่พอดูตัว Charger จริง ๆ มันประกอบมาดูดีเลยนะ มาด้วย Body แบบพลาสติกเงาสี Navy ตามที่เราสั่งไป พร้อมกับการพิมพ์ chargeasap ไว้ด้านบน อันนี้เราว่า คุณภาพการพิมพ์อะไรมันโอเคนะ ไม่ได้เ_ยมากเท่าไหร่ พร้อมกับ ด้านหน้า ที่เราเห็นเหมือนขาว ๆ จริง ๆ มันเป็นสีทอง ทำมาเป็นพลาสติกเหมือนกัน แต่จะเป็นแบบด้าน ทำให้เราเห็นเป็นแบบในรูปเลย
ด้านข้าง เราจะเห็นว่า มันค่อนข้างหนาเลย ใช่แล้วฮ่ะ มันโคตรหนา และ หนักมาก ถ้าเทียบน้ำหนักจริง ๆ น่าจะไปเล่นกับพวก 98W Charger ของ Apple ได้เลย แต่ด้วยความที่เล็กกว่าเลยทำให้เวลาเราจับถือจริง ๆ มันรู้สึกว่าแน่นกว่าเยอะ นอกจากนั้น จากในรูปเราจะเห็นเลยว่า ตรงที่เป็นสี Navy มันจับลายนิ้วมือเยอะมาก ๆ เลยนะ ทำให้เรามองว่า ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากนะ ซื้อสีขาวเถอะ มันจับรอยนิ้วมือน้อยกว่าเยอะมาก
ไปที่ฝั่งสำหรับเสียบหัวกับอุปกรณ์กันบ้าง เขาก็มากับ 4 หัวได้เลย ทำให้เราสามารถเสียบชาร์จอุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 4 ตัวพร้อม ๆ กันเลย โดยจะเป็น USB-C Power Delivery ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 100W ที่แน่นอนว่า พอจะชาร์จ Macbook Pro 16-inch ยังไหวเลย (อาจจะไม่เท่ากับรุ่นใหม่ที่ใช้ 140W แต่ก็ชาร์จได้แหละ) กับ Macbook Pro 14-inch ที่เราใช้งานอยู่เรียกว่า ชิวมาก ๆ และยังมาพร้อมกับ USB-A อีก 2 หัวที่จ่ายไฟสูงสุดได้ 22.5W เท่านั้น รองรับ Fast Charge ของหลาย ๆ มาตรฐาน เดี๋ยวเรามาว่ากันอีกทีว่า มันรองรับอะไรบ้าง ส่วนด้านบนตรงกลางเลย ที่เราเห็นว่ามันเป็นขาว ๆ มันเป็นไฟแสดงสถานะ
ส่วนด้านที่เป็นสีทอง มันจะมีเขียนพวกข้อมูลการจ่ายไฟของมัน แน่นอนว่า ก็ตามมาตรฐานเลยที่มันสามารถรับไฟได้ตั้งแต่ 100-240V เลยทำให้มันสามารถใช้ได้ทั่วโลกเลยไม่ว่าจะเป็นไทยเองที่ใช้ไฟ 220V หรือจะเป็น ญี่ปุ่น ที่ใช้ 100V ส่วน Output เรามาเล่าอีกทีดีกว่า รายละเอียดมันเยอะมาก ๆ นอกจากนั้น ตรงกลาง เราจะเห็นว่า มันเป็นหัวที่เสียบกับเต้าเสียบปลั๊กนั้นเอง เวลาเราไม่ได้ใช้งาน เราสามารถพับเก็บได้ง่าย ๆ
แต่หัวปลั๊กมันไม่เหมือนกับพวก Adapter ที่พับหัวปลั๊กเก็บได้ทั่ว ๆ ไป พวกนั้น เราสามารถพับเก็บ หรือกางออกมาได้แค่นั้น แต่อันนี้คือมัน Beyond ไปอีกขั้น ที่เราสามารถพับมันได้ 180 องศาเลย ทำให้เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้มากขึ้นไปอีก
สำหรับหัวแปลงก็ง่าย ๆ เลย เราก็แค่เอาหัวปลั๊กออกมา แล้วเสียบเข้ากับตัวแปลงที่ให้มาในกล่องได้เลย
มันก็จะมีหน้าตาแบบในรูปเลย แต่ว่า มันทำให้เราเสียความสามารถในการพับหลาย ๆ ด้านไป แอบเสียดายหน่อย แต่เอาจริง ๆ คือ หัวที่มันพับได้ มันก็ใช้ในไทยได้แหละ มันจะมีปัญหาแค่เวลาเราไปต่างประเทศเท่านั้นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ได้บ่อยอะไร เลยไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น กับอีกเรื่องคือ หัวแปลงเสียบเข้าไปแล้ว มันจะแน่นมาก ๆ นะ เราไม่สามารถอยู่ ๆ มาดึงออกได้เลย มันจะต้องกดปุ่มที่เห็นในรูปค้างไว้ แล้วค่อย ๆ ดึงออกมา จะดึงออกได้แบบง่ายเลย มันเป็นกลไกในการล๊อค ซึ่งยอมรับเลยว่า ออกแบบมาใช้ได้นะ
ในกล่องเขาจะมีแผ่นกระดาษที่บอกพวก Specification ของ Charger ตัวนี้มาด้วย เราอยากให้สังเกตโดยเฉพาะด้านล่างตรง Power Distribution เพราะ Charger บางตัวบอกว่าตัวเอง 65W แต่ความเป็นจริงมันอาจจะจ่ายไฟได้ 35W และอีกรูที่ 30W อะไรแบบนั้น ในเคสของ Omega เอง ตัวมันสูงสุดที่ 200W แน่นอนว่า USB-PD จ่ายไม่ได้แน่นอน งั้นมันจ่ายแบบไหนละมาดูกัน ดูจากในรูปเขาจะมี C1 และ C2 คือ USB-C และ A1 กับ A2 เป็นหัว USB-A
อย่างตรง C1 หรือ C2 เราจะเห็นเลยว่า มันจ่ายได้สูงสุดที่ 100W เหมือนกับที่มัน Label ไว้เลย ความดีอีกอย่างคือ เมื่อเราเสียบ C1 และ C2 พร้อม ๆ กันเลย ทั้งสองหัว USB-C มันจะจ่ายออกไปได้หัวละ 100W ไปเลย ทำให้เราสามารถเสียบชาร์จ Laptop ได้ 2 เครื่องพร้อม ๆ กันไปเลย Laptop ไม่ใช่ตัวเล็ก ๆ เลยนะ ต้องขนาด Macbook Pro 16-inch เลยทีเดียว
เรื่องมันชักจะซับซ้อนเมื่อเรา เสียบหัว USB-C สักช่องแล้วเสียบ USB-A เข้าไป ถ้าเราเสียบ C1+A2 เราจะได้ 100W + 22.5W หรือ ถ้าเราบอกว่า เราเอา C1 + A1 เราจะได้ 65W + 22.5W ง่าย ๆ คือวิธีการแบ่งไฟของมันจะแบ่งเป็น 100W เข้ามา 2 เส้น เป็นเส้น 1 และ 2 คือ C1,A1 และ C2,A2 ถ้าเราจะเสียบ USB-C และ A พร้อม ๆ กัน เราจะต้องเสียบไขว้กัน เพื่อให้เราได้ไฟเต็มบน USB-C
แต่ถ้าเราใช้ 3 หัว คือ USB-C 2 หัว และ USB-A หัวไหนก็ได้ 1 หัว มันจะกลายเป็นว่า USB-C หัวที่ 2 จะกลายเป็น 65W เท่านั้น ไปจ่ายให้ USB-A แทน ส่วน USB-C หัวแรกได้เต็ม 100W เอาจริง ๆ เลยนะ มันแอบซับซ้อนมาก ๆ
ถ้าเอาง่าย ๆ เลย อะไรที่เราอยากให้จ่ายไฟเยอะสุด ๆ ขอเยอะสุด ๆ ให้เราเอาไปเสียบหัว C1 ไปเลย ส่วนที่เหลือค่อย ๆ ไล่ลงไปแค่นั้นเลย ตอนแรกก็อ่านอยู่สักพักเหมือนกันกว่าจะเข้าใจ
ในแง่ของความร้อน เราเข้าใจว่า GaN อีกหนึ่งข้อดีของมันคือ มันมีความร้อนที่น้อยลงกว่าแบบเก่า ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย แต่เมื่อเราลองเสียบมันเข้ากับ Macbook Pro 14-inch แล้วก็ใช้งานไปด้วย เราลองใช้ปลั๊กวัดไฟเสียบเช็คด้วย ก็คือ วิ่งอยู่ 100W ได้จริง ๆ มันไม่ได้มั่วนิ่เลยนะ เราเลยลองเสียบและใช้งานในห้องที่อุณหภูมิ 24.45 องศาเซียลเซียส ไปประมาณ 30 นาที แล้วลองมาจับดูก็จะรู้เลยว่า มันร้อนมาก ๆ แต่มันยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ลวกอะไรเรานะ เรายังจับมันได้อยู่แค่รู้สึกว่ามันร้อนเฉย ๆ เท่านั้น
ถ้าถามว่า ร้อนประมาณไหน เราว่า น่าจะพอ ๆ กับ Adapter ของ Apple เวลาเราเสียบชาร์จ Macbook Pro 14-inch เลย แต่ขออภัยด้วยจริง ๆ เราไม่มี Thermal Camera เลยไม่สามารถวัดความร้อนที่พื้นผิวของ Adapter มาให้ดูได้ เอาเป็นว่า มันยังอยู่ในระดับที่เราจับได้แล้วไม่ลวกละกัน แค่รู้สึกร้อนหน่อย
เรื่องการพกพา เรามองว่าเป็นจุดอ่อนของมันเลยนะ ถ้าเกิดบอกว่า เราเป็นผู้ใชัทั่ว ๆ ไป ไม่ได้แบกคอมหนักอะไรขนาดนั้น การล่นลงไปใช้ Adapter ที่ Power น้อยกว่านั้นหน่อยก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าเยอะมาก อย่างอันเดิม คือ ZMI 65W เลย เราเคยรีวิวไปแล้ว อ่านได้ที่นี่ เราจะบอกเลยว่า น้ำหนักของ ZMI เบากว่ามาก ๆ
ดังนั้น เราเลยมองว่า การที่เราพก Adapter ขนาด 200W ไปข้างนอก มันไม่น่าจะเป็นงานอะไรทั่ว ๆ ไปสำหรับคนทั่ว ๆ ไปทำงานในชีวิตประจำวันเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะน้ำหนัก เราลองยกเทียบดูคือ ห่างกันโคตรเยอะ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็จะมีคนทักท้วงว่า ก็แหงดิกำลังมันห่างกันตั้งเยอะ มันจะเอามาเทียบกันได้ยังไง เรากำลังพูดถึงการใช้ชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปเลย เราเข้าใจว่า Adapter ขนาด 200W แบบนี้มันอาจจะเบาที่สุด แต่ในแง่ของการใช้ชีวิตจริง มันไม่ใช่ของที่คนทั่วไปจะซื้อมาใช้งานในชีวิตประจำวันเลย
แต่ที่เรากดมา เพราะเราเห็นในรูป ตอนนั้นเราคิดว่า มันเล็ก และ เบามาก ๆ อาจจะหนักกว่า 65W อยู่ แต่ไม่น่าเยอะละมั้ง พอมาเจอของจริง ชิบหาย เยอะอยู่นะเนี่ย ไม่น้อยเลย แต่ถ้าบอกว่า เราเอาไว้ใช้เวลาเราเดินทางไปเที่ยวอะไรพวกนั้น เราว่าอันนี้แหละ มันคือ Travel Companion จริง ๆ นะ 1 หัวปลั๊กเสียบได้ทุกอุปกรณ์พร้อม ๆ กันเลย แก้ปัญหาพวกปลั๊กไม่พอได้จริง ๆ แล้วชาร์จไปใช้ไปก็ยังชาร์จเข้าอยู่ อาจจะเอาใส่กระเป๋าเดินทางมันก็ไม่ได้หนักเท่าไหร่เลยจริง ๆ
ในแง่ของ Port Selection เอง เราว่า Omega มันคิดมาดีอยู่นะ สำหรับเราเองที่เวลาเราไปเที่ยวจริง ๆ เราจะมีโทรศัพท์, Tablet, คอมพิวเตอร์ และ นาฬิกา มันลงพอดีเลยอะ เราอาจจะเอาคอมพิวเตอร์กับ Tablet เสียบ USB-C ไป แล้วที่เหลือเสียบ USB-A ไปก็เพียงพอแล้ว เลยยิ่งทำให้สำหรับเราเอง มันกลายเป็น Travel Companion จริง ๆ เลยละ หรือบางคนบอกว่า เดินทางเป็นคู่ เราแบ่งกันเลย C1,A1 ของคนนึง และ C2,A2 ของอีกคนยังไหวเลย
Omega 200W GaN Charger เป็น Adapter สำหรับชาร์จไฟที่อาศัยเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่อย่าง GaN ทำให้มันมีขนาดที่เล็ก และ เบา แต่ยังสามารถจ่ายไฟได้เยอะมาก ๆ เมื่อเมียบกับขนาดของมัน แถมความร้อนยังน้อยอีก ณ วันที่เปิดให้ระดมทุน ก็เรียกได้ว่า เรียกเสียงฮือฮ่าเป็นอย่างดี เพราะ ณ วันนั้น GaN ยังไม่ได้ใช้งานเยอะ และราคาถูกเหมือนทุกวันนี้ แต่เพราะความเป็น Crowdfunding อะนะ Things go wrong ได้เสมอ ทำให้เราได้ของเลทจริง ๆ มาเป็นปี ๆ เลย กับมันก็ไม่ได้เป็น Smallest และ Lightest แล้วมั้ง เจ้าใหญ่ ๆ กินหมดหรือยังไม่รู้นะ เสียดายจริง ๆ พอออกมาจริง ๆ ตัว Adapter ทำมาได้ค่อนข้างเนียบใช้ได้ งานประกอบอะไรแน่นดี น่าจะทนทานใช้ได้ ผิดกับ Packaging ที่เ_ย มาก ๆ หักคะแนนก็เรื่องนี้แหละ
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...