By Arnon Puitrakul - 01 พฤศจิกายน 2019
น้อง ๆ หลายคนถามมาเยอะมาก เกี่ยวกับเรื่องคณะที่เราเรียนตอน ป.ตรี ว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง หรือเรียนไปจะไปทำอะไรได้บ้าง ช่วงนี้ไหน ๆ ก็มีงาน Open House จัดที่คณะ (การจัด Open House ก็รีวิวมาแล้ว อ่านได้อีก) กับเราเองก็จบมาเรา MUICT#12 อะ วันนี้ พี่หนึ่ง นุ่งส์หนึ่ง น้องหนึ่ง หนึ่ง อีหนึ่ง $%#$%#$%@หนึ่ง ก็แล้วแต่จะเรียก (2 อันหลังเก็บไว้ให้เพื่อนเรียกเนอะ) จะมาเล่าละกันว่า 4 ปีที่เราอยู่ในคณะ เราเรียนอะไร และเราได้อะไรจากคณะนี้มาบ้าง พร้อมแล้วโก !!!
คำเตือน มันจะยาวมาก ๆ ใครที่คิดว่าไม่อยากใช้โควต้า 8 บรรทัดของอีกหลาย ๆ ปีต่อไปก็เชิญข้ามไปที่บทสรุปได้เลย
ไหนตึก? โน้นน ไกลเลย เห็นที่เปิดไฟม่ะ นั่นแหละ รูปนี้ถ่ายเมื่อสักปี 58 ได้
คณะ ICT มหิดล หรือถ้าเอาชื่อเต็ม ๆ ก็จะเป็น Faculty of Information and Communication Technology หรือ ๆๆๆ ภาษาไทยก็จะเขียนเป็น คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (คิดว่ายาวแล้วใช่มั้ย หึ บอกเลย ของป.โท เรายาวกว่านั้นฮ่า ๆ) เท่าที่รู้ ณ ตอนที่เราเขียนน่าจะเป็นคณะน้องสุดในมหาลัยแล้วมั่งนะ
ตึกคณะเนี่ยมาไม่ยากเลย อยู่หลังตึกอธิการบดีไปเอง หรือ Landmark ที่เราใช้บอกคนที่ไม่เคยมาคือ หลังหอสมุด ฮ่า ๆ เพราะอยู่หลังหอสมุดจริง ๆ มันคือตึกเดียวกันเลยดีกว่า ถ้าไม่รู้จะทำยังไง เป็นเด็กหลงโดยสมบูรณ์แล้ว จงถามยามซะ !!!
ส่วนการเรียน ทั้งหมดจะเป็นหลักสูตรนานาชาติทั้งหมดเลย ตั้งแต่ปริญญาตรี ยาวจนไปถึงเอกกันเลย (ถ้าจะต่ออะนะ) วันนี้เราจะมาเล่าแค่ช่วง ป.ตรีละกัน เราก็จะเรียนกันทั้งหมด 4 ปีเหมือนคณะทั่วไปอื่น ๆ เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเลยนะ แต่ถ้าใครอ่อนภาษาไทย เฮ้ย ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเราจะได้เรียนมันเกือบทุกเทอม ก็เอาจนได้อะนะ
หลาย ๆ คณะ ก่อนที่เราจะเข้าไปเรียนกัน ก็จะมีอารมณ์เหมือนเรียนปรับพื้นฐานอะไรแบบนนั้น แนน่นอนว่าคณะนี้ก็มีเช่นกัน แต่เราจะใช้ชื่อว่า Preparatory Program หรือ ที่เด็กในนั้นก็จะเรียกติดปากกันว่า Prep อะไรแบบนั้น เช่น แก ๆๆ Prep ภาษาอังกฤษ แกอยู่กลุ่มไหน อะไรแบบนั้นแหละ
ถ้าถามว่า เรียนอะไรกันบ้าง เราก็จะตอบในช่วงเวลาเราละกัน ไม่รู้เหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้เรียนเหมือนกันมั้ย (พูดเหมือน 20 ปี) ช่วงเราตอนนั้น มันจะมีเรียนพวกวิชาหลัก ๆ อย่าง คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ และพวก 21st Century Skill อีก 2-3 ตัวมั่งเราจำไม่ได้
ตอนนั้นเราสามารถเลือกลงเรียนเป็น Module ได้ ตอนนั้นเราก็เลือกแค่ Module ที่เป็น Math กับภาษาอังกฤษ และ ภาษาที่สามเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้เรียน เพราะมั่นหน้า ไม่ใช่ละ เอาจริง ๆ คือตอนนั้นขี้เกียจ ฮ่า ๆ
Math เราก็จะเรียนคล้าย ๆ กับตอนมัธยมแหละ แหงแหละ จะมายัดอะไรตอนนี้ได้ละ ก็จะเป็นพวกเลขที่เราเรียนมาในมัธยมซะส่วนใหญ่เพื่อให้หลาย ๆ คน (หรืออย่างเรา ที่อ่อนเลข) เข้าใจมันมากขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเวลาเราไปเรียนในห้องจริง ๆ
ส่วนที่เราว่าสนุก น่าจะเป็น Class ภาษา ทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาที่สาม สำหรับภาษาอังกฤษ แน่นอนเนอะว่า คณะเราเป็นหลักสูตรนานาชาติ ภาษามันก็ต้องระดับนึงแหละ ในห้องเรียน Prep ก็จะเป็นการสอนภาษาอังกฤษแบบพื้นฐานในหลาย ๆ สกิลเลย แต่ที่ตอนนั้นเราสนุกกับเพื่อนมาก ก็น่าจะเป็นการท่องศัพท์นี่แหละ โดยเขาจะให้เราใช้ App ที่ชื่อว่า Anki เป็นเหมือน Flashcard ที่ให้เราไปท่องศัพท์มา แล้วก็มาเทสอะไรแบบนั้น มันสนุกตรงที่แย่งกันตอบกันนี่แหละ กับพวก Activities ที่เล่นในห้องก็ทำให้สนุกมาก
อันนี้ตอนมาเป็น TA ซะเอง ทำไมตอนนั้นมันผอมได้ขนาดน้านนน
นอกจากนั้น ใน Class ภาษาอังกฤษ ก็จะมีพี่ปี 1 ที่กำลังจะขึ้นปี 2 แหละ มาเป็น TA หรือภาษาไทย เราเรียกว่า ผู้ช่วยสอนมาอยู่ในห้องด้วย หน้าที่หลัก ๆ คือ ก็จะมาช่วยอาจารย์สอนแหละ แต่ถ้าเราอยากรู้อะไร เราก็ถามพี่เขาได้นะ ไม่กัด อย่างเราที่พีคคือ พี่ที่เป็น TA ของห้องเรา ตอนหลัง อ้าว กลายเป็นพี่เทคซะงั้น ฮ่า ๆ (พี่เทคคืออะไร เดี๋ยวค่อยว่ากัน)
และสุดท้ายคือ Class ภาษาที่สาม ก็จะมีให้เลือกอยู่หลายภาษาเลย (แต่เราจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง) ตอนนั้นเราเลือกญี่ปุ่นไป เพราะเอาจริง ๆ ก็คือ เราชอบความญี่ปุ่นอยู่แล้ว สิ่งที่เรียนในห้อง ก็จะเป็นพื้นฐานของภาษาเลย โดยเฉพาะเรื่องของการพูด ก็คือ ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็ยังเรียนได้ ไม่ต้องกลัว
Strap ปีแรก ก็จะเป็นสีเหลืองแบบนี้เลย
หลังจาก Prep จบไม่นาน งานปฐมนิเทศผ่านไป งานรักน้องผ่านไป ก็ถึงเวลาแห่งความเป็นจริงแล้วก็คือ การเปิดเทอม นั่นเอง ในปีแรก วิชาเรียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิชาพื้นฐาน อย่าง วิทยาศาสตร์บ้าง คณิตศาสตร์พื้นฐาน และการเขียนโปรแกรมพื้นฐานอะไรแบบนั้น เพื่อเป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมที่จะไปเรียนในวิชาที่ยากขึ้นต่อไปในปีต่อ ๆ ไป เราขอแบ่งเป็นซีรีส์ละกัน
ซีรีส์แรก ก็จะเป็นวิชาเลขก่อนละกัน ในเลขปีแรก เราจะเรียนกันทั้งหมด 3 ตัวคือ Advance Math, Discrease Structures และ Applied Statistics for Computing
อย่าง Adv. Math ตอนที่เราเรียน เราก็เรียน Calculus ไปครึ่งเทอม ส่วนอีกครึ่งเทอมเราก็เรียนพวก Vector กับ Matrix เราชอบอาจารย์ที่มาสอนมาก คือ ใจดีมาก และเราเองเป็นคนที่อ่อนเลขมาก แต่ก็คือ พอเราไปถามแกก็ใจดีนั่งสอนเราจนได้อะ ส่วน Discrease Structures ก็จะเรียนเลขที่มันไม่ต่อเนื่องตามชื่อวิชาเลย เช่นพวก Set, Relationship, Function อะไรเทือก ๆ นั้น และสุดท้าย Stat ก็จะเรียนในเทอม 2 เป็นสถิติพื้นฐานมาก ๆ คล้าย ๆ กับที่เราเรียนกันในมัธยมเลย ตั้งแต่พวก ค่าเฉลี่ย จนไปถึง Hypothesis แบบพื้นฐานกันไปเลย
ซีรีส์ถัดไปจะเป็นเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ บ้าง ถึงเราจะเรียนคอม แต่ก็นะ เราก็ยังได้วุฒิเป็นวิทยาศาสตร์บัณฑิตอยู่ ไม่แปลกที่เราจะต้องเรียนวิทยาศาสตร์บ้างเนอะ หลัก ๆ ที่เรียนกันก็คือ เคมี ที่จะเรียนเคมีพื้นฐานมาก ๆ ถ้าใครที่เรียนสายวิทย์มา ไม่น่าจะมีปัญหากับวิชานี้เลย ชีวะ ก็เช่นกันพื้นฐานมาก ๆ ซึ่งทั้งเคมี และชีวะ จะเป็นอาจารย์จากคณะวิทย์มาสอนเลย จริง ๆ อาจารย์ที่มาสอนชีวะตอนนั้น ก็คืออาจารย์ที่แนะนำ Advisor ตอนป.โทให้เรานั่นแหละ ฮ่า ๆ ส่วนฟิสิกส์ที่หายไป กลายร่างเป็น Physical Science and Computation แทน ที่จะเรียนพวก การคำนวณทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ได้เล่นอะไรเยอะมาก สนุก ๆ
ถัดไปอีก จะเป็นพวก ภาษาอังกฤษกันบ้าง ในปีแรก เราก็จะเรียนเป็น Technical English 1 และ 2 แน่นอนว่า เหมือนเดิมคือ มันก็ยังเป็นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปของภาษา ส่วนใหญ่ถ้าจำไม่ผิด ก็จะเป็นเรื่องของหลักภาษาซะส่วนใหญ่แหละ ก็สนุกดี แต่เราจะบอกก่อนว่า การเรียนภาษาอังกฤษในคณะนี้ ก็จะคล้าย ๆ กับคณะอื่น ๆ คือ มีการแบ่งกลุ่มด้วย ซึ่งจะแบ่งตามคะแนนภาษาอังกฤษที่สอบเข้ามา นั่นเอง
อันนี้แหละพีค หลายคนกลัวมากคือพวก Programming Gangster ที่ในปีแรก เราจะเรียนกัน 2 ตัว เทอมละตัวนั่นแหละ คือ Funamental Programming ที่จะเรียนพวกพื้นฐานการเขียนโปรแกรม อย่างพวกการใช้ Flow Control ต่าง ๆ เพื่อควบคุมโปรแกรม (เช่น IF, For Loop และ While Loop) ตอนเรา เราเรียนผ่านการใช้ภาษา C เลย ซึ่งเอาจริง ๆ เราว่ามันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นนะ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นเรื่องของภาษา แต่เราว่าที่หลาย ๆ คนติดกัน ไม่เกี่ยวกับภาษาเท่าไหร่เลย แต่จะเป็นเรื่องของ Logic และวิธีการคิดซะมากกว่า ต่อมาในเทอม 2 ก็จะพาไปรู้จักกับอีก Programming Concept นึงคือ Object Oriented Programming (OOP) วิชานี้ก็จะเรียนกันผ่านภาษา Java กันไป ก็จะได้เรียนพวก Concept ของ OOP เช่นพวก Encapsulation และ Polymorphism เป็นต้น แน่นอนว่า คนตก 2 วิชานี้เยอะมาก แต่น่านะ เราว่า ถ้าจบไปแล้วเขียนโปรแกรมไม่ได้เลย เราว่ามันก็แปลก ๆ หน่อยมั้ย
และสุดท้ายขอ รวมเป็นซีรีส์จิปาถะละกัน เพราะมันไม่เข้าพวกกับใคร มันจะประกอบด้วยพวกวิชาพื้นฐาน อย่างที่เราว่าพีคสุดแล้วน่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่อื้อหือออออออ บอกเลยว่าพีคที่สุดแล้ว ขนาดเราเรียนเป็นภาษาไทยยังมึนงง ทั้งประวัติศาสตร์ไทยและสากล แต่อันนี้เราต้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษ อันที่พีคในส่วนนี้เรายกให้ ปางค์พระ ไปเลย ภาษาไทยว่าชิบหายแล้ว เจอแปลเป็นภาษาอังกฤษเข้าไปสิ อื้อออหืออออ อร่อยละทีนี้
วิชาต่อไปในซีรีส์นี้คือ Problem Solving Skill เป็นอีกวิชาที่เราชอบนะ หลัก ๆ ก็คือจะสอนเราแก้ปัญหาแหละ ซึ่งแน่นอนว่า เราได้เอาไปใช้ต่อในอนาคตแน่นอน เพราะการเขียนโปรแกรม การสร้างอะไรพวกนั้น มันก็คือ การแก้ปัญหาทั้งนั้น ตอนนั้นเราเรียนก็คือ จะเป็นกิจกรรมให้เราลองแก้ปัญหาต่าง ๆ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้น ที่เป็น Project เลยน่าจะเป็นการให้สร้างกังหันลมมั่ง ตอนนั้นคือ ในคณะ ก็จะมีอีกังหันลมของพวกปี 1 เต็มไปหมด
ตอนนั้นก็คือ เอารูปมา แล้ว Mark Cell ลงไปกับเขียน Flood Fill ง่าย ๆ สั่งให้มันโชว์เลขลำดับการรันออกมา แล้วสุดท้าย เอาเลขนั้นมาใส่ใน Excel ใส่สีเพื่อให้ดูง่ายขึ้น
ที่ฮ่าที่สุด น่าจะเป็นปัญหา Recursive ที่ตอนนั้นอาจารย์ให้เราหารูปมา แล้วเหมือนกับทำ Flood Fill อะ แต่ใช้มือทำ
เราเบลอหน้าเพื่อนออกไปละ บุย
ซึ่งรูปใหญ่มาก กระดาษ A4 ไล่ไม่พอ สุดท้าย เราและเพื่อน ๆ จึงไปซื้อกระดาษสำหรับเครื่อง Fax มาแล้วเขียนมันบนนั้นเลย พอไปส่ง ก็คือ เหมือนส่งคัมภีร์เลยฮ่า ๆ
วิชาเกือบสุดท้ายละคือ Digital System เป็นวิชาที่ ตอนเราเรียนครั้งแรก บอกเลยว่า อะไรฟร๊ะเนี่ย ไม่เข้าใจเลย ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถ้าใครที่เรียนพวก Logic ตอนมัธยมได้ จะไม่ค่อยมีปัญหาในวิชานี้ซะเท่าไหร่เลย เพราะมันใช้เต็ม ๆ ตอนนั้น เราก็มีปัญหากับมันมาก ๆ เพราะเราไม่เข้าใจว่า A ^ B มันคืออะไรเทือก ๆ นั้น ปัญหากับสัญลักษณ์นั่นแหละ แล้วมันจะมีการทำให้ประพจน์มันสั้นลง โน้นนี่นั่น ที่สนุกของมันก็คือ การเขียนพวก Logic Circuit ที่วาดกันทีนี่แทบจะบ้าตาย
วิชาสุดท้ายจะเป็นวิชากีฬา ซึ่งจะมี List อยู่เล็กน้อยให้เราเลือก ซึ่งตอนนั้นเราก็เลือกจักรยาน เพราะอันอื่น ๆ ดูท่าทางแล้ว เราไม่น่าจะรอดได้เลย อย่างฟุตบอล ซึ่งปีที่เราเรียน เป็นปีแรกที่มหาลัยมีวิชาจักรยานขึ้นมา ที่พีคคือ ด้วยความที่เราเรียนในหลักสูตรนานาชาติ และ เป็นวิชาที่เปิดสอนโดยคณะอื่น แล้วต้องเรียนกับคณะอื่น ทำเราก็แยกเรียนออกมาเลย คือ นั่งเรียนอยู่ด้วยกันนะ แต่แยกกลุ่มออกมาเป็นกลุ่มของ ICT เลย ในขณะที่กลุ่มอื่น ก็คือ คละคณะกัน แบบ เห้ยย ถถถถถถ แต่ก็รอดมาได้ รวม ๆ ก็เป็นวิชาที่สนุกดีนะ เพราะการอยู่ในม.มหิดล ส่วนใหญ่เราก็จะใช้จักรยานในการสัญจรกันอยู่แล้วแหละ การที่เรารู้ทั้งเรื่องมารยาทในการขี่ การบำรุงรักษา และความปลอดภัยก็เป็นเหมือน Survival Skill ที่สำคัญในการเรียนอยู่ที่มหิดลศาลายาเลยก็ว่าได้
นอกจากเรื่องของการเรียนแล้ว ปีแรกเนี่ยก็เป็นปีที่มีกิจกรรมให้เราทำเยอะมาก ๆ แบบมากจริง ๆ นะ ซึ่งบางอย่างเราก็ไม่เข้า บางอย่างเราก็เข้า ที่นี่ไม่ได้แบบ โซตัส อะไรแบบนั้นเลย อยากเข้าอันไหนก็เข้า ไม่อยากเข้าอันไหนก็ไม่ต้องเข้า ไม่ได้มีคนมาบังคับอะไร ขนาดที่ว่า ถ้ามาแล้วอยากกลับ อีพี่ก็ต้องเอาน้องมาส่ง ฮ่า ๆ ไม่ปล่อยน้องกลับเอง
Endgame ไปเลย เมื่อน้องอยากเป็นพี่ และพี่อยากเป็นน้อง บางทีเราก็สนิทกันมากไปมั้ย ฮ่า ๆๆๆๆ
นอกจากนั้น สิ่งนึงที่น่าจะเป็นเหมือน ของสนุกในปีแรกเลยคือ การมีพี่รหัสอะไรแบบนั้นใช่ม่ะ ที่นี่ก็มีเหมือนกัน ก็จะเป็นตามรหัส 3 ตัวท้ายของเรานั่นแหละ ถ้ามีพี่รหัสเดียวกันก็ใช่เลย แต่ถ้าพี่ลาออก หรือไม่ได้เข้ามาเรียน ก็จะมีตัวตายตัวแทนมาเสียบ หรือที่เราเรียกว่า พี่เทค เลย แน่นอนว่า เราก็คือ นก แน่นอน เพราะพี่รหัส ไม่มีจ้าา ได้พี่เทคมาแทน และ น้องก็ไม่มีน้องรหัสเช่นกัน นก x 2 ไปเลย ก็ได้น้องเทคมาแทน
รวม ๆ แล้ว สำหรับเรา เป็นปีที่ค่อนข้างว่างมาก ๆ เลยนะ ตอนนั้นเราสามารถไปเล่นเกมห้องเพื่อนได้ทุกเย็นเลย แล้วกลับมาทำการบ้าน กิจกรรมก็เข้าบ้างอะไรบ้าง แต่แน่แหละว่าส่วนใหญ่เราก็เป็นคนเข้าร่วมซะส่วนใหญ่ มันก็เลยไม่ได้กินเวลาอะไรเยอะขนาดนั้น เรียกได้ว่า ช่วงเวลาแห่งการปรับตัว และ เก็บเกี่ยวความสุขละกัน จำได้ว่าตอนนั้นติด Cookie Run มาก
โตขึ้นอีกปีแล้วเย้ ปีนี้สี Strap เราก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูแทนแล้วววว ในปีนี้ เรื่องการเรียน เราก็จะได้เรียนวิชาที่มันเฉพาะเข้าไปอีกขั้น แต่ก็เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนในวิชาของปีถัด ๆ ไป หรือไม่ก็เป็นวิชา Intro สำหรับแต่ละ Track ที่จะเลือกในช่วงปี 3 เทอม 2
เสริม อ่านถึงตรงนี้ ก็งงใช่ม่ะว่าทำไม สี Strap เราเปลี่ยนไป ที่คณะสีมันจะเปลี่ยนตามปี ตั้งแต่ สีเหลือง ชมพู เขียว และ ฟ้า ตามลำดับ ก็จะเปลี่ยนกันในวันไหว้ครู ทุกปีอาจารย์ก็จะเอา Strap ใหม่คล้องให้ ก็เหมือนเป็นการให้พรขึ้นเรียนปีใหม่นั่นเอง (คำมันอาจจะยังไม่ใช่ แต่ทำนองนั้นแหละ นึกคำไม่ทัน)
ถ้าแบ่ง ก็จะเป็นพวก วิชาเลข ก็จะเป็นพวก Numerical Method เราชอบมากเลยนะ มันดูสนุกมาก เพราะเราจะได้เรียนพวกการคำนวณแปลก ๆ เยอะมาก เท่าที่รู้คือ ปกติ วิชานี้มันน่าจะเป็นวิชาของฝั่งวิศวะมั่งนะ แต่เราก็ได้เรียน พวก Newton-Raphson Method กับ Golden-Section Method อะไรแบบนั้น ตอนนั้นเราไม่รู้เลยนะว่า จะเรียนไปทำไม แต่พอเรียนขึ้น ๆ ไป เออ มันได้เอามาใช้เยอะมาก ๆ
แน่นอนว่า วิชาที่เป็นพวกคอมพิวเตอร์ เราต้องเรียนแน่ ๆ แต่ในปีนี้จะมีเยอะหน่อย ทั้งหมด 9 ตัวด้วยกัน เราก็จะได้เรียนพวก Computer Organisation and Architecture เป็นไม้ต่อในซีรีส์เดียวกับ Digital พวกการออกแบบ และ สร้าง Database ผ่านวิชา Database Management Systems
Basic Computer Science ก็น่าจะเป็นพวก Data Structures and Algorithm Analysis อันนี้เราบอกเลยว่า ถ้าใครเขียนโปรแกรมกับ Logic ไม่แข็ง เราบอกเลยว่า สนุกแน่พวกแก กับ Principles of Operating Systems อันนี้สนุกนะ แต่แอบยากสำหรับเราไปหน่อย เพราะเราจะได้เรียนยันว่า ใส้ใน OS มันเป็นยังไง มันมีการจัดการ Process ต่าง ๆ ยังไงบ้างอะไรแบบนั้นเลย และ Project ตอนที่เราเรียนคือความชิบหายที่แท้จริง เพราะเราทำบ่ดั้ยยยยยยยยยย จำได้เลยว่า Project ให้เขียนน Shell แน่นอนว่าทำบ่ดั้ยโว้ยยยย
ในปีนี้ก็ยังมีจุดเริ่มต้นของ Series ใหม่ในการเรียนด้วยนั่นคือ Computer Data Communication เราชอบเรียกมันสั้น ๆ ว่า Data Com มันจะเป็นวิชาที่ว่าด้วยพวก Physical Layer ของการเชื่อมต่อต่าง ๆ ว่า การที่เครื่องมันคุยกัน มันทำยังไงบ้างในส่วนของที่เป็น สัญญาณต่าง ๆ เช่น สายแลนที่เราใช้กันมันก็จะเป็นพวกทองแดง แล้วมันหน้าตาเป็นยังไง มันขนส่งข้อมูลได้ยังไงอะไรแบบนั้น พร้อมกับการคำนวณอะไรไม่รู้ บอกเลยว่าวิชานี้เราบั้ยบาย เพราะมี Math และ Physic
สิ่งที่เรียนเพิ่มเข้ามาในปี 2 นั่นคือ พวกวิชา Introduction ทั้งหลาย ปี 2 ก็จะเรียนอยู่ 2 ตัวคือ Introduction to E-Business และ Multimedia อย่างละตัว ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่ชอบสักตัวเลยฮ่า ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Business แต่ถามว่า มันได้อะไรมั้ย เราว่ามันได้เลย โดยเฉพาะเรื่องการหาพวก Business Pain แล้วเราจะแก้ปัญหามันได้ยังไง มันไม่ได้ Applied แค่ในฝั่งของ Business เท่านั้นนะ มันยัง Applied ไปถึงวิธีคิดต่าง ๆ อีกหลายอย่างเลยนะ เพราะในชีวิตเรา เอาจริง ๆ เราก็ต้องมีการเสนอโน้นนี่นั่นไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน หรือการทำงานเอง การที่เรารู้จักที่จะคิดหา Pain และ พยายามแก้ปัญหา มันก็เป็นเรื่องที่ดี
วิชาตระกูล ภาษาอังกฤษ ก็ไม่รอดเช่นกัน ก็จะเรียนเป็น Reading Skill และ Public Speaking and Presentation อันนี้เราบอกเลยว่า สนุกมากกกกกก เพราะเขาจะสอนให้เราพูด พูดยังไงให้ดูดี ตั้งแต่การเตรียม Script ในการพูด จนไปถึงท่าทางต่าง ๆ ในการพูดเลย มันทำให้เรามีเทคนิค และกลัวที่จะพูดในที่สาธารณะน้อยลง
ความเป็น ปี 2 ก็จะมาพร้อมกับ การจากลาของอิสระภาพในวันเสาร์อย่างสิ้นเชิง เพราะเราต้องเรียนวิชาพวกที่เป็น Business ทั้งหลาย ซึ่งเราจะต้องเลือก 2 จาก 4 (ตอนที่เราเรียนเป็นแบบนั้นนะ ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง) ก็คือ เรียนเทอมละตัวนั่นเอง ตอนนั้น เราก็เลือก Accounting หรือบัญชีนั่นแหละ คิดว่าเออ แม่เรียนมา ลูกน่าจะได้บ้างแหละ ที่ไหนได้ แม่อะได้นะ แต่อีลูกตกเลขไปเลยจ้าาา แทบไม่รอด ส่วนอีกเทอม ลง Economics เออ ก็คิดว่าน่าจะรอดนะ เคยแข่งมาก่อน ไม่รอดอีกเหมือนกัน เพราะเข้าเรียนอยู่ไม่ถึงครึ่ง ฮ่า ๆ เพราะไปแข่งโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด
ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเรียน ปี 2 เป็นปีที่ เราจะมีน้องเข้ามา กิจกรรมหลาย ๆ อย่าง จากที่ปีก่อน เราเป็นคนเข้าร่วม มาปีนี้ เราก็ต้องมาจัดให้น้อง เช่นพวก Stand Cheer, Open Bann และ Open House อะไรแบบนั้น งาน และ ความรับผิดชอบมันก็ต้องมาขึ้นตามปีนั่นเอง
สำหรับเรา ตอนนั้น เป็นปีที่เราเข้ามาทำ Open House หรืองานเปิดบ้านที่น้อง ๆ น่าจะได้เคยมากันแล้วละ มันก็เหนื่อย ๆ แต่ก็สนุกดี กับช่วงนั้น เราไปแข่งเยอะมาก จนแบ่งเวลาเรียนอะไรก็ยากอยู่เหมือนกัน ดีที่มีทีมช่วย ไม่งั้น ก็ไม่น่ารอดไปแล้ว
ปี 3 เจ้า Strap ของเราก็กลายร่างเป็นสีเขียว บอกไว้ก่อนเลยว่า ปีนี้เป็นปีที่หรรษา และหนักที่สุดแล้วใน 4 ปีของการเรียนในคณะนี้เลยก็ว่าได้ วิชาที่เราชอบก็มารวมกองกันอยู่ในปีนี้ซะเยอะ
ตัววิชา แน่นอน มาแก่ขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องเป็นเรื่องคอมหมดละ บางตัวเป็นตัวต่อไปแล้ว เริ่มที่ซีรีส์ Network ก่อนเลยละกัน ก็คือ Computer Network และ Wireless and Mobile Computing จัดว่าเป็น 2 วิชาที่ผมว่า จี๊ดสุดแล้วววววววว ชอบมากกกกกกก คืออาจารย์สอนฮ่ามาก แซ่บ ถถถถถ เอาจริง ๆ ตอนนี้จบมานั่ง Config Router ในบ้านตัวเอง หน้าอาจารย์แกยังลอยมาอยู่เลย เสียงนี่คือมาเต็ม โคตรชอบทั้งตัววิชาและคนสอน สไตล์ของวิชา Network ทั้งหลาย อารมณ์มันจะมีตัวย่อเยอะมาก ๆ ไม่รู้จะเยอะไปไหน CSMA/CA, CDMA และอื่น ๆ อีกมากมาย ใน Computer Network เราก็จะได้เรียนเรื่องพวก Protocol ต่าง ๆ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้คุยกัน ตั้งแต่ PAN ยัน WAN กันไปเลย มันส์ไปอี๊กกกก กับ Wireless อันนี้บอกเลยพีคคคค เพราะเราจะต้องจำหมดเลยนะว่า การเชื่อมต่อแต่ละแบบ แต่ละมาตรฐาน มันทำงานยังไง มันเร็วเท่าไหร่ ทำงานบนความถี่อะไร ลามไปเรื่องเสาต่าง ๆ การเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Cellular Network แต่ละ Generation (G) มันเพิ่มอะไรเข้ามา และความปลอดภัยพวก WPS คือเรียนกันอ้วกอะ แต่สนุกมากเลยนะ โคตรชอบบบบบบบบบบ ถือว่าเป็นที่สุดของใน 4 ปีแล้วเราชอบมากจริง ๆๆๆๆๆ
พูดถึงวิชาที่เราชอบก่อนละกัน อีกวิชาคือ Human Computer Interface (HCI) วิชานี้ เราว่าเนื้อหามันดีย์มากเลยนะ แบบสอนพวกเรื่อง การทำ User Persona, Design Principal, Information Achitecture รวมไปถึงพวก History ของการออกแบบ วิธีการที่คนจะ Interact กับเครื่องต่าง ๆ แล้ว Project ก็ให้เรา หาปัญหามา แล้วพยายามออกแบบวิธีการที่จะแก้ปัญหา ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นกลุ่มเราก็เลือกการสั่ง KFC มั่ง เราก็ต้องเริ่มจากไปถามคนอื่นว่า เออ การสั่ง KFC มันมีปัญหายังไง วาด Journey Map ออกมาเลยว่า ในแต่ละขั้นตอน คนชอบไม่ชอบตรงไหนบ้าง ตรงไหนที่จะปรับปรุงได้บ้าง แล้วก็แก้ปัญหาออกมา และสุดท้าย ก็ต้องเอา Solution ที่เราทำมาประเมิน รวม ๆ แล้วบอกเลย สนุกมากกกกกกกกก
และวิชาในดวงใจอันสุดท้ายของเราก็คือ Computer and Communication Security หรือง่าย ๆ ก็คือวิชาที่เรียนพวกเรื่องของความปลอดภัยนี่แหละ ก็จะเรียนตั้งแต่พื้นฐานว่า การที่เราจะทำให้ระบบของเราปลอดภัย มันจะต้องมีอะไรบ้าง ยาวไปถึง สิ่งที่ช่วยให้เราปลอดภัยเช่น การเข้ารหัส มันทำยังไง แน่นอนว่า เขาให้เราทำมือบ้างแหละ หา RSA ด้วยมือ แบบ.... ได้เหรอฮ่า ๆ คณิตศาสตร์เบื้องหลังของมันเป็นยังไง ทำไมถึงถอดรหัสยากนักหนา แล้วเราก็เอาเรื่องพื้นฐานเหล่านี้แหละ มาใช้ต่อเป็น Application ของมัน เช่น การส่ง Encrypted Email และการ Sign Document อะไรแบบนั้น มันก็จะมีวิธีการของมันอยู่ รวม ๆ แล้วมันก็เป็นเหมือนพื้นฐานในการของความปลอดภัยนั่นเอง
จากนี้จะเป็นวิชาที่เราเฉย ๆ ละ อันแรกก็จะเป็น Information Storage and Retrieval อ้าว Advisor ตอนป.ตรี ก็สอนวิชานี้เองแหละ อาจารย์เสียใจแย่ ฮ่า ๆ ถามว่ามันสนุกมั้ยมันก็สนุก แต่มันไม่ใช่ที่สุดเท่านั้นเอง วิชานี้ก็จะเรียนตามชื่อมันเลยคือ การเก็บและดึงข้อมูล เราจะเก็บข้อมูล ยังไงให้เวลาเราเรียกใช้งาน เราทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นพวกการทำ Indexing ที่ไม่ใช่แค่การเรียกใช้ Tool หรือ Library ที่มีอยู่แล้ว แต่เราต้องสร้าง Index Table ขึ้นมาเอง สร้างระบบสำหรับ Search ขึ้นมาเองอะไรแบบนั้น
ตัวถัดไปคือ Artificial Intelligence หรือที่เราเรียกย่อ ๆ สายย่อว่า AI นั่นเอง เป็นวิชาที่เราเองปวดส์หัวกับมันมาก เรียนเยอะมาก ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด เราเรียนผ่านการที่ทำให้รถถังที่อยู่ในเขาวงกตมันไปถึงที่หมายได้ เรื่องที่เราต้องเรียนก็จะเป็นพวก การทำ Searching ต่าง ๆ เช่น A-Star อะไรแบบนั้น มันก็จะมีวิธีการทำหลายอย่างมาก ๆ จำได้ว่า เรื่องที่เราว่า Pain ที่สุดคือ ให้เราทำ Backward Propagation ด้วยมือ ตอนนั้นคือ เชี้ยไรเนี่ยยยยยยยยย งงมาก หลังจากทำมือได้ ทำในคอมกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย บอกเลยว่าเด็ด
วิชานี้เมื่อก่อน เราก็เฉย ๆ นะ แต่มาตอนนี้ รู้งี้ตั้งใจเรียนก็ดี นั่นก็คือวิชา Parallel and Distributed Systems ก็จะเรียนพวกการเขียนโปรแกรมให้ใช้หลาย Processor พร้อม ๆ กันได้ ตั้งแต่การจัดการ Process การจัดการ Memory ต่าง ๆ เพราะอย่าลืมนะว่า ถ้าเราให้งานหลาย ๆ อย่างมันทำด้วยกัน มันก็ต้องมีเรื่องของการจัดการหน่วยความจำที่ซับซ้อนกว่าการเขียนโปรแกรมโดยใช้หน่วยประมวลผลเดียวแน่นอน มันจะมี Protocol หลายอย่างที่จะเข้ามาช่วยให้เราทำงานโดยที่ผลลัพธ์จะยังคงถูกต้องอยู่ นอกจากนั้น ก็ยังต้องเรียนพวก Library ที่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมพวกนี้อีกด้วย เช่น Massage Parsing Interface (MPI) กับพวก Nvidia CUDA อะไรแบบนั้นเลย เราไม่โอเคกับวิชานี้ เพราะ Section เราเป็นอันเดียวที่ต้องมาเรียนวันเสาร์ คือปี 2 ก็ไม่ได้หยุดวันเสาร์ไปแล้วอะ แล้วทำไมปี 3 มันยังมาเอาวันเสาร์ไปอีก แถม Section เดียวด้วยอะไรแบบนั้น เราก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
ถัดไปคือ Introduction to Software Engineering วิชานี้เราว่าอาจารย์สอนสนุกดี แกพูดเร็วจน บางทีก็คิดว่า แกหายใจทันเหรอ ฮ่า ๆ วิชานี้จะเรียนเรื่องของการออกแบบ Software ต่าง ๆ เช่นการเรียน Diagram ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ตามชื่อเลยมันเป็นวิชา Introduction แต่เราว่า ถ้าใครที่ไปทำงานจริง ๆ ก็น่าจะได้ใช้เยอะมาก สุดท้ายแล้ว เวลาเราไปทำงานจริง โปรแกรมนึง เราไม่ได้เขียนคนเดียว Maintain คนเดียวสักหน่อย เราก็ต้องใช้ของพวกนี้แหละ ช่วยทำให้เราทำงานกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น ไหนจะเป็นเรื่องของการเก็บ Requirement ของโปรแกรมอีกว่า โปรแกรมเราควรจะเป็นยังไง ระหว่างการเขียน เราจะควบคุม และมีการทดสอบตรงไหนบ้างอะไรแบบนั้น ก็จะเรียนเป็น Intro เฉย ๆ ของจริง ๆ ให้พวกที่เลือกเรียน Software Engineering ไปเรียนละกัน
วิชาเกือบสุดท้ายละคือ Management Information System (MIS) วิชานี้ เราก็ไม่ค่อยสนุกกับมันเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะคนสอนนะ แต่เป็นเพราะ เราไม่ชอบตัววิชานี้เลยมากกว่า ยอมรับนะว่า มันมีประโยชน์มาก แต่เราก็ไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่ วิชานี้จะเรียนพวก Process ของข้อมูลในองค์กรอะไรพวกนั้นจำไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นต้องเขียน BPMN ก็เขียนผิด ๆ ถูก ๆ แอบยากสำหรับเราอยู่ฮ่า ๆ ต้องบอกก่อนนะว่า วิชามันดีนะ แต่เราแค่ไม่อินเท่านั้นแหละ มันก็จำรายละเอียดไม่ได้ละ เราจะไปอินพวกวิชาที่มัน Technical หนัก ๆ มากกว่า
ส่วนภาษาอังกฤษก็มีเหมือนเดิมเลย ในปีนี้ก็จะเรียน 2 ตัวเช่นเดียวกันจะเป็นพวกการเขียนหมดเลย ก็คือ Business Writing และ Academics Writing ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เลยนะ อย่าง Business Writing เราก็จะเรียนเกี่ยวกับการเขียนจดหมาย เขียนอีเมล์ เราจะต้องเขียนด้วย Format แบบไหน เขียนยังไงถึงจะสุภาพ ถ้าจะเขียนไปในเหตุการณ์แบบนี้ เราควรจะต้องทำยังไง มันจะมีเก็บคะแนนอันนึง ให้เราเข้าไปหางานใน JobDB มา แล้วปริ้นออกมา แล้วอาจารย์จะเป็นเหมือนคนสัมภาษณ์งานเราอะไรแบบนั้น เออสนุกดี กับ Academics Writing อันนี้ตัวปราบเซียนเลย ใครไม่เก่งภาษาระวัง ไม่ใช่เพราะยากนะ แต่เพราะตัวนี้เป็นหนึ่งในตัวที่เป็นเงื่อนไขในการจบเลย ต้องได้ B ขึ้นอะ (ไม่รู้ว่าปรับยัง) ก็จะเรียนเรื่องการเขียนเชิงวิชาการ ว่าเราควรจะเขียนในอารมณ์ไหน การใช้คำ การจัดรูปแบบ Paragraph พวกคำ Transition ต่าง ๆ ซึ่งดีมาก ถ้าใครที่อยากเรียนต่อ แนะนำให้ตั้งใจเรียนวิชานี้เลย เพราะเราจะได้เยอะมาก กับสอบ IELTS แนะนำให้จำพวกนี้ไปใช้ให้ดี มันใช้ได้ดีย์เลยละ
อย่างที่เราเขียนไปก่อนหน้านี้ ช่วงปี 3 จะขึ้นเทอม 2 เราจะต้องมีการเลือก Track เกิดขึ้น ณ ตอนที่เราเรียน มันก็จะมี 8 Track ด้วยกัน
ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละ Track ก็จะมีการรับจำนวนที่จำกัด ซึ่งมันจะใช้ เกรดของแต่ละรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับ Track นั้น ๆ เป็นตัววัด โดยคณะ จะให้ใบมาเลยว่า แต่ละ Track เราอยู่ที่เท่าไหร่ เช่น ถ้าเราบอกว่า Computer Science เราอยู่ที่ 50 หมายความว่า ถ้าทุกคนเลือก Computer Science หมดเลย แล้วมันรับ 30 คน เราก็จะไม่ได้ พร้อมกับ ในใบเขาจะมีแนะนำเลยว่า จากเกรด เราควรจะเลือกอะไร กับวันที่เลือก ก็คือ จะเหมือนประชุมผู้ปกครองอะ เด็กก็ไปปรึกษากับอาจารย์ได้ (จริง ๆ แล้ว ก็คุยกันมาก่อนแล้วแหละ แล้ววันนั้นก็มาเลือกอย่างเดียว ใครมันจะตัดสินใจกันวันนั้นฟร๊ะ) มันก็จะได้มาแบบนั้น เวลาเราเลือก เราก็จะเลือกเป็นอันดับไป 1 2 และ 3 ตอนนั้น ในใบของเรา แนะนำ Database เป็นอันดับแรก แต่เราก็เลือก Computer Science และก็ได้มันมาาาาาาา
เสริมเรื่อง Track นิดนึง เราว่า มันน่าจะเป็นความเข้าใจผิดกันในเรื่องของคำที่ใช้ ในพวก Multimedia อะ คณะเราไม่ได้เป็นเหมือนศิลปากรที่แบบ สร้างเกม ทำ Animation อะไรแบบนั้นนะ เท่าที่เราเห็นเพื่อนเรียนคือ มันนั่ง Coding กันอ้วกแตก ใช้ OpenGL ปั้นเครื่องบิน เห็นแล้วทรมานแทน ง่าย ๆ คือ ใน Track นี้พยายามสอนให้เราเป็นคนสร้างโปรแกรมที่ใช้ทำงานพวกนี้ ไม่ได้เป็น User เหมือนที่อื่น เราเห็นหลายคนละ ไม่รู้แล้วพอเรียนไปถึงปี 3 อ้าวชิบหาย ไม่ใช่บรรลัยแล้วไง อะไรแบบนั้น
เราเล่าเฉพาะ Computer Science ละกัน เพระาเราเลือกอันนี้มา ด้วยความที่ Track นี้มันช่างดู General เสียเหลือเกิน เราก็เลยไม่ได้มีวิชา Track ที่มันเป็นของตัวเองเลย สรุป เราก็ต้องไปเรียน 2 ตัวคือ Database Design และ Data Warehousing and Data Mining (วิชานี้ ผมนี่ทึ่งในความสามารถของอาจารย์เลยฮ่ะ !! คนที่เรียนจะรู้ดีย์ !!!) กับพวก Track Database ทำให้ Computer Science และ Database เรียนไม่ต่างกันเลยในปี 3 เทอม 2 นั่นเอง
และอีกหนึ่งงานที่ยิ่งใหญ่ และ หรรษา มาก ๆ ก็คือ การเตรียมจับกลุ่มทำ Senior Project นั่นเอง เงื่อนไขนึงที่จะเรียนจบนอกจากภาษาอังกฤษก็คือ เราต้องผ่าน Senior Project นั่นเอง ง่าย ๆ มันก็คือ Project ที่จะใช้จบ โดย จะทำกันด้วยเด็กทั้งหมด 3 คน และ 1 Advisor ดังนั้นสิ่งที่เราต้องหา มี 2 อย่างคือ หาอีก 2 คนมารวมกลุ่ม กับอาจารย์ที่จะดูแลเรา
แน่นอนว่า การเลือกเพื่อนร่วมทีม และอาจารย์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ อย่างเพื่อน ถ้าเราทำงานกันแล้วไม่เข้ากัน การทำงานมันก็จะยากมาก ๆ ทั้งในเรื่องเวลา และ การสื่อสาร เห็นหลายทีมก็แอบมีปัญหากัน หรืออาจารย์ที่อาจจะไม่เข้ากับทีม เป้าหมายไม่ตรงกัน ทั้งหมดนี้ก็เป็นความที่เราจะต้องมีการพิจารณาในการเลือกกันอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะลดหรือหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเจอในอนาคตอะไรเทือก ๆ นั้น ตอนนั้น เราก็ได้ทั้งเพื่อนและอาจารย์ พร้อมหัวข้อก่อนจบปี 3 ไปเรียบร้อย
ส่วนเรื่องของการฝึกงาน คณะไม่ได้บังคับว่าต้องไปฝึกงานนะ ตอนแรก เราก็กะว่า เออ ไม่ต้องแหละ ขี้เกียจ มานั่งทำ Senior Project ดีกว่า แต่ไป ๆ มา ๆ เราก็ได้ไปฝึกงานที่ Like Me หรือที่เราน่าจะรู้จักจาก Infographic Thailand ตอนนั้น อาจารย์ติดต่อมาว่าพี่อยากได้คนไปฝึกงานอะไรสักอย่าง เราก็เลยตอบตกลงไปละกัน แล้วก็ชวนเพื่อนในค่าย YWC ให้มาสมัครอีก มันส์เลยทีนี้ จากเขียน Javascript กับใช้ React ไม่เป็นเลย ได้ภายในอาทิตย์เดียว แล้วต้องขึ้นงานจริง พีคไปอี๊กกกกกกก ไปอ่านต่อได้ที่ Blog เรื่องนี้
เรื่องกิจกรรม มันก็จะน้อยลงกว่าปี 2 แน่นอน เว้นแต่ว่า เราจะไปทำกิจกรรมกับส่วนกลาง พวกชมรมของมหาลัย อะไรแบบนั้น กับงานคณะบางอย่าง ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เรียนไปนะ ฮ่า ๆ
ให้ผมจบเถอะะะะะะะะ
ปี 4 แล้วววว Strap ก็จะกลายเป็นสีฟ้า สีนี้แหละที่เราชอบอยากได้ตั้งแต่ปี 1 ละ ไม่ใช่เพราะเป็นปี 4 นะ เราแค่ชอบสีฟ้าเฉย ๆ (ได้เหรอเห้ยยยย) ช่วงปี 4 ของเราบอกเลยว่า เป็นปีที่เงียบสงบรองจากปี 1 เลย เพราะกิจกรรม และการแข่ง เราก็ละเลิกไปเกือบหมดละ มาตั้งใจทำ Senior Project กันอะไรแบบนั้น ส่วนเรื่องของการเรียน ปี 4 ก็จะเหลืออยู่ไม่กี่ตัว เทอมเดียว อีกเทอมก็ไม่มีเรียนแล้ว
ตัวพีคของปีนี้น่าจะเป็นวิชา Algorithm บอกเลยว่า ถ้าใครเลือก Computer Science มา ตัวนี้แหละจี๊ดใจมาก เกือบไม่รอดแล้ววววววววววว เรียนจนทึ่ม เพราะเราจะต้องเรียน Algorithm ต่าง ๆ ในแง่ของทั้งการทำงาน และการ PROVE ใช่ครับ พิสูจน์ !!!!!!! อันนี้แหละที่ทำให้บรรลัยกันไปตาม ๆ กัน บอกเลย เฟี้ยววววววววว จัดว่าเป็นตัวจี๊ดดดดดดดดดด ใครว่าต้องเขียน Code ในวิชานี้ ตบปากล้านทีเลยนะ Math ล้วน ๆ
แล้วดูชื่อไฟล์ PDF ที่เป็น Lecture Note คือ น้ำตาหลั่งไหลแน่นอน
แน่นอนว่า นี่สนุกมาก เพราะได้เล่นอะไรที่ไม่เคยเล่น เหมือนเด็กสามขวบได้ของเล่นใหม่
กับอีกตัวที่เป็นวิชา Track คือ Embedded Systems and Applications อันนี้เราก็ชอบ เหมือนวิชาเล่นของเล่นของเราเลย ก็คือจะเรียนพวกการ Programe บน Microcontroller ต่าง ๆ เช่นพวก ESP, RPi และ Arduino ด้วยความที่ไม่ถนัดเรื่อง Electronic เลย แล้วต้องมาต่อ มี Resistor, Sensor อะไรพวกนั้น ไม่รู้เหลืองเลยยยย เวลาเรียน ก็จะทำเป็นคู่ แน่นอนว่า เพราะคู่ของเรานี่แหละ เลยทำให้รอดมาได้ เพราะเพื่อนเราทั้งต่อ และ โปรแกรมหมดเลย เอ่ออออ แล้วตรูทำอะไรฟร๊ะะะะ อ๋ออ ตอนนั้นเราเขียน Report ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตัวเกือบสุดท้ายและ ก็คือ Computer & Business Ethics อันนี้ก็จะเป็นวิชาที่จะมี Guest Speaker มาเล่าในหลาย ๆ เรื่องเลยละ พวกเรื่องกฏหมาย, Security Awareness, Fraud Investigation อะไรแบบนั้น ก็เรียนเพลิน ๆๆ ไป อันนี้ไม่ได้พิศวาสเป็นพิเศษ
ตัวสุดท้ายของเทอม Communication Strategies in Professional Life จัดเป็นวิชาฮ่าแห่งปี เพราะวิชานี้จะสอน How to be professional ทำเสียงหล่อด้วย เช่นพวกการจัดการพวก Digital Footprint ต่าง ๆ ของเรา แบบว่า เวลาถ้าเราจะไปสมัครงาน HR ก็อาจจะเอาชื่อเราไปหาอะไรแบบนั้น เขาก็จะสอนให้เราดูว่าในการหาเขาหายังไง แล้วของเราเจออะไรบ้าง หรือแม้กระทั่งใน Social Media อันนี้ฮ่าสุด เพราะ Profile Picture ของบางคนมันดูไม่ Professional ก็จะต้องเปลี่ยนให้มันดูดีย์ จนกลายเป็น Hashtag เล่นกันฮ่า ๆ อยู่พักนึงเลย แต่ที่ดีเราว่าน่าจะเป็นเรื่องการทำพวก Linkedin Profile ก็ทำไว้ก็ดี
ซึ่งอย่างที่บอกว่าจริง ๆ ช่วงปี 4 เราจะเรียนกันอยู่เทอมเดียว แต่บังเอิญว่า ปีนั้น มีการเปิดวิชาตัวนึงขึ้นมาใหม่พอดีมันชื่อว่า Special Topics in Computer Science ในวิชานั้นจะสอนเรื่องพวก Data Science แต่มันเป็นวิชาของพวกปี 3 เทอม 2 แต่ด้วยความที่มันเปิดเป็นปีแรก ก็เลยมาถามพวกปี 4 ด้วยเลย แน่นอนว่า เราก็เป็นเหยื่อไปนั่งเรียนแน่นอน
บอกเลยว่าเป็นอีกวิชาที่พีคอย่างรุนแรง เริ่มด้วยการสอบ Midterm ที่แสนจะเรียบง่าย แต่สร้างความชิบหายให้กับคนเรียนได้ก็คือ การสอบตั้งแต่ 9 โมงยัน 4 โมงเย็น จะทำจากที่ไหนก็ได้ นั่งที่ไหนก็ได้เรื่องของแก แต่ต้องส่ง Report ก่อน 4 โมงเย็น ไม่งั้นระบบจะปิด ข้อสอบคือ เขาจะให้โจทย์ และ ข้อมูลมาให้เราวิเคราะห์ยังไงก็ได้ แล้วดูหัวข้อสอบ ฟาคคคคคคคคคคคคคค อาจารย์ !!!!!!!!!!!!!! พีคอีกแล้ววววววววววว
คนสอนคนเดียวกับ Algorithm อันนั้นทั้งหัวการบ้าน และข้อสอบคือพีคทุกอันนนนน หรือตั้งแต่สมัยเทอม 2 ที่ชื่อ Project น่าพิศมัยมาก ด้วยชื่อ Project ว่า Hell is not beneath us... It is in OS. สรุป Project นั้นก็ทำไม่ได้ไงแจ๊ะ #อาจารย์เป็นคนตลก
แน่นอนว่าเพื่อนผมที่นั่งอยู่ข้างหลังในรูป ก็คือ ตีนก่ายหน้าผากไปแล้ว ด้วยการเอามือปิดปาก อ๋อเปล่าจามอยู่... ส่วนที่นั่งหน้ายิ้ม ๆ กันนั้นหลังจาก 9 โมงไปก็หน้ามุยเป็นตูดลิงทุกคน ถถถถถถถ
แน่นอนว่า พวกเราก็มานั่งสอบกันที่คณะแหละ นั่งกันอยู่ในสวนไผ่ ต่างคนก็ต่างทำไป ทำบ้าทำบออะไรไปก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย ตีนก่ายหน้าผากกันไปตาม ๆ กัน ฟิลลิ่งเหมือน Countdown เวลาตายยังไงอย่างงั้นเลย
และหลังจากสอบ Midterm ไป ก็ได้เวลาอันสมควรกับการทำ Project ซึ่งก็จะทำเป็นคู่ ๆ ก็จะได้เรื่องไม่เหมือนกัน อันความพีคคือ เราก็ได้เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ แน่นอนว่า เราไม่ได้แค่ Data มาอย่างเดียวแน่นอน เพราะอาจารย์ก็ให้เราไปหาอาจารย์หมอท่านนึงที่อยู่จุฬา เขาเป็นเจ้าของ Data ตอนนั้นจำได้เลยว่า มันคือความฮ่าอย่างแรง เมื่อเราและคู่ของเรานั้นจะไปหาอาจารย์ผิดที่ จากที่ไปหาที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อนของมหิดล กลายเป็นไปเป็นเด็กหลงอยู่ที่ รพ.จุฬา แบบหลงจริง ๆ จนหาห้องอาจารย์แกเจอ แล้ว พบว่า อาจารย์ไม่อยู่ พออาจารย์รู้ว่าเราไปหาที่ รพ. แกก็ขำใหญ่
สุดท้ายก็รอดมาได้ หลังจากนั้น 2 คนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเรียนต่อ แต่พอมีเรื่องปุ๊บ อีกคนมันจะโทรหาอีกคน เพื่อมาโวยวาย ถถถถ
ความพีคยังไม่หมดเมื่อ Data ที่ได้มาคือ Condition และ Scoring ของผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน อาจารย์อยากได้ Model ที่จะ Predict Mortality ของผู้ป่วย แล้วแต่ละ Field ใน Data คือ ไม่รู้เรื่องเลยยยย เพราะมันเป็นเรื่องของ Score ของแพทย์ฉุกเฉินทั้งนั้น สุดท้าย ทั้งถามอาจารย์ และเพื่อนของเพื่อน จนหมด Project นี้มาแทบจะ Estimate Score พวกนั้นเองได้แล้วมั่งฮ่า ๆ
และสุดท้าย ท้ายสุดกับพิธีกรรมในการสอบ Senior Project มันจะแบ่งออกเป็น 2 รอบ นั่นคือรอบ Proposal และ Defence ก็คือ หลังจากที่เราเลือกเพื่อนร่วมชะตากรรม เห้ย ทีม แล้ว เราได้ Advisor แล้ว อีกส่วนนึงที่ต้องมีคือ กรรมการสอบ ซึ่งอันนี้เราไม่ได้เลือกเอง จะมาจากการที่เราส่ง Short Description ไปแล้วอาจารย์จะลงสอบเองว่าจะสอบอันไหน โดย 1 Project จะมี อาจารย์มาสอบทั้งหมด 2 คน กับอีกคนเป็น Advisor ของเราเอง
ตอนที่สอบ Proposal ก็คือ มือเย็นเฉียบ กลัวสุด ๆ เพราะในห้องนั้นไม่ได้มีแค่อาจารย์ แต่ก็ยังมีน้อง ๆ เข้ามานั่งฟังด้วย แน่นอนว่า บ้างเข้ามาให้กำลังใจ บ้างเข้ามาให้นั่งฟังเฉย ๆ บ้างก็เข้ามาฆ่าเราในห้อง !!!!!! จำได้ว่า นั่งกันเต็มห้องเลย จะสนใจอะไรงานตรู !!!!!!!!! ในขณะที่บางห้องคือ โล่ง .......... แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีภายในเวลาไม่นาน
จุดที่เด็ดจริง ๆ น่าจะเป็นการ Defence มากกว่า คราวก่อนมือเย็น อันนี้สั่นเจ้าเข้าไปเลยจ๊ะแม่ เพราะในการ Defence นั้น มันมีการให้ไม่ผ่านได้ด้วย แล้วเราต้องกลับมา Defence ใหม่อีก ซึ่งกรรมการที่มาสอบเรา เลื่องชื่อมาก เพราะ ปีก่อนหน้าเราไม่มีใครผ่านรอบแรกเลย และก่อนที่เราจะสอบ แต่ละคนที่มีกรรมการคนเดียวกับเราเข้าไปสอบแล้วไม่ผ่านสักกลุ่ม นี่ก็คือ เจ้าเข้าไปเลย จะรอดมั้ยยยยยยยยย สุดท้าย ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงในการสอบ (สอบ ป.ตรี มันเอากันขนาด 3 ชั่วโมงเลยเหรอเห้ยย) QA นานมาก แล้วแต่ละคำถามจัดว่าพีคค แบบ ถามเรื่องยาก ๆ อยู่ สักพักมีการโพล่งคำถามง่าย ๆ ขึ้นมา ตอนนั้นในใจคือ เชี้ย เขาจะวัดอะไรเรา ทำไมถามแปลก ๆ สุดท้ายพอมาคุยจริง ๆ ก็คือ อาจารย์เขาไม่ใช่คนที่ทำใน Field นี้เลยไม่รู้เรื่องพวกนั้นละเอียดเท่าไหร่ โธ่ นึกว่าวางแผนดักหลุมชั้นนนน
พอสอบเสร็จ เขาก็จะให้เราออกมาจากห้อง อาจารย์ก็จะคุยกัน ตอนนั้นคือ สั่นกว่าเดิมอีก เหงื่อแตกไปหมด จนเข้าไปในห้อง ก็รู้ว่า เย้ ผ่านนแล้วววว เราก็เป็นกลุ่มแรกที่ผ่านในครั้งเดียว กับอาจารย์ท่านนั้น และ ก็เป็นกลุ่มเดียวในรุ่นที่สอบกับอาจารย์ท่านนั้นแล้วผ่านในรอบเดียว นี่ชั้นผ่านมาได้ยังไงงงงงงงงง สุดท้ายก็เขียนเล่ม ตรวจและปริ้นก็เป็นอันเสร็จแล้วเย้
แถมตอนนั้น ก็ได้ทุน YSTP ด้วย ก็ทำให้นอกจากที่จะต้อง Present ที่คณะแล้ว เราก็ต้องไปฉายเดี่ยวที่สวทชอีกกรึบ
หลัก ๆ ชีวิตในช่วงปี 4 จะเป็นช่วงทำ Senior Project ซะส่วนใหญ่ ตอนนั้นเรา ก็เอาเวลามานั่งทำ Blog ปรับปรุงคุณภาพชีวิตซะเยอะ เพราะเราเป็นคนทำงานเร็วอยู่แล้ว เลยทำอยู่อาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง ไม่รวมประชุม เองมั่ง ช่วงนั้น Blog เลยออกเยอะไง ฮ่า ๆ อย่าดุโผมมนะ
ปล. และเงื่อนไขสุดท้าย ก่อนจะจบนอกจากที่บอกไปในแต่ละช่วงแล้ว เราจะต้องสอบภาษาอังกฤษให้ผ่านด้วยนะ มันจะมีคะแนนบอกอยู่ว่า เราต้องได้เท่าไหร่ เช่น IELTS ขั้นต่ำที่จะผ่านตอนเราคือ 5.5 อะไรแบบนั้น ส่วน TOFEL กับ TOEIC เราจำไม่ได้แล้ว ซึ่งเดี๋ยวนี้ เราสามารถยื่นเมื่อไหร่ก็ได้ตราบที่เราเรียนอยู่เลย ยื่นเร็วก็หมดห่วงไวน่ะ
ถ้าคุณอ่านมาถึงจุดนี้ได้ เก่งมากครับ !!!
ถ้าให้สรุปง่าย ๆ เลยนะ สิ่งที่เรียนมาตลอด 4 ปี หลาย ๆ วิชามันจะเชื่อมโยงกันหมดเลย ทั้งหมดทุกวิชาที่เรียน มันเป็นเหมือนพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ในหลาย ๆ ส่วนตั้งแต่พื้นฐานจนไปถึงพวกการ Applied ต่าง ๆ เลย ส่วนตัวเราว่า คณะนี้ดูจะเรียนเยอะมากเลยนะ ถ้าเราจำได้หมดน่าจะเป็นเทพไปแล้วมั่งฮ่า ๆ แต่เราชอบการออกแบบหลักสูตรที่ร้อยเรื่องทุกอย่างเข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้
ถามว่ายากมั้ย เราก็ว่ามันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น ถ้าเราใส่ใจอะนะ เราว่าเรียนอะไรมันก็ยากไปหมดแหละ ถ้าเราไม่ใส่ใจ แต่ถ้าเอาแบบ Stat จริง ๆ เลย ก็น่าจะครึ่ง ๆ เลยละ บ้างก็หายไปตอนขึ้นปี 2 เปิดเทอมมาเรียน อ้าว เพื่อนหายไปไหนหมดฟร๊ะ จำได้ว่าปีแรก คนเรียนกันเต็มห้องไปหมด เปิดปี 2 มาทำไมมันพอดีห้องเฉย ทั้ง ๆ ที่ห้องขนาดเท่ากัน
ส่วนเรื่องของภาษาเราว่าไม่น่าใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่นะ เพราะ 4 ปีก็เรียนกันแทบทุกเทอม มันก็ต้องได้แล้วแหละ จบไปเราว่าภาษาก็ไม่น่าจะแย่อะไรมากเลย จากที่แย่ ๆ มาก ๆ บางคนคือ เขียนเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นเยอะเลยก็มีเหมือนกันส่วนใหญ่
โห เยอะมากเลยนะ ตั้งแต่เป็น Programmer, Tester, Network Engineer คือมีเยอะมาก ๆ ที่เป็นงานสาย Computer เพราะเรียนมาหมดอะ ตั้งแต่ Programming, AI, Network และ สิ่งนึงที่หลาย ๆ คณะ ไม่ได้สอน คือ Business เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องพวกนี้เราว่านะ ก็คงเป็นได้แค่ Technician ธรรมดาที่รู้แค่เรื่องคอม การบริหารอะไรมันก็จะหายไป การคิด Customer Pain มันไม่ได้ตอบโจทย์แค่ในแง่ของธุรกิจอย่างเดียวไง มันตอบหลายอย่างมาก ๆ ถ้าได้เรียนแล้วจะเข้าใจเลยว่า ทำไม
ส่วนถามว่า ซ่อมคอมเป็นมั้ย ก็จะตอบว่า ออกไป๊ !!! อ่านมาเนี่ย มีซ่อมคอมตรงไหนบ้างมั้ยห๊ะ !!!!!
4 ปีของการเรียนใน ICT มหิดล หรือที่ย่อกันว่า MUICT เนี่ย ไม่ได้สอนแค่ให้เรามี Technical Skill แต่ยังสอนให้เรามี Soft Skill ด้วย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราควรพึงมีกัน เช่นสกิลในการสื่อสารต่าง ๆ นอกจากนั้น เราว่าเราน่าจะเป็นคนนึงที่ใช้ชีวิตคุ้มมาก เพราะคณะมีโอกาสให้เราออกไปแข่งหลายอย่างมาก จนได้หลายรางวัลกลับมามากมาย (ไปอ่านใน about:me ดั้ย) คือมันเป็นช่วงเวลาที่สนุก เครียด บ้า ฮ่า ปนกันหลายอย่าง สิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตตรงนี้ก็ไม่น่าจะเป็นใครได้ คือ เพื่อนที่ช่วยเราตอนที่เราไปแข่งแล้วเรียนไม่ทัน ก็ช่วยติวให้ และอาจารย์ที่ช่วยเราทั้งในยามที่เราลำบาก หรือ ต้องการคำปรึกษา ขอบคุณมากครับ
ปล. ในแต่ละปี เราจะเขียนรีวิวปีนั้น ๆ ออกมา ก็ตามนี้เลย
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...