By Arnon Puitrakul - 20 มิถุนายน 2018
ใช่ครับ ! คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ตามชื่อหัวข้อเลยฮ่ะ วันนี้เราจะมาดูวิธีการซ่อนสื่อที่ทำให้ไส้กรอกของคุณผู้ชายเปล่งปรั่งใหญ่ยาว และสร้างความสุขให้กับใครหลาย ๆ คน ก่อนเราจะไปท่ีแต่ละวิธีการซ่อนเราต้องมาแบ่งกันก่อนว่า ไม่ต้องเคยดูก็น่าจะเดาได้ว่าเราสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
วันนี้ผมจะมาแนะนำวิธีเก็บ ของลับ ของเราให้ปลอดภัย โดยเริ่มจากวิธีง่าย ๆ จนไปถึง Advance ท่ายาก จะมีอะไรบ้างลองไปดูกัน
ผมก็เป็นเด็กยุค 90 ปลาย ๆ ปลายม๊าก ย้ำว่าปลายใครว่าไม่ปลาย เตือนแล้วนะ !!! เมื่อก่อนคอมพิวเตอร์มันก็ไม่ได้มีวิธีการซ่อนไฟล์อะไรมากขนาดนั้น วิธีที่ตอนนั้นใช้กันคือ การใช้ชื่อ Folder ที่ทำให้คนอื่นไม่เข้าไปยุ่ง ชื่อที่ตอนนั้นฮิตกันมากคือชื่อ “งาน” หรือชื่ออะไรก็ได้ที่ทำให้คนอื่นไม่เข้ามายุ่งใน Folder ลับของเรา ซึ่งวิธีนี้มีข้อดีคือ ง่าย เพราะมันเป็นแค่ Folder อันนึงธรรมดา แค่เวลาจะเปิดก็แอบ ๆ หน่อยอย่าให้ใครเห็นจาก History ในโปรแกรมต่าง ๆ อย่าง VLC ที่ใช้เปิด
ผมเนี่ยก็จะเป็นมนุษย์ที่ต่อมเผือกมันทำงานได้ดีมาก ๆ ก็มักจะเปิดไปเจอของรักของเพื่อน ๆ เป็นประจำ ในปัจจุบันชื่อมันก็ได้เปลี่ยนไป เพราะในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกใช้โดยคนหลายคนแล้ว ตรงข้ามด้วยซ้ำที่คน 1 คนใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องแทน เพราะฉะนั้นการตั้งชื่อว่า งานแม่ งานพ่อ งานคนนั้นคนนี้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว เลยทำให้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรที่เผือกได้ยากขึ้นเช่น "โปร Keyboard" หลักการในการเผือกสำหรับคนที่ใช้วิธีตั้งชื่อ Folder คือลองหาสิ่งแปลกปลอมดู ปกติแล้วคนเรามักจะจัดเครื่องของเราอยู่แล้วละ เพื่อให้หาได้ง่าย แต่ของพวกนี้ มันไม่สามารถไปจัดอยู่ในประเภทที่ชัดเจนได้ ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในประเภทที่มันไม่ควรจะอยู่ ถ้าเราเข้าไปแล้วเจออะไรแปลก ๆ ก็ถ้าคุณเป็นคนที่ต่อมเผือกทำงานได้อย่างดี Folder ที่แปลก ๆ นั้นแหละควรค่าแก่การเผือกเป็นอย่างยิ่ง
อีกวิธีนึงที่ชอบใช้กันเมื่อก่อนผมกับเพื่อนเราจะเรียกกันว่า Folder ใส กล่าวคือใน Windows เราสามารถทำให้ชื่อ Folder มันไม่มีได้ และเราก็ไปตั้ง Icon เป็น Icon เปล่า ๆ แค่นี้ถ้าเราเปิดให้มัน View เป็นแบบ Icon เรียง ๆ คนอื่นที่มาเปิดดูก็จะมองไม่เห็นแล้ว แต่ถ้าเข้าเปิดเป็นแบบ Detailed นั่นก็อีกเรื่องเลยนะ ฉาวเลยนะทีนี้
ในระบบปฏิบัติการน่าจะแทบทุกอันเลยมั่ง น่าจะสามารถซ่อนไฟล์ได้ ถ้าเป็นใน Windows เราก็คลิกขวาที่ไฟล์ที่ต้องการเลือก Properties และติ๊กที่ Hidden แล้วกด Okay เท่านี้ไฟล์หรือ Folder ที่เราต้องการมันก็ถูกซ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้วิธีนี้ค่อนข้างเนียนมาก ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้เป็น Computer Technical อะนะ เพราะไม่ค่อยมีมนุษย์ธรรมดาหน้าไหนมาเปิด Hidden ไฟล์ในเครื่องเล่น ๆ หรอก เว้นแต่ได้อ่านบทความนี้ไปแล้วเอาไปแอบดูเครื่องของเพื่อนนั่นก็อีกเรื่อง
ด้วยความที่ Hidden File พวกนี้มันเกิดมาเพื่อซ่อนไฟล์ระบบที่สำคัญ ทำให้พวกสาย Technical ที่ชอบ Config โน้นนี่นั่นก็ต้องเผลอเปิดไว้เป็นประจำ และพวกนี้ก็น่าจะไม่พลาดที่จะรู้ว่า ถ้าอยากจะแอบดูเนี่ย ก็ต้องเอา Hidden ออกซะก่อน
วิธีนี้ถ้าอยากให้เนียน เราต้องใช้คู่กับการตั้งชื่อที่เหมาะสม ย้อนกลับไปว่าการที่ระบบปฏิบัติการหลาย ๆ ตัวใส่ Feature สำหรับการซ่อนไฟล์มาเพื่อซ่อนไฟล์ที่สำคัญของระบบปฏิบัติการ เพราะฉะนั้นชื่อไฟล์หรือ Folder หลาย ๆ อย่างก็จะเป็นไฟล์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมต่าง ๆ เพราะฉะนั้นการที่เราตั้งชื่อไฟล์ของเราให้เหมือนกับไฟล์ที่สำคัญ ๆ แล้ว Hide ไว้ก็เป็นวิธีที่ไม่เลวสำหรับการซ่อนไฟล์เลย ถึงแม้ว่าพวก Technical หรือคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ไปเปิด Hide ของไฟล์ในเครื่องแล้ว เราก็ยังมีชื่อไฟล์บดบังไว้อยู่
แน่นอนว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ทำให้คนจับไม่ได้เลย เพราะสุดท้ายแล้วขนาดของไฟล์วีดีโอย่อมใหญ่กว่าไฟล์ของระบบที่มักจะเป็น Text-Based อยู่แล้ว ถ้าคนที่เข้ามาเผือกเห็นว่า ไฟล์ที่ควรจะเป็น Text File ดันใหญ่กว่าที่มันน่าจะเป็นก็ไม่น่าแปลกที่จะโดนสงสัยได้ แล้วปกติเวลาถ้าเราเจอไฟล์ที่ใหญ่มาก ๆ เราก็จะมักจะสงสัยไว้ก่อนเลยว่ามันน่าจะเป็นไฟล์วีดีโอแน่ ๆ ทีนี้โดนเอาไปเปิดในนั้นก็เรียบร้อยโรงแรมม่านรูดไปเลย
Picture from Pexels
ทั้ง 2 วิธีที่ผ่านไปสุดท้ายก็มีโอกาสที่คนที่มาใช้เครื่องเราอาจจะบังเอิญเปิดเจอก็ได้ ถ้ากลัวขนาดนั้นก็ลองมาดูวิธีนี้กันคือการเข้ารหัสไฟล์ซะเลย ในปัจจุบันมีโปรแกรมเยอะมาก ที่จะสร้าง Secure Folder แล้วเราก็สามารถลากไฟล์ที่เราต้องการจะปกปิดเข้ามาใส่ได้ พอเราล๊อคปุ๊บไฟล์ที่อยู่ใน Secure Folder ก็จะถูกเข้ารหัสด้วย Algorithm บางอย่างทำให้คนที่ไม่มีรหัสผ่านก็ไม่สามารถอ่านได้
บางโปรแกรมเนียนกว่านั้นอีก นอกจากที่จะเข้ารหัสแล้ว มันยังซ่อนได้อีกด้วย ทีนี้แหละ ถ้าไม่มีรหัสก็จะเข้ามาแอบดูไม่ได้ละ วิธีนี้เนี่ยนอกจากที่จะง่ายในการเข้าถึง จัดการ และก็ยังปลอดภัยอีกด้วยจึงเป็นวิธีที่ไม่เลวสำหรับการเก็บ ของลับ แต่ก็นะถ้ากำลังเล่นกับของรักอยู่แล้ววิ่งไปห้องน้ำแล้วลืมปิดนั่นก็อีกเรื่องนะ
จากวิธีที่แล้วมันเป็นการทำให้ปลอดภัยโดย Software ที่บางคนก็กลัวว่า Software บางทีมันก็เชื่อถือไม่ได้เท่าตัวเองมั่งแหละอะไรแบบนั้น การใช้ Encryption Software อาจจะไม่เพียงพอกับคนประเภทนี้ การใช้งานหน่วยเก็บข้อมูลภายนอกเครื่องอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการเก็บของลับของเรา
อาจจะใช้ Flash Drive ที่เดี๋ยวนี้มีความจุที่สูงปรี๊ดและเร็วมากพอที่จะเปิด และใช้งานไฟล์ได้โดยที่ไม่มีอาการสะดุด หรือถ้าต้องการคลังเก็บข้อมูลขนาดที่ใหญ่กว่า Flash Drive การใช้งาน External HDD หรือ External SSD ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี ด้วยความเร็วที่เร็วกว่า Flash Drive ในบางรุ่นและความจุที่สูงอยู่ในระดับ Terabyte นอกจากนั้นทั้ง Flash Drive และ External HDD ยังสามารถพกพาได้สะดวกมาก ในปัจจุบันอุปกรณ์เหล่านี้มักจะมี Software ที่จะเข้ารหัสหรือ Encrypt ไฟล์ของเราให้ปลอดภัยจากโรคขี้เผือกของคนบางคนได้ด้วย
ราคา Package ของ Google Drive
อีกวิธีนึงคือการใช้ Cloud Storage จริง ๆ เราก็ใช้มันกันอยู่ทุกวันเช่น Google Drive และ iCloud เป็นต้น ซึ่งเราสามารถซื้อ Storage เพิ่มได้โดยการจ่ายเป็นเดือน ข้อดีของวิธีนี้คือไม่มีหลักฐานเก็บไว้กับตัว และยังปลอดภัยต่อการหายของข้อมูลด้วย เนื่องจากข้อมูลที่เก็บอยู่บน Cloud Storage ได้รับการดูแลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอทำให้โอกาสในการเสียข้อมูลนั้นมีน้อยมาก ส่วนใครถ้าเก็บของลับก็ไม่ต้องกลัวเลยนะว่า ช่างเทคนิคที่ Cloud จะเห็นข้อมูลที่เราเก็บเพราะจริง ๆ แล้วใน Cloud Service Provider มีข้อมูลเยอะมาก ๆ วิ่งผ่านทุกวินาทีอยู่แล้ว แค่นี้ก็คิดง่าย ๆได้แล้วว่า มันยากมากที่จะมีใครมาเปิดของลับที่เราเก็บ อีกอย่างข้อมูลพวกนี้มันถูกเข้ารหัสและมีการรักษาความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว แต่ข้อเสียก็มีนั่นคือค่าใช้จ่ายรายเดือนที่มากขึ้นถ้าเราต้องการเก็บข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นวีดีโอที่มีขนาดใหญ่แล้วละก็ เก็บไปสักพักนี่ก็เอาเรื่องอยู่ เดี๋ยวนี้ราคามันก็ไม่ได้สูงมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วแหละอย่าง Google ก็ซื้อกันได้เยอะมากเลยนะ เก็บยาว ๆ
จากวิธีที่ผ่าน ๆ มาเป็นวิธีสำหรับการเก็บ ของลับ ไม่ว่าจะในเครื่องและ Storage ที่ต่าง ๆ แต่การได้มาซึ่ง ของลับ นั้น ถ้าเป็นเด็กยุคเก่าก็อาจจะเป็นแผ่นซีดี หรือถ้าเป็นปัจจุบันก็โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตกันทั้งผ่าน Direct Link และ BitTorrent ที่การเข้าไปในเว็บเพื่อให้ได้มาซึ่งของลับต่าง ๆ ถ้าเราเข้าผ่าน Web Browser ธรรมดา มันก็จะสามารถดู History ย้อนหลังได้ด้วยนะ (ถ้าใครที่ไม่รู้ก็ รู้ไว้ซะ) ซึ่งเราสามารถเข้าไปลบได้นะ แต่ก็นะว่าไปเล่นเครื่องใครแล้วไม่เห็น History เลย เป็นผมผมก็สงสัยแล้วว่า อั่นแน่ !!! แก !! ลบสินะ มีความลับแน่นอน !! ชั้นสัมผัสได้ !!!
ซึ่ง Modern Web Browser หลาย ๆ เจ้าแม้กระทั่ง Microsoft Edge ที่เป็น Modern Web Browser ในคราบ IE ก็ยังมี Mode ที่จะไม่เก็บ History และ Cookie ต่าง ๆ เพื่อให้เวลาเราเปิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์มันก็จะไม่ถูกเก็บไว้ในเครื่องเราให้คนขี้เผือกมาเจอนั่นเอง
อย่างใน Google Chrome ก็จะใช้ชื่อว่า Incognito Mode ที่เพื่อนผมชอบเรียกมันว่า โหมดโคนัน เรียกตามมันไป ๆ มา ๆ ติดปากไปซะแล้ว โหมดนี้มันก็จะเป็นเหมือน Web Browser ใช้แล้วทิ้งอะฮ่ะ มันก็จะเก็บ History, Session และ Cookie ต่าง ๆ ไว้ตอนที่เรายังเปิดหน้าต่างนั้นอยู่ แต่พอเราปิดหน้าต่างโคนันไปปุ๊บข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากหน้าต่างโคนันนั้น ๆ ก็จะหายไป สะดวกดีใช้มั้ยล้าา
Wireshark Screenshot from Wikipedia
วิธีที่แล้วพูดถึงเรื่องของการป้องกันการเก็บ History ในเครื่องไปแล้ว แต่ข้อมูลที่วิ่งออกไปตอนที่เราเข้าเว็บ ของลับ ก็ยังสามารถที่จะถูกดักจับได้โดย Software ต่าง ๆ ถ้าเป็นสาย Technical ก็น่าจะได้เรียนกันอย่าง Wireshark ฉลามน้อย (ที่ไม่ใช่ฉลาม BNK48) ถ้าใครเคยใช้มาก่อน จะเห็นว่ามันดักได้ทุกอย่างที่วิ่งผ่าน Network เลยจริง ๆ ทำให้เราไม่ต้องถามถึงคนที่เข้าไปโหลดหรือดูของลับเลย เผลอ ๆ ถ้าใครแอบเข้าผ่าน Network ที่โดน Monitor โดย Admin เช่น Network ของบริษัท ที่อาจจะเขียน Filter สำหรับแจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้าเว็บ ของลับ เลยละมั่ง
VPN หรือ Virtual Private Network เป็นตัวช่วยในการจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างดีย์ หลักการการทำงานของมันคือ เราจะมี Server เป็นตัวกลางตัวนึงในการส่งข้อมูลต่อ
อาจจะนึกภาพไม่ออกเรามาดูกันก่อนว่า ถ้าเราเข้าเว็บของลับเราปกติเนี่ย เราจะเริ่มจากเครื่องเราวิ่งออกจากวง Lan แล้วไปผ่าน Internet ที่ในนั้นก็จะวิ่งผ่าน Server ต่อเป็นทอด ๆ ปลายทางก็จะอยู่ที่ Web Server ของ ของลับ ที่เราเข้า ซึ่งถ้ามีคนมา Sniff หรือดักข้อมูลใน Network ที่เราเปิดของลับ เขาก็สามารถที่จะ Filter Traffic ที่วิ่งไปที่เว็บของลับเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
แต่ถ้าเราใช้ VPN จากปกติที่เครื่องเราจะตรงไปที่เว็บของลับเลย มันก็จะวิ่งไปที่ VPN Server ที่อยู่ที่นึงก่อน (ขึ้นกับว่าเราซื้อ VPN ของอะไร แล้วเจ้านั้นมี VPN Server ที่ไหนบ้าง) แล้วค่อยไปเว็บ ของลับ นอกจากนั้น การเชื่อมต่อจากเครื่องเราไปถึง VPN Server ยังได้รับการเข้ารหัสอย่างแน่นหนา ทำให้คนที่ดักข้อมูลก็ไม่มีทางรู้ได้แน่ ๆ ว่าเราส่งข้อมูลไปที่ไหน อย่างมากก็รู้ว่าต่อไปที่ VPN Server แต่ก็ไม่รู้ปลายทางอยู่ดี เพราะปลายทางได้ถูกเข้ารหัสไปแล้ว
นอกจากนั้นอีก ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเราเชื่อมต่อไปที่ VPN Server เครื่องไหน ที่ไหน แต่ VPN Server ตัวนึงไม่ได้รองรับ Traffic ของเราคนเดียว แต่มันรองรับ Traffic ของคนเยอะมาก เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะ Trace ไปได้ แต่ Admin ก็เข้าไปดู Log ของ VPN Server ได้นั่นเอง
อีกหนึ่ง Application ของ VPN ที่เด็กมหาลัยชอบใช้กันคือ เอาไว้เล่นเกมออนไลน์จากเน็ตของมหาลัย ถถถถ ใช่ครับ มีคนทำแบบนนั้นกันจริง ๆ เพราะมหาลัยก็จะ Block Port หรืออื่น ๆ ที่ทำให้เราเล่นเกมไม่ได้ การใช้ VPN ก็เหมือนกับเราย้าย Network ไปอยู่ในที่ที่ไม่ได้ถูก Block ทำให้เราเล่นเกมได้นั่นเอง
ถ้ามองภาพง่าย ๆ VPN ก็เหมือนอุโมงที่เราเปิดจากบ้านเราไปที่ศูนย์กระจายสักที่แล้วค่อยส่งจากศูนย์กระจายไปที่ปลายทาง ที่สุดท้ายแล้วคนก็จะเห็นแค่ที่ศูนย์กระจายสินค้าว่ามีของวิ่งออกไปสักที่ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันมาจากไหน
มาถึงสิ่งสุดท้ายที่ผมว่ามันน่าจะ Advance สุดในทุกอันละ ถ้าคุณคิดว่าวิธีที่ผ่าน ๆ มาทำแล้วไม่น่ารอด เพราะกลัวลืม Logout บ้างแหละ กลัวเปิดไฟล์หรือใช้ Web Browser แล้วมันคา History อยู่ก็เถอะ วิธีสุดท้ายผมขอนำเสนอการใช้ VM หรือ Virtual Machine หรือ เครื่องจำลองนั่นเอง
ถ้านึกถึง VM ก็ให้เรานึกถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รันซ้อนอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์อีกทีนึง โดยไฟล์ทุกอย่างแม้แต่ไฟล์ของระบบปฏิบัติการเองก็จะถูกแยกออกมา ถูกแยกในระดับที่คล้ายกับว่าเหมือนโดนเอากล่องล้อมเป็นที่ของตัวเองเลย แต่ก็ยังใช้ทรัพยากรจากเครื่องเราอยู่ดีนะ
ข้อดีของวิธีนี้คือมันเป็นเหมือนกับการสร้างห้องลับในบ้านตัวเองที่ไว้ดูของลับได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในเครื่องเลย อย่างมากก็คือจะมีไฟล์ของ Virtual Machine ที่จะใหญ่มาก ๆ อยู่ พร้อมทั้งยังสามารถรองรับการเข้ารหัสได้อีก (ในบางโปรแกรม) ทำให้การเก็บและ Consume ของลับทำได้อย่างง่ายดายมากขึ้นไปอีก ไม่ต้องกลัวว่าอะไรที่เรา Consume มันจะไปคาอยู่ใน History ตรงไหนของเครื่องที่ทำให้พวกแก๊งค์ขี้เผือกมาเจอ แต่ข้อเสียของมันคือ ด้วยความที่มันเป็นเครื่องจำลองทำให้เวลาที่มันรันขึ้นมา มันจะกินทรัพยากรอย่าง CPU และหน่วยความจำเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าถ้าคุณรู้สึกอยากเตะบอลขึ้นมาเนี่ยการ Boot VM อาจจะไม่ทันการณ์ก็ได้ มีคนบอกว่าว่าผู้ชายเนี่ยมักจะอยากเตะบอลทุก 5 นาที
ลักษณะของ VM จะออกมาเป็น Disk File (แล้วแต่ว่าเราใช้โปรแกรมอะไรจำลอง) ที่เราสามารถก๊อปหรือย้ายเครื่องจำลองนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น Flash Drive และ External HDD ที่เราสามารถถอดแล้วเก็บอุ๊บอิบ และเข้ารหัส เอาให้เนียนได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว โดยโปรแกรมที่ใช้ในการทำ VM ก็มีหลายตัว ทั้งเสียและไม่เสียตังค์เช่น VMware (อันนี้เสียตังค์), VirtualBox (อันนี้ฟรี) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ถ้าคุณเป็นสาย Technical การมี VM ไว้ในครอบครองนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ดังนั้นการซ่อน ของลับ ไว้ในสัก VM นึงเลยเป็นสิ่งที่พวกมันน่าจะทำกัน ถ้าขี้เผือกก็ลองแอบเข้าไปดูกันได้ เอาจริง ถ้าขนาดนี้ก็เปิดไปเถอะ ใช้ VM ยากไปม่ะ !
หลังจากเสร็จกิจกรรมการเล่นกับไส้กรอก สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดใน Lifecycle ของไฟล์คือ การลบ ซึ่งเวลาที่เราลบไฟล์ ถ้าเราลบเฉย ๆ มันก็จะไปอยู่ในถังขยะ และสามารถกู้คืนกลับมาอยู่ที่เดิมที่เคยอยู่ได้โดยง่าย มันก็เหมือนกับ เราทิ้งขยะที่เรามักจะมีถังขยะใหญ่หน้าบ้านแล้วถ้ามีคนแอบมาคุ้ยแล้วเจอของลับคิดว่าเขาจะคิดยังไงละฮ่ะ เพราะในถังขยะถ้าเราเข้าไปดูรายละเอียดของมัน มันจะบอกว่าไฟล์นี้ Original มันอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นคนขี้เผือกเราก็จะกด Restore แล้วกลับไปดูที่ Folder ต้นทางของมัน ถ้ามันเป็นของลับก็ฉาวอะบอกเลย เพราะเจอขุมทรัพย์ของลับทั้งยวง
ทีนี้ถ้าเรากดลบแล้ว ก็ไปกดลบที่ถังขยะแล้ว แต่การที่เราสัมผัสไม่ได้ มองไม่เห็นก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง
จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่การลบคือการบอก OS ว่าไฟล์นี้ไม่ต้องไปมองมันนะ ข้าม ๆ มันไป มันเลยทำให้เรามองไม่เห็นนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราโดนขโมยหรือเอาหน่วยเก็บข้อมูลนี้ไปกู้ข้อมูลดู เราจะเจอข้อมูลที่เราลบอยู่เยอะมาก นั่นเป็นเพราะโปรแกรมที่เราใช้กู้ข้อมูลมันไปอ่านข้อมูลที่ระบบปฏิบัติการบอกว่า เราไม่เอาแล้ว มาให้เราดูนั่นเอง
อ้าวแล้วข้อมูลมันไม่ได้หายไปไหนแต่ทำไม Free Space มันเพิ่มขึ้นมาเมื่อเราลบไฟล์ละ ?
คำตอบคือ ก็ถูกครับว่าไฟล์มันยังไม่ได้หายไปไหน (ในตอนที่ลบ) แต่มันเป็นการบอกระบบปฏิบัติการว่า พื้นที่ตรงนี้ในหน่วยความจำมันว่างนะ เขียนทับได้เลย ตรงกันข้าม การที่เราเขียนไฟล์ก็เป็นการจองพื้นที่ว่าตรงนี้ห้ามมายุ่งนะ เดี๋ยวตีตายเลย ! เตือนแล้วนะ !!
File Shredder in CleanMyMac 3
จากเหตุผลข้างต้น ทำให้บนโลกของเราก็ผลิตโปรแกรมหนึ่งที่เรามักจะเรียกว่า File Shredder ขึ้นมา (ผมจะใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า CleanMyMac) โดยหลักการการทำงานของมันก็คือ เวลาที่เราสั่งลบไฟล์ ๆ หนึ่งแล้วจากปกติที่แค่บอกว่าว่าง เราก็เขียนอย่างอื่นทับลงไปก่อน เพื่อให้เวลาโปรแกรมกู้มันมาอ่าน มันก็จะอ่านได้แต่ของที่ File Shredder เขียนทับไว้ แทนที่จะเป็นของลับที่เราแอบลบมันออกไปจากหน่วยความจำ
แต่ถ้าหน่วยความจำของคุณเป็น SSD ที่เร็วปานสายฟ้าฟาดตูดแล้วละก็ ระบบน่าจะมีการเปิด Feature ที่ชื่อว่า TRIM (ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) อยู่แล้ว เพราะ SSD ต่างจาก HDD จานหมุนธรรมดาตรงที่ SSD ไม่สามารถเขียนข้อมูลทับจุดที่ยังมีข้อมูลอยู่ได้ ต่างจาก HDD จานหมุนที่เขียนทับได้
โดยหน้าที่ของ TRIM คือการดูว่ามีไฟล์ไหนที่ถูกลบไปบ้าง แล้วไปดูว่าไฟล์นี้จริง ๆ แล้วมันอยู่ในจุดไหนของ SSD กันแน่ แล้วก็สั่ง Clear ประจุในช่วงที่ไฟล์นั้นอยู่ออก ลืมบอกไปว่า SSD เก็บข้อมูลโดยการใช้ประจุที่อยู่บน NAND หรือ NOR Flash หลัก ๆ ก็คือการเก็บประจุไว้บน NAND หรือ NOR Gate ถ้ามีประจุก็เป็น 1 หรือถ้าไม่มีก็เป็น 0 อะไรประมาณนั้น
จากวิธีที่ได้เล่ามาตลอด 8 อย่างที่ผ่านมาก็ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บข้อมูลและการป้องกันตัวตนของเราในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งไม่ได้ใช้กับแค่ ของลับ อย่างเดียวเท่านั้น แต่มันก็เป็นอีกเรื่องที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตควรรู้เพื่อป้องกันตัวเอง เพราะโลกของอินเตอร์เน็ตที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย มันเปิดโอกาสให้คนเข้ามาเจอกัน ได้ส่งต่อความรู้ใหม่ ๆ ที่จริง ๆ แล้วเหรียญมันก็มีสองด้าน มันก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีเหมือนกัน ด้านไม่ดีของมันเราก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงและรู้เท่าทันเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อ ที่เราเห็นได้ตามข่าวในปัจจุบัน แต่ก็นะครับวิธีที่ การซ่อนของลับ มันก็เป็นศิลปะอย่างนึง ซ่อนยังไงให้เนียน ซ่อนยังไงให้เข้าถึงง่าย ก็วิธีที่ผมเสนอมาก็เป็นทางที่ผมได้ขี้เผือกไปดูเครื่องชาวบ้านมา ก็ถ้าใครนิยมดูก็เก็บให้เนียนนะครับ ถถถถ สำหรับวันนี้สวัสดี ~ 😂
หลังจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน Apple ออก Mac รัว ๆ ตั้งแต่ Mac Mini, iMac และ Macbook Pro ที่ใช้ M4 กันไปแล้ว มีหลายคนถามเราเข้ามาว่า เราควรจะเลือก M4 ตัวไหนดีถึงจะเหมาะกับเรา...
จากตอนก่อน เราเล่าเรื่องการ Host Website จากบ้านของเราอย่างปลอดภัยด้วย Cloudflare Tunnel ไปแล้ว แต่ Product ด้าน Zero-Trust ของนางยังไม่หมด วันนี้เราจะมาเล่าอีกหนึ่งขาที่จะช่วยปกป้อง Infrastructure และ Application ต่าง ๆ ของเราด้วย Cloudflare Access กัน...
ทุกคนเคยได้ยินคำว่า Mainframe Computer กันมั้ย เคยสงสัยกันมั้ยว่า มันต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันทั่ว ๆ ไปอย่างไรละ และ Mainframe ยังจำเป็นอยู่มั้ย มันได้ตายจากโลกนี้ไปหรือยัง วันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลย...
เคยมั้ยเวลา Deploy โปรแกรมสักตัว เราจะต้องมานั่ง Provision Infrastructure ไหนจะ VM และ Settings อื่น ๆ อีกมากมาย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือบางอย่างที่จะ Automate งานที่น่าเบื่อเหล่านี้ออกไป และลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Infrastructure as Code กัน...