By Arnon Puitrakul - 20 ตุลาคม 2015
อันเนื่องมาจาก หูฟังอันเก่า Sony MDR-NC31EM ที่เป็นหูฟัง Noise Cancelling มันสายหักในไป เสียดายสุด ๆ แต่ก็ต้องหาอะไรมาแทนมัน บังเอิญมีเพื่อนแนะนำ Harman Kardon มาเลยได้ไปลองฟัง ก็เออเฮ้ย ! ก็ไม่เลวเลยนะ ! แถมไปเจอมันลดราคากันแหลกลาญ เลยจัดมาซะเลย มาลองแกะ (เฮ้ยนั่นมันรายการของคนอื่นเขา ไม่เอาเดี๋ยวโดนหิ้ว) เอาใหม่ Take 2 เรามาลองแกะกล่องกันดีกว่า
เริ่มจากตัวกล่องภายนอกกันก่อน ก็เป็นกล่องกระดาษเรียบ ๆ ธรรมดา บอกรุ่นและหน้าตาของหูฟัง และเขียนคำว่า Beautiful Sound หรือแปลเป็นเสียงสวยนั่นเอง จะสวยจริงไม่จริง เดี๋ยวลองมาดูกัน !
ดึงกล่องออกมา ฟาบบบ ก็มีกล่องข้างในอีกกล่องนึง (หลายชั้นจริง ๆ) ก็เป็นกล่องสีเทาเขียนว่า Harman Kardon อันนี้ก็ไม่มีอะไร ข้ามไป
พอเปิดเจ้ากล้องสีเทามาเท่านั้นแหละ เราก็พบกับของที่เราตามหาสักที ในกล่องก็มี ตัวหูฟัง, Earbud 2 คู่ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ , คู่มือการรับประกัน และวิธีใช้พื้นฐานก็ว่ากันไป
เรามาดูที่พระเอกของเรากันดีกว่า ด้านตัวสายก็เป็นสายสีดำเงาเหมือนสายหูฟังทั่ว ๆ ไป ก็ต้องระวังมันหักในหน่อย ทางด้าน Earbud ก็เหมือนหูฟังธรรดาเช่นกัน ก็สามารถถอดเปลี่ยนตามไซส์ของหูเราได้ (สำคัญมาก เพราะถ้าใส่ไม่พอดีจะทำให้ตัวหูฟังมันลดเสียงรบกวนได้น้อยลง และทำให้ใส่ไม่สบาย)
ตัว Housing ก็จะทำจากพลาสติก (ถ้าอยากได้ตัวที่เป็น Aluminium ก็ต้องไปซื้อรุ่น AE ที่สูงกว่า และราคาก็สูงกว่าเหมือนกัน) สีดำด้านนิดนึง ดูในรูปมันใหญ่นะ แต่จับจริง ๆ มันค่อนข้างเล็ก เวลาใส่แล้วไม่ค่อยรู้สึกว่าใส่อยู่เท่าไหร่ ใส่สบายมาก
และแน่นอนว่าหูฟังอันนี้ก็มาพร้อมกับ Remote ที่ใช้ควบคุมเพลง สีเทาสัมผัสเหมือน Aluminium (แหงแหละ ก็มันคือ Aluminium ไง) แต่มันใช้ได้กับ IOS และ OSX เท่านั้นนะ ส่วนพวก Android บางรุ่นก็อาจจะใช้ได้ แต่ก็ต้องไปลองดูกับรุ่นตัวเอง
ด้านหลังของ Remote ก็เป็นพลาสติกสีดำเรียบ ๆ และเขียนชื่อยี่ห้อ Harman Kardon และบอกรุ่นที่เป็นรุ่น NI ไว้
หัวหูฟังก็จะมาพร้อมกับกล่องสีดำ หน้าตาดีเลยล่ะ ด้านนอกก็ให้สัมผัสเหมือนยางเลย แต่ไม่น่าจะใช่ยาง แล้วก็หน้ากล่องเขียนว่า Harman Kardon ไว้เรียบร้อย ส่วนด้านในกล่อง ไม่ได้ถ่ายมา เสียใจด้วย แต่ในกล้องก็จะเป็นกำมะหยี่สีดำธรรมดา ไว้ใส่ตัวหูฟัง
หลังจากที่ได้ลองใช้ฟังเพลงอะไรไปเรื่อยอยู่ 2 อาทิตย์ ก็บอกได้เลยว่า มันหูฟังที่เก็บรายละเอียดของเสียงได้ดีมาก ๆ ตัวนึงเลย
เริ่มจากย่านแหลมก็ชัด ออกไปทางโปร่ง ๆ โล่ง ๆ ไม่ถึงกับปวดหู สบายมาก ๆ ส่วนย่านที่ต่ำลงมาก็เก็บรายละเอียดได้ดีมาก ๆ ถึงมากที่สุดเลย ส่วนตัวเบส หัวโน๊ตมันชัดมาก ๆ ชัดกว่าอันก่อน ๆ ที่เคยใช้มาอีก ยิ่งไปกว่านั้น Impact ที่ให้ก็ค่อนข้างชัดเจนมาก แต่ก็ไม่ได้มากขนาดแบบฟัง Rock หนัก ๆ ส่วนทางด้านของเสียงร้อง พอฟังจริง ๆ ดนตรีมันดูเด่นกว่าเสียงร้อง ฟังแล้วดูมี Contrast ดี ก็แปลก ๆ เหมือนนักร้อง ร้องอยู่หลังวงดนตรีอะไรแบบนั้น ดีชอบมาก
อีกอย่างคือ มันให้เสียงที่ค่อนข้างจะแม่นย่ำมาก แม้ว่าเราจะเปิดเสียงเบา ๆ แต่รายละเอียดของเสียงก็ฟังแล้วเหมือนกับ เราเปิดเสียงตามปกติเลย ถ้าเราลองฟังเพลงที่ เครื่องดนตรีไม่ได้เยอะมาก เราสามารถแยกเสียงออกได้เลย เพราะมันชัดมาก
และข้อสังเกตอีกข้อคือ หูฟังตัวนี้สามารถเก็บเสียงได้ โหด อย่างไม่น่าเชื่อ อันเก่าใช้ของ Sony ที่เป็น Noise Cancelling ก็บอกว่า มันเงียบแล้วนะ แต่อันนี้เงียบกว่า เงียบในแบบที่ว่า หลุดไปอีกโลกนึงได้เลย
โดยรวมแล้วเป็นงานออกแบบที่ดีมาก ๆ ทั้งด้าน Design และเสียง ทางด้าน Design ก็สามารถออกแบบตัวหูฟังให้มีความสวยงาม และเบามาก ๆ ใส่แล้ว ไม่รู้สึกเหมือนว่าใส่อยู่เลย เพราะว่ามันเบามาก ๆ ส่วนทางด้านเสียง ก็ให้เสียงที่สวยมาก คือ ค่อนข้างชัดเจนและโปร่งมาก ทั้งในย่านสูง ที่ไม่แหลมเกินไป และในย่านต่ำที่เก็บรายละเอียดได้ดี ส่วนเบสที่ได้ Impact ก็กำลังดี ไม่เยอะมากจนปวดหู รวมถึงการเก็บเสียงที่ทำการบ้านมาดีมาก ใส่ทีเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงเลย ทาง Harman Kardon ก็บอกไว้ว่ามันเป็น Acoustic Headphone แต่พอเอาเข้าจริง เอาไปฟังเพลงแนวอื่น ๆ ก็สนุกได้เหมือนกัน (ยกเว้น Rock หนัก ๆ หูฟังตัวนี้อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่กับแนวนี้) ด้วยค่าตัวที่ไม่ได้สูงมาก ก็ทำให้มันเป็นหูฟังที่ดีตัวนึงเลย ลองหามาเล่นกันดูนะครับ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงพวก Acoustic เสียงสวยจริง ฟังแล้วกลมกล่อมมาก !
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...