By Arnon Puitrakul - 03 กรกฎาคม 2023
ก่อนหน้านี้ที่เราคิดว่า เราเจอ Adapter ชาร์จไฟตัวจบของเราแล้ว ตอนนี้ก็คือ มันได้ลาโลกไปเรียบร้อยแล้วครับ จากการที่ผมหยิบสายผิดเอาสาย Thunderbolt มาเสียบกันเท่านั้นแหละ มีเสียงปึ๊ก แล้วมันก็ไม่ติดอีกเลย เลยทำให้เราต้องหา Adapter อันใหม่มาใช้งานแทน มีรุ่นน้องแนะนำของ UGREEN มา เห็นว่าเป็น Brand ที่เราก็ไว้ใจได้เลย ลองกดมา เชี้ยยย มันได้ใจมาก แบบ ดีจริง ๆ วันนี้ไม่ขอรีวิวแล้ว ขอเป็นป้ายยาทุกคนละกันกับ UGREEN USB-C GaN Charger 100W
เรามาเริ่มจากการแกะกล่องกันก่อนเลย ตัวกล่องของ UGREEN เราว่า ถ้าใครที่เคยใช้เคยใช้ของ UGREEN มาก่อน เราว่า เจอกล่องนี้เข้าไปคือ แอบเอ๊ะ ได้เลยนะ เมื่อก่อน เราแกะพวก Dongle กล่องมันดูไม่ Premium เท่านี้อะ มันดูจีน ๆ กาก ๆ อันนี้คือ ดูหรูหราหมาเห่ามาก ๆ Font ของ UGREEN ก็ดูดีมาก ๆ ด้านหน้าเขาก็จะมี รูปของตัว Charger พร้อมกับบอกด้วยว่าเป็น Series GaN X กำลัง 100W แบบจุก ๆ ไปเลยนะ กับด้านล่างจะบอกพวก Feature ของตัว Charger เอง ที่เดี๋ยวเราจะมา Cover อีกที
ด้านหลัง ก็จะบอก Feature เหมือนกับด้านหน้าเป๊ะ ๆ เลย คือ มีหัวให้เสียบทั้งหมด 4 ตัว ชาร์จเร็ว หัวปลั๊กพับได้ กับ มีระบบป้องกันอะไรก็ว่ากันไป เราว่า มันก็เป็น Feature พื้นฐานของหัวชาร์จอยู่แล้วแหละ
แต่เรื่องที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้สนใจมาก ทั้ง ๆ ที่มันเป็นหน้าที่หลักของ Charger เลยคือ การจ่ายไฟ เราต้องบอกว่า Adapter บางตัวบอกว่า 100W นะ แต่มันคือกำลังที่จ่ายรวมไง บางอันมาเลยจ้า 100W แต่ หัวแรงสุด 65W แล้วเอาที่เหลือบวกให้ได้ 100W แค่นั้นเลย แบบ เออ มันก็ไม่ผิดแหละ
แต่อันนี้ ถ้าเราลองอ่านที่หัว C1/C2 มันจะจ่ายได้สูงสุด 20V/5A หรือก็คือ 100A จริง ๆ คือหัวเดียวเนี่ย สามารถออกได้สูงสุดเต็มที่ 100W ตามที่เคลมจริง ๆ พวกนี้ เราอาจจะต้องไปดูจากที่เขาเคลมมา ภาพด้านบนจากใน Lazada ที่เราซื้อมา ก็ดูจะสอดคล้องกับที่เขียนบนกล่องอยู่นะ ไม่ได้มั่ว ๆ แบบของบางอัน ในเว็บบอกอย่าง กล่องบอกอย่าง ของจริงอย่าง
ด้านข้างกล่อง ก็จะมีพิมพ์ Logo GaNFast ด้วย เป็นการบอกเลยนะว่า Charger ตัวนี้ใช้เทคโนโลยี GaN แทนที่จะเป็น Silicon แบบสมัยก่อน ทำให้เราได้ไฟที่กำลังสูงขึ้น ร้อนน้อยลง มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าเดิมเยอะมาก
อีกจุดที่เราประทับใจกล่องนี้มาก ๆ คือ เขาทำมาเหมือน Apple เลยคือ เป็นแบบไม่ต้องใช้เครื่องมือเลย เราใช้มือหยิบแล้วฉีกได้เลย
เปิดกล่องออกมา เราก็จะเจอแล้ว Adapter ใส่อยู่ในถุง จะบอกเลยว่าด้วยเรทราคาของ UGREEN เราก็ไม่ได้คาดหวังละกันว่า เราจะได้พวกประสบการณ์การแกะกล่องที่ดี มันก็ทั่ว ๆ ไปนี่แหละ เน้นที่ของดีกว่าเนอะ
เมื่อเราเอา Charger ออกมา เราก็จะเจอกับคู่มือการใช้งาน เอาจริง ๆ เลยนะ เราว่าหลาย ๆ คนน่าจะถามแหละว่า ห่ะ Charger เอาไว้ชาร์จอุปกรณ์เราเนี่ยนะ เราจะต้องอ่านคู่มือด้วยเหรอ จริง ๆ แล้วอย่างที่บอก มันมีรายละเอียดของการเสียบอยู่ว่า ถ้าเราเสียบรูนี้ กับรูนี้ ๆ มันจะจ่ายไฟได้เท่าไหร่มันรองรับ Charging Protocol อะไรบ้าง หลายเรื่องเลยแหละ บางที เราก็เชื่อสิ่งที่เขียนอยู่ใน Lazada กับ Shopee ไม่ได้เท่าไหร่
ของในกล่องก็มีเท่านี้เลย ใช่ฮ่ะ ไม่มีอะไรมาให้เลย จะมีอะไรมาให้ละ มันก็แกะกล่อง Charger เนอะ ฮ่า ๆ
เมื่อเราเอา Charger ออกมาจากกล่อง ฟิลแรกที่เรารู้สึกเลยคือ เห้ย แมร่ง Solid หวะ คือขนาดมันอยู่ในถุงนะ เราจับแล้ว เออ มันหนัก แต่มันแน่นมาก ๆ ฟิลมันดีจริง ๆ อันนี้ประทับใจมาก ๆ มากกว่า Dongle มันอีกอะเอาจริง
ด้านหน้า เขาทำมาเป็นพลาสติกกึ่งด้าน แล้วมีพิมพ์ยี่ห้อ UGREEN เข้าไป แล้วบอกด้วยนะว่าเป็น GaN Charger แต่เราอยากให้ข้อสังเกตละกันว่า เมื่อเราใช้งานไป มันมีรอยนิ้วมือได้อย่างแน่นอน ถ้าเราอยากจะให้มันสวย ๆ หน่อยโชว์เวลาชาร์จหน่อย อาจจะต้องเช็ดบ่อยหน่อยนะ เพราะเวลามันชาร์จ แล้วเราจะถอด มันจะร้อน พอเราหยิบร้อน ๆ มือเราเองเนี่ยแหละจะมีเหงื่อออกมา จับแล้วทิ้งคราบไว้ได้ แต่ถ้าบอกว่า เออ แค่ Charger จะแคร์อะไรมาก ก็อีกเรื่องละกัน
อีกด้าน ก็จะใช้ สีและวัสดุเหมือนกับด้านหน้าเลย แต่พิมพ์เป็นขนาด 100W เอาไว้แทน เราเดาว่า เขาอาจจะมีหลายขนาดแล้วแชร์ Design กันละมั้งนะ แต่เอาจริง แมร่งสวยอยู่นะ เราชอบเลยแหละ จับแล้ว Solid สีอยู่ในโทนที่เข้ากับ Macbook Pro เราได้เลย
มาที่หัวปลั๊ก อย่างที่เขาบอกไว้หน้ากล่องเลยว่า หัวปลั๊กมันสามารถพับเก็บได้ เพื่อให้เวลาเราเดินทางมันจะได้ประหยัดเนื้อที่ในการเก็บในกระเป๋าสักหน่อย ซึ่งเราเองอะ ชอบมาก ๆ แต่ ๆ พอเราไปเจอ OMEGA 200W อันนั้นเข้าไปที่เขาสามารถพับหัวได้ 180 องศาเลย ทำให้เวลาเราไปเสียบเราเลือกได้เลยว่า เราจะเสียบเอา Charger อยู่ด้านไหน มันสะดวกมาก ๆ โดยเฉพาะ การเสียบกับ Wall Plug แต่อย่างของ UGREEN ก็ทั่ว ๆ ไปคือพับได้ 90 องศา พับเข้าเก็บ พับออกใช้แค่นั้นเลย เปลี่ยนแนวไม่ได้
กับด้านล่าง ก็จะเหมือนกับอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ จะมีพวกรายละเอียด เช่น Input ที่ใช้ได้ตั้งแต่ 100-240V เลย เมื่อก่อน เราไม่ได้สนใจมากจนเดินทางนี่แหละ เออ แมร่งสำคัญมาก โดยเฉพาะ ถ้าเราไปในประเทศที่ใช้ไฟ 120V ถ้าใช้ Charger นี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเลย ใช้ได้ทุกที่บนโลกที่มีไฟฟ้าแน่นอน
มาที่หัวชาร์จกันบ้าง เขาก็บอกที่หน้ากล่องแล้วแหละว่ามี 4 หัวด้วยกัน ประกอบด้วย USB-C ทั้งหมด 3 หัว และ USB-A อีก 1 หัว โดยแต่ละหัว มันจะแตกต่างกันนิดหน่อย โดยเฉพาะหัว USB-C 1,2 และ 3 จำง่าย ๆ เลยคือ อะไรที่ใช้ USB-PD เสียบหัว 1 ให้หมด เช่นคอม เพราะหัวที่เหลือไม่รองรับ มันจะรับแค่ QuickCharge 3.0 และ Fast Charge Protocol (FCP) เท่านั้น และ หัว USB-A แน่นอนว่า มันจ่ายไฟได้ไม่เยอะมาก 22.5W เท่านั้น แต่มันก็ตาม Protocol อย่าง AFC กับพวก QuickCharge อะไรพวกนั้นแหละ เช่น ถ้าเอา Apple Device อย่าง iPhone ไปเสียบหัว USB-A มันก็จะรองรับได้แค่ 18W เองมั้ง
ในเมื่อ เราซื้อมาใช้งานกับ Macbook Pro 14-inch งั้นเราก็เทียบกับ Charger 96W ที่แถมมากัน ถ้าเราสังเกตดู เราจะเห็นว่า UGREEN จะชนะในแง่ของขนาดกว้างยาว นิดหน่อยเท่านั้นเอง เออ นาน ๆ ที่เราจะเห็นว่า Apple จะแพ้เรื่องขนาดแบบเฉียดฉิวขนาดนี้นะ แต่เอาจริง ๆ Charger ใหม่ ๆ ของ Apple เอง เขาก็ใช้ GaN เหมือนกันแล้ว ดังนั้น ขนาดอาจจะไล่สู้กับพวก 3rd Party พวกนี้ได้แหละ
ในแง่ของความหนา ก็ต้องบอกเลยว่า UGREEN กินไปเลย หนากว่าอะนะ ฮ่า ๆ ส่วนตัวเรา เวลาเราเดินทางไปทำงานอะไรพวกนั้น เราจะไม่ชอบของหนาเลย มันเก็บยาก ทำให้กระเป๋าบวมไม่สวยจะ Prefer อันที่บาง ๆ แต่ไปเพิ่มฝั่งกว้างยาวดีกว่า แต่ถามว่า UGREEN มันหนาจนเป็นอุปสรรค์ในการเดินทางมั้ย ก็ตอบเลยว่า ไม่นะ ยังไม่ขนาดนั้น
เพื่อให้ชัวร์ว่า เราสามารถชาร์จได้ตามสเปกที่มันบอกจริง ๆ เราจะเอามาชาร์จกับ Laptop ของเรานี่แหละ คือ Macbook Pro 14-inch ที่มันสามารถกดไปได้ 98W สูงสุดตามสเปกนะ โดย เราจะเอา Charger UGREEN จับคู่กับสายของ UGREEN ที่หน้าซอง เขาเคลมว่า มันสามารถชาร์จที่ 100W ได้นะ
โดยการทดลอง เราก็จะใช้ Smart Plug ที่สามารถวัดไฟได้ ของ Sonoff มาเสียบวัดดูนะ
เพื่อให้เครื่องมันดึงกำลังไฟสูงสุด เราเลยใช้แบต Laptop ให้หมดเลย เอาให้เครื่องดับไปเลย แล้วค่อยเสียบเข้าไปนะ เอาให้ชัวร์ !
เราเสียบคอม แล้วไปเช็คว่า เครื่องมันคุยกับ Adapter กับสายแล้วได้ไฟสูงสุดที่เท่าไหร่ ก็เป็น 100W อย่างที่เขาเคลมจริง ๆ อะ รอดไป
ซึ่ง Smart Plug (เอาจิ๊กปลั๊กที่ใช้วัดทีวีมาอะนะ ชื่อมันเลยเป็นแบบนั้น) มันวัดออกมาได้ 96W ถือว่า ไม่แย่เลยนะ อะ Smart Plug มันต้องมี Error บวกลบบ้างแหละ แต่ยังไง ๆ มันก็ไม่ต่ำกว่า 90W แน่นอน
เมื่อเราเทียบผลการทดลองกับคราวก่อนที่เราลองเสียบ Charger 96W ของ Apple กับ สาย Magsafe ที่มาในกล่อง มันก็ยังชาร์จได้แค่ 90W แต่อันนี้คือได้มา 96W เราเข้าใจว่า มันน่าจะเป็นเพราะ Charger ของ Apple เขาทำมาแค่ 96W ดังนั้นจะให้มันได้เต็ม 100% ตลอดเวลาเลย มันก็เป็นไปไม่ได้เนอะ เทียบกับ UGREEN ที่เป็น 100W รันได้ 96W มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่
กับอีกเรื่องที่เราประทับใจมาก ๆ กับ UGREEN คือ มันจ่ายไฟได้นิ่งมาก ๆ เราเสียบจาก 0% ไปที่ 50% ในประมาณครึ่งชั่วโมง เราลองเอากำลังไฟมาหาค่ากลางดู ได้ค่าเฉลี่ยมาที่ 95.4W แล้วสูงสุด 98.8W และ ต่ำสุดอยู่ที่ 94.7W เห้ยย มันนิ่งมาก ๆ เลยนะ เพราะ Range มันอยู่ที่ 3.7W ซึ่งส่วนนึงก็อาจจะเกิดจากเครื่องวัดด้วย ทำให้การได้ Range มาแค่นี้ ถือว่าดีมาก ๆ กับ SD เอง ก็น้อยมาก ทำให้เดาได้เลยว่า มันน่าจะจ่ายไฟได้นิ่งมาก ๆ แล้ว Macbook Pro ก็คือรับกันนิ่ง ๆ รัว ๆ จุก ๆ เลย
ดังนั้นในแง่ของการชาร์จ ก็ต้องบอกเลยว่า UGREEN ก็คือ ชนะ เซ็ต 96W Charger คู่สาย Magsafe ที่มาพร้อมกับ Macbook Pro 14-inch ไปเลยที่ 6W เย้...... เด่วนะ ชนะแค่ 6W แค่เราเปิดเครื่องมาก็กินหมดแล้ว ฮ่า ๆ อะ ๆ คิดซะว่า เราน่าจะชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพละกัน
เรียกว่า UGREEN USB-C GaN Charger 100W ขึ้นแท่น Charger ลูกรักอันใหม่ของเราไปเลย จาก Design ที่ดีมาก ๆ โดยเฉพาะสี เข้ากับ Macbook Pro 14-inch สี Space Grey ของเรามาก ๆ พร้อมกับสามารถชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพที่เครื่องเราจะรับไหวด้วย วัสดุและงานประกอบที่จับแล้ว โคตรดี Solid มาก ๆ ไม่มีคำว่า ก๊อง ๆ แก๊ง ๆ เลยนะ ไม่มีเลยจริง ๆ แน่นทุกจุด บีบจุดไหนก็ไม่มี แต่ข้อเสียข้อเดียวคือ มันเป็น Fingerprint Magnet มาก ๆ แต่ เราก็ไม่ได้แคร์ละกัน สุดท้ายนี้ ราคาเต็มมันคือ 1,990 บาท แต่ ๆๆๆๆๆ มันชอบลดบ่อยมาก ๆ เช่นเราได้มา 1,499 บาท แล้วแถมสายมาอีกถือว่าไม่แย่เลย แล้วรุ่นน้องที่ป้ายยาเรานั่นคือแมร่งลดแล้วลดอีกจนเหลือ 989 บาท บ้าไปแล้ว เราว่า ถ้าจะเอาคุ้มจริง ๆ รอมันลดก็ดีเหมือนกันนะ ลดดุมาก ของก็ดี
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...