By Arnon Puitrakul - 22 มกราคม 2020
วันนี้เรามารีวิวอุปกรณ์สำหรับ Content Creator กันหน่อย กับ Microphone จาก Rode ที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว เขาดังเรื่อง Microphone มาก ๆ หรือที่เราและเพื่อนชอบเรียกยี่ห้อนี้ว่า โรเด้ วันนี้เรามากับ Wireless Microphone ในรุ่น Wireless Go
ตัวกล่องมาเป็นกล่องกระดาษอย่างดี จับแล้วรู้สึกถึงความ Premium อยู่หน่อย ที่หน้ากล่องจะมีการพิมพ์ชื่อรุ่น ที่เราชอบคือ นางมีการพิมพ์นนูนสีทองด้วย และหน้าตาของ Microphone
ด้านข้างกล่องจะเป็นการบอกสรรพคุณของมันว่ามีอะไรบ้าง ตั้งแต่ มันอันเล็ก มี Microphone ในตัว และ ใช้การเชื่อมต่อในย่าน 2.4 GHz แบบ Digital เรื่องพวกนี้ เดี๋ยวเราจะไปเล่าในส่วนของการทำงานละกัน
ด้านข้างอีกด้านจะเป็นรูปเหมือนกับ Ads เฉย ๆ ไม่มีอะไร
ด้านหนังของกล่องก็จะเป็นการบรรยายสรรพคุณแบบยาวขึ้นหน่อย ด้านล่างก็ยังบอกด้วยว่า ในกล่องมีอะไรมาให้บ้าง อันนี้เดี๋ยวเราไปดูตอนแกะกล่องต่อ ๆ ไปเลย
ในกล่องที่เราเห็น จริง ๆ มันไม่ใช่กล่องหรอก มันเป็นแค่ที่ครอบกล่องเฉย ๆ เมื่อเราดึงกล่องด้านในออกมา เราจะเจอกล่องจริง ๆ อยู่ในนั้น
สำหรับกล่องด้านใน เราจะเห็นว่า มันมีรอยแกะมาอยู่แล้ว อันนี้เราแกะเช็คของที่ร้านมา เราชอบการออกแบบกล่องแบบนี้มาก ๆ เพราะมันทำให้เราไม่สามารถทำกลับเป็นสภาพเดิมได้ เวลาเราไปซื้อ แล้วถ้าเปิดมา มันแกะอยู่แล้ว ให้สงสัยไว้ได้เลย ว่านี่ไม่ใช่ของใหม่ เอาไว้กันแอบอ้างนี่เอง
เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราก็จะเจอกับ Quickstart Guide ที่จะบอกว่า แต่ละปุ่ม และ หน้าจอใช้งานยังไง ปุ่มไหนทำอะไรบ้าง แบบคร่าว ๆ
ด้านหลังของ Quickstart Guide ก็จะเป็นวิธีการ Setup ง่าย ๆ
ใต้คู่มือ เราก็จะเจอกับ Microphone ทั้ง 2 ตัววางอยู่ในกล่อง โดยตัวนึงมันเป็นตัวรับ และ อีกตัวเป็นตัวส่ง
เมื่อเราเอาไมค์ออกมา เราก็จะเจอกับกองของ Bundle ที่ Rode แถมมาให้เรา
ของชิ้นแรกคือของที่เราน่าจะไม่อ่านกันเพราะเกิน 8 บรรทัด นั่นคือ การใช้งาน และความปลอดภัยต่าง ๆ ดังนั้นข้ามมันไปเนอะ
ของชิ้นต่อไปคือ Wind Muff สำหรับกันลม เวลาเราเอาไปใช้กับที่ ๆ มีลมแรงมาก ๆ ถ้าเราไม่ติด มันจะมีเสียงลม ปวดหูคนดูหมด การใส่ก็ง่ายมาก ที่ด้านหลังมันจะมีสลักอยู่ ให้เราเสียบลงไปที่ตัวส่งก็เรียบร้อยแล้ว ในกล่อง ก็ให้เรามา 2 อัน น่าจะกลัวเราทำหาย เพราะมันหลุดง่ายมาก
มีไมค์แล้ว ก็ต้องใช้สายเสียบระหว่างตัวรับ และ กล้อง ของเราด้วย ในที่นี้เขาแถมสายแบบ 2 ร่อง สำหรับเสียบที่ไมค์ และ ตัวกล่องมาให้เลย เป็นสายยืด ๆ ด้วย ทำให้เราใช้งานได้ง่ายมาก ๆ ที่น่าเสียดายคือ สายที่แถมมาไม่มีหัวที่แปลงจาก ไมค์เป็น โทรศัพท์ได้ ต้องไปซื้อสายแปลงมาใช้แทน
กระเป๋าใส่เขาก็แถมมาให้เราด้วยนะ ตัวกระเป๋าจะเป็นคล้าย ๆ กับผ้ายืด แต่มันจะนิ่ม ๆ หนา ๆ หน่อย กันกระแทกได้เป็นอย่างดีเลย (ทำไมรู้ เพราะทำตกบ่อย ถถถถ)
กระเป๋า ถ้าใส่ของทั้งหมด มันก็แอบเล็กไปหน่อยนะ มันจะเหมือนกับว่า ใส่แล้วมันตุง ๆ
ที่ผิวด้านใน ก็จะเป็นเหมือนกำมะหยี่ ที่นิ่ม ๆ ทำให้ ของที่เราใส่ แล้วมันจะไม่เป็นรอย ของในกล่องมันก็จะมีประมาณนี้แหละ ไม่เยอะ
มีของแอบอยู่ในกล่องอีกอย่าง อยู่ในซอก ที่ตอนแรก ก็หาไม่เจอเหมือนกัน จนจะเก็บแล้วก็มาเจอ เลยเออ โชคดีไปตรู
ของชิ้นนั้นคือ สาย USB-C to USB-A จำนวน 2 เส้น สำหรับชาร์จตัวรับ และตัวส่งได้เลย แต่ ไม่ได้แถม Adapter มานะ ก็ไปหาใช้เอาเอง
ทำให้ของทั้งหมดที่มากับกล่องก็จะมี ตัวส่ง ตัวรับสัญญาณ, สาย USB-A to USB-C 2 เส้น, สายสำหรับเสียบตัวรับเข้ากับกล้อง, Wind Muff และ กระเป๋าสำหรับใส่ของทั้งหมด
สำหรับ Microphone จะมาใน 2 ชิ้น เป็นตัวรับ และ ตัวส่ง โดยที่แต่ละชิ้นบอกเลยว่า มันไม่ได้หนัก และใหญ่เทอะทะอะไรเลย เมื่อเราเทียบกับ Microphone ที่เราใช้ ๆ กันแบบ Professional แค่เราหนีบก็ใช้ได้เลย มันไม่ต้องมาเหน็บ ซ่อนอยู่ข้างหลังใต้เสื้ออะไรแบบนั้น
ถ้าเราแกะของใหม่มา ที่ทั้งตัวรับและส่ง ก็จะมีพลาสติกกันรอยระหว่างกันขนส่งมาให้เราเรียบร้อยเลย สำหรับคนเห่ออย่างเรา เราก็ไม่แกะไง ถถถถ
ด้านหลังของแต่ละตัว ก็จะมีตัวหนีบ สำหรับหนีบที่เสื้อ และ สามารถที่จะเสียบไปใน Hot Shoe ของกล้องได้ด้วย
แต่เราใช้กับ Sony A6400 มันจะมีปัญหานิดนึงตรงที่ ถ้าเราใส่ Eye Piece ลงไป เราจะเสียบตัวรับลง Hot Shoe ไม่ได้ เพราะใหญ่เกิน กับทำให้เราพับจอได้ไม่สุด
ทำให้เราเลือกที่จะไปหนีบกับ สายห้อยแทน ก็จะง่ายกว่า และไม่ต้องกลัวมันหลุดหายด้วย เพราะอีกด้าน เราก็เสียบมันเข้ากับกล้องผ่านรูรับ Microphone อยู่แล้ว ถึงจะหลุดจากที่หนีบก็ยังมี Protect อีกชั้นด้วยที่เสียบ Microphone อยู่แล้ว
ไปที่ตัวรับกันก่อนละกัน ดูเผิน ๆ มันจะหน้าตาคล้ายกันมาก มันจะต่างตรงที่ ตัวรับมันมีหน้าจออยู่
ด้านบนจะเป็นปุ่มเปิด เวลาเปิดและปิด เราก็กดค้างไว้ ที่หน้าจอมันจะเปิด นั่นคือ ใช้ได้แล้ว
ด้านล่าง ก็จะมี 2 ปุ่มคือ ปุ่มสำหรับการเร่งเสียง ซึ่งเราจะเร่งได้ 3 ระดับด้วยกัน เพียงแค่เรากด มันก็จะเร่งเสียงไปเรื่อย ๆ แค่นั้นเลย และ อีกปุ่มจะเป็นการ Pair ตัวส่งเข้าด้วยกัน ซึ่งเอาจริง ๆ คือ มันทำให้เราทั้งหมดเลย เราไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่มนั้น ถถถถ
สำหรับตัวส่งเอง ด้านหน้าก็จะไม่มีจอเท่านั้นเอง แต่ที่ด้านบน มันจะมีไฟ LED สีฟ้า 2 อันแสดงสถานะด้วยกันคือ การเชื่อมต่อ และ Battery ถ้าใช้งานได้ปกติ มันก็จะติดแบบไม่กระพริบทั้ง 2 อัน
ที่ด้านบน มันก็จะเป็น Microphone แบบ Omnidirectional มาให้เราเลย นอกจากนั้น ถ้าเราอยากจะใช้ Microphone ของเราเองก็ย่อมได้ เขาให้รูสำหรับเสียบ Microphone มาให้เราด้วย
และรูข้าง ๆ ทั้ง 2 ฝั่งของไมค์ จะเป็นช่องสำหรับเสียบ Wind Muff ที่ต้องบอกเลยว่า เราไม่อยากใช้เลย เพราะมันหลุดง่ายมาก ถ้าเราเสียบเข้าไป แล้วเราลองคว่ำแล้วเขย่า ๆ ดู มันจะหลุด ทำให้เราไม่กล้าใช้เลย แค่เขย่า ก็หลุดแล้ว ลมแรงไม่ต้องพูดถึง ไม่น่ารอดเลย
การใช้งานของ Rode Wireless Go ถือว่าง่ายมาก ๆ เมื่อเทียบกับ Wireless Microphone รุ่นอื่น ๆ มาก เพียงแค่เรากดปุ่มเปิด ของทั้งตัวรับกับตัวส่ง จนที่ตัวส่งมีไฟขึ้น และ ตัวรับหน้าจอติด ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ที่หน้าจอของตัวรับก็จะขึ้นว่ามีเสียงเข้าให้
แต่ปัญหาของกล้อง A6400 อย่างที่บอกคือ เราไม่สามารถเสียบ ตัวรับ ไว้ที่ Hot Shoe ได้ เพราะมันจะไปติด Eye Piece วิธีแก้ปัญหาของเราคือ เราก็เอาไปหนีบกับสายห้อยคอแทน แล้วหมุนมันหันออกมาที่ด้านหน้า ทำให้เวลาเราอัดไป เราก็จะเห็นเสียงที่เข้าด้วย
ส่วนตัวรับเอง ด้วยความที่มันมีทุกอย่างมาให้หมดในตัวแล้ว เราไม่ต้องพก Microphone เพิ่มเลย ก็คือ เปิดแล้วพร้อมใช้ได้เลย แต่ปัญหาของมันคือ มันจะหนักกว่าไมค์สายเยอะ ทำให้เวลาเราหนีบที่ปกคอเสื้อ ขนาดเป็นเสื้อ Shirt แล้ว ยังไม่อยู่กับที่เลย ต้องเอาไปหนีบตรงระหว่างกระดุมถึงจะได้ ซึ่งมันก็ห่างจากปากเรา ทำให้เสียงแอบเบาไปหน่อย นอกจากนั้น ถ้าติดไมค์ขนาดแบบนั้นยังไงมันก็ย่อมเด่นกว่าการติดไมค์สายแน่นอน
ก็เลยลองแก้ปัญหาด้วยการ Boost ไมค์ ด้วยการใช้ปุ่ม dB ที่ตัวรับ สิ่งที่ได้คือ เสียงพูดดังขึ้น และแน่นอนว่า เสียงข้างนอกก็ดังขึ้นเหมือนกัน ก็ต้องเอามาลุ้นตอนตัดแล้วว่า เราจะเอาเสียงรบกวนพวกนี้ออกได้หมดมั้ย หรืออีกวิธีคือ เราสามารถเอาไมค์สายมาเสียบอีกที ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ข้อสังเกตนึงของไมค์รุ่นนี้คือ เราสามารถจับคู่ได้เพียงคู่เดียว หมายความว่า ถ้ารายการเรามีพิธีกรมากกว่า 1 คนเราจะไม่สามารถเชื่อมต่อไมค์ 2 ตัวได้ วิธีแก้ปัญหาคือ ออกห่าง ๆ และใช้ Shotgun Microphone เอาก็จะช่วยได้นิดหน่อย แต่มันจะไม่รอดเวลาเราถ่ายในห้อง ที่บางครั้ง เราใช้เลนส์ช่วงแคบหน่อย ทำให้ต้องตั้งกล้องไกลจากแบบ ทำให้ Shotgun Microphone ไม่ใช่คำตอบในเรื่องนี้
แน่นอน เราซื้อ Microphone มา ก็ต้องหวังเรื่องคุณภาพเสียง เราจะไม่ไปลงลึกเรื่องพวก Technical อะไรนั่น เพราะเราก็ไม่รู้อะไรแบบนั้นเลย เอาเป็นที่เราฟังได้ละกัน
ในห้องเงียบ ๆ อย่างวีดีโอ ที่เราชอบถ่าย Vlog ส่วนใหญ่ ก็ทำออกมาได้ดีเลย เสียงพูดเราก็คือ ชัดใช้ได้เลย และเสียงรบกวนจากข้างนอก เช่น เสียงแอร์ เสียงพัดลมคอม ก็แทบไม่ได้ยินเลย ถ้าเราเอาโปรแกรม แล้ว Filter Background Noise ออก ก็คือ หมดเลย
ส่วน ถ้าเราเอาไปใช้ข้างนอก ตอนนั้นเอาไปราชดำเนิน ก็คือ เสียงก็ถือว่าไม่ได้แย่เลย โอเคเลยละ เสียงพูดก็ค่อนข้างชัด เสียงรบกวนที่เป็นเสียง Static ต่าง ๆ ก็มีไม่เยอะมาก ถ้าเราเอาไมค์ไว้ใกล้เรามากพอ จะมีพวกเสียง Noise ที่มันเกิดชั่วขณะ อย่างเช่นพวกเสียง เครื่องยนต์รถเวลาวิ่งผ่าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่รับได้ของไมค์ระดับนี้
ถามว่าเป็น Wireless Microphone เสียงมันมีขาดมั้ย เพราะรุ่นบางรุ่นที่เราใช้มา มันหลุดจนต้องถ่ายใหม่หลายรอบมาก ด้วยความที่เราถ่ายคนเดียว ทำงานคนเดียว ตอนที่อัด เราจะไม่รู้เลยว่า เสียงมันหายไปตอนไหนบ้าง แต่เจ้าตัวนี้ ไม่เคยมีเสียงหาย หรือไม่ชัดเลย
เข้าใจว่า ที่มันชัดตลอด หรือถ้าหายก็หายเลยคือ เพราะมันส่งข้อมูลเป็นแบบ Digital ในขณะที่ Wireless Microphone รุ่นอื่น ๆ จะส่งแบบ Analog ทำให้เวลาเราอัดก็จะได้คุณภาพเสียงที่ดี ในขณะที่มันยังกำจัดข้อจำกัดของ Wireless Microphone รุ่นอื่น ๆ อีกเช่นกันคือ ย่านความถี่ ที่ใช้ส่งข้อมูลนั่นเอง เวลาถ้าเราต้องไปถ่ายงานที่ต่างประเทศ การจัดสรรคลื่นความถี่มันไม่เหมือนกัน ทำให้ Wireless Microphone บางรุ่นที่เราซื้อในไทย มันจะใช้ในบางประเทศไม่ได้ แต่ Rode Wireless Go ตัดทิ้งไปเลย เพราะมันส่งข้อมูลบนย่านความถี่ 2.4 GHz
ถ้าเป็นคนที่รู้เรื่อง Network ดี น่าจะรู้ว่า ยังไงย่านนี้ก็สามารถใช้ได้ ตราบที่เราใช้ WiFi ได้ เพราะ WiFi และ Rode Wireless Go ใช้ย่าน 2.4 GHz ไปใช้ที่ไหนบนโลกก็ยังใช้ได้เป็น Universal ที่แท้จริง
Rode Wireless Go เป็น Wireless Microphone ที่ เล็ก และ เบา ทำให้การทำงานได้ง่ายขึ้นมาก ด้วยความที่มันเล็ก เวลาเราเอาออกไปถ่ายข้างนอก มันก็จะไม่ทำให้คนเดินหนีเราด้วย แต่ไม่ใช่เล็กแล้วจะกากเลย เสียงที่ได้ออกมาคือ ต้องบอกเลยว่าดีมาก ๆ อย่าลืมว่า เสียงก็ถือว่า เป็นปัจจัยที่สำคัญตัวหนึ่งในการทำ Content ที่เป็น Video ก็ว่าได้ ทำให้ Rode Wireless Go น่าจะเหมาะกับคนที่ทำ Vlog หรือต้องเดินทางบ่อย ๆ อันนี้จะเหมาะมาก ๆ ก็หาซื้อได้ตามร้านขายกล้องส่วนใหญ่มีอยู่แล้วละ เพราะมันฮิตมาก ๆ
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...