By Arnon Puitrakul - 20 ธันวาคม 2019
โทรศัพท์ของใคร ๆ ก็หวงทั้งนั้น โดยเฉพาะยิ่งเราซื้อตัวท๊อป ราคาครึ่งแสนมาแล้ว ก็ต้องหวงเป็นเรื่องธรรมดาเลยล่ะ ของชิ้นนึงที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากการตกได้ ก็น่าจะเป็นเคสโทรศัพท์ มันก็มีขายอยู่หลายแบบมาก ๆ วันนี้เราจะมารีวิวเคสตัวนึงจาก Rhinoshield ที่สามารถ Customise ได้ตามใจเราเลย ในรุ่น Mod NX
Rhinoshield Mod NX เป็นเคสโทรศัพท์รุ่นนึงของ Rhinoshield เขาล่ะ เราไม่แน่ใจว่าคนไทยจะรู้จัก Brand นี้กันมั้ย ไม่ค่อยเห็นคนใช้เท่าไหร่ แต่มันค่อนข้างมีชื่อเสียงในต่างประเทศอยู่เหมือนกัน ในรุ่นนี้มันมีข้อดีคือ เราสามารถเลือกหน้าตาของเคสได้อย่างอิสระมาก ๆ ตั้งแต่ สีขอบ สีปุ่ม ยันแผ่นด้านหลัง โดยยังคงความแข็งแรงอยู่
เขาเคลมว่ามันสามารถป้องกันโทรศัพท์แสนรักของเราจากการตกได้ถึง 11 feet หรือ 3.5 เมตร ก็จริง ๆ น่าจะเป็นมาตรฐานทั่ว ๆ ไปของเคสระดับนี้ ไม่ไปนับญาติกับพวก UAG อะไรแบบนั้นนะ มันคนละเกรดกัน พวกนั้นมันถูกออกแบบมาเพื่อความแข็งแรงมาก ๆ แต่เรื่องความหนา และน้ำหนัก ก็มากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
นอกจากนั้น ยังมีอีกรุ่นเป็นรุ่น SolidSuit ที่จะเป็นชิ้นเดียว Customise ทีหลังไม่ได้ แต่มันมาพร้อมกับพวก Premium Finish ถ้าใครซื้อมาใช้ ๆ ไม่ได้เบื่อง่าย เราว่าอันนี้น่าจะเหมาะกว่าเยอะ ประกอบง่าย ได้ผิวพวก หนัง เหล็กขัด หรือ ไม้ อะไรแบบนั้นก็มีให้เลือกเลย
เราซื้อจากเว็บของ Rhinosheild ตรง ๆ มาเลย เราสั่งตัวเคส และ ฝาหลังมา ไม่ได้สั่งปุ่มเพิ่มมานะ เริ่มที่ตัวกล่องของเคสกันก่อน ตัวกล่องก็มาด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติกง่าย ๆ เลย ที่ด้านหน้าจะมีเขียน Mod NX ไว้เพื่อบอกให้ชัดไปเลยว่ารุ่นอะไร ด้านล่างขวาจะมีเป็นสติ๊กเกอร์บอกว่า สำหรับ iPhone 11 Pro Max (อันนี้ตอนสั่งเราต้องระบุรุ่นลงไปด้วยนะ) ถัดลงไป ก็จะเป็นบอกว่า เคสนี้กันตกได้ถึง 3.5 เมตร และผ่านมาตรฐาน Military Grade อะไรก็ว่าไป
ด้านหลัง ก็จะเป็นการบอกส่วนประกอบของเคสว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง และสามารถประกอบเป็นแบบไหนได้บ้าง เพราะเคสตัวนี้ มันไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา ตรงที่เราสามารถ Custom ได้ค่อนข้างเยอะมาก
เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราจะพบเคสวางอยู่ในกล่องเลย ตัวที่เราซื้อมาจะเป็นสีดำ ไม่ได้ Custom ปุ่มเพิ่ม ก็จะมาเป็นสีเดียวกับเคสเลย คือสีดำนั่นเอง ทั้งกล่องก็มีแค่นี้แหละ
อีกกล่องคือ Backplate หรือฝาหลังนั่นเอง ด้านหน้าก็จะมีการเขียนบอกว่าเป็นฝาหลังสำหรับ Mod NX พร้อมกับบอกว่าสำหรับ iPhone 11 Pro Max ด้วย ต้องบอก เพราะฝาหลังมันก็จะใช้ได้กลับโทรศัพท์รุ่นนั้น ๆ เท่านั้น ข้ามรุ่นไม่ได้นะ เพราะขนาด และ รู มันไม่เหมือนกัน
ตัวกล่อง ก็จะเป็นพลาสติกใสโง่ ๆ เหมือนที่เราเห็นตามร้านทั่ว ๆ ไป ที่ปิดมันจะเป็นเหมือนปุ่มปิดลงไปธรรมดาเลย
ด้านหลัง ก็จะเป็นวิธีการติดตั้ง และ เอาออก แค่นั้นเลย
วิธีแกะก็ง่ายมาก ๆ ดึงแง่งพลาสติกออก ก็เปิดได้แล้ว แอบไม่มิดชิดกลัวเวลาขนส่งมาก
เมื่อแกะออกมา ก็จะเห็นว่าคู่มือที่เราเห็นด้านหลัง มันไม่ได้พิมพ์หรือติดลงไปบนกล่อง เพียงแต่เขาใส่มาในกล่อง
กระดาษอีกแผ่นที่ใส่ไว้คือเป็นคำเตือนบอกว่า อย่าเอาพวกแอลกฮอล์มาเช็ดนะ
เมื่อเอากระดาษออกทั้งหมด เราก็จะพบกับฝาหลังวางหันหลังอยู่อย่างสวยงาม
ที่ฝาหลัง ก็จะมีพลาสติกติดไว้กันรอยระหว่างการขนส่งให้ด้วย
ลักษณะของตัวเคส เคสเลย มันจะเป็น Bumper Case คือ เคสที่กันแค่รอบ ๆ ตัวเครื่อง ไม่ได้มีอะไรมาปิดที่หน้า และหลังของเครื่องนั่นเอง ความสนุกของ Mod NX มันจะอยู่ที่การ Customise ได้นี่แหละ นอกจากจะ Customise สี และ ฝาหลังได้แล้ว เรายังกำหนดชีวิตเราได้มากขึ้นอีก ด้วยการเลือกที่จะใส่เป็นแบบ Bumper หรือ แบบ มีฝาปิดได้ด้วย
ตัวเคสแกะกล่องมา มันก็จะเป็น Bumper ธรรมดา จับ ๆ ดูแล้วพบว่า มันก็ไม่ได้อ่อนย้วยอะไร คือมันคืนรูปได้ดี และมีความแข็งอยู่พอสมควร
ด้านข้างซ้ายก็จะมีการทำนูนเพื่อสำหรับเป็นที่กดปุ่มเพิ่มลดเสียง ส่วนที่เป็นรูก็คือ สำหรับ Switch เปิดปิดโหมดสั่นบนเครื่องนั่นเอง
อีกข้าง ก็จะเป็นนูน ๆ เหมือนข้างขวา แต่อันนี้สำหรับปุ่ม Power และด้านล่างลงมา จะพิมพ์บุ๊มลงไปเป็นชื่อ Brand
ด้านท้ายก็เป็นรู 3 รู สำหรับลำโพง และช่องเสียบสาย Lighting นั่นเอง
ด้านบนก็ไม่มีอะไร โล่ง ๆ
ถ้าเราไปดูที่ขอบด้านในของเคส เราจะเห็นเหมือนยางอีกชิ้นบาง ๆ อยู่ชิ้นนึง อันนี้เป็นกรอบสำหรับใช้เมื่อเราใช้เคสเป็นแบบ Bumper Case ถ้าเราต้องการใส่ฝาหลังก็ให้เอาออกไป
ส่วนตัวฝาหลังทีสั่งซื้อมา วัสดุจะเป็นพลาสติกแข็ง ด้านหลังเป็นเงา และด้านในเป็นด้าน มีการเจาะรูสำหรับกล้องไว้ (ถ้าเป็นโทรศัพท์รุ่นอื่นก็จะเจาะรูไม่เหมือนกันนะ)
เราเป็นห่วงด้านในมาก เพราะด้วยความที่มันสาก ๆ มันจะทำให้โทรศัพท์เราเป็นรอยมั้ยไม่รู้ แต่เราเองก็ติด Film กันรอยที่ด้านหลังไว้แล้วเลยไม่ได้กลัวอะไรมากขนาดนั้น
ปกติ เวลาเราใส่เคส เราจะไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ใส่เข้าไป แต่อันนี้ด้วยความที่มันใส่ได้หลายแบบมาก ๆ ทำให้ การที่จะใส่แบบต่าง ๆ มันจะมีรายละเอียดเยอะกว่าเคสอื่น ๆ อยู่พอสมควร อย่างยางขอบชิ้นบาง ๆ นั้นก็เป็นตัวทำให้ งง ได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องกลัว เพราะ Rhinoshield ก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำกับเราขนาดนั้น เพราะเขาทำวีดีโอสำหรับการติดตั้งมาให้เราด้วย ก็ทำตามแล้วก็ได้เลย
เอาสั้น ๆ คือ ถ้าเราต้องการใช้เป็น Bumper ก็เอายางขอบบาง ๆ นั้นใส่เข้าไปในเคสก่อน แล้วค่อยใส่โทรศัพท์เข้าไป ก็เป็นอันเสร็จ หรือถ้าต้องการใส่ฝาหลังด้วย เราก็เอายางนั่นออกแล้วฝาหลังใส่ด้านหลังของเคสก่อน แล้วค่อยใส่โทรศัพท์ ก็เป็นอันเรียบร้อย ถ้าทำอันแรกได้ เราว่าครั้งต่อไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว
แน่นอนว่า ฝาหลังเราสั่งมาเยอะมาก ก็คือ เราสามารถเลือกเปลี่ยนตามวันเลยก็ยังได้ฮ่า ๆๆ (จริง ๆ ของที่บ้านด้วยแหละ)
จะเห็นว่าเคสเมื่อใส่ฝาหลังไม่ได้ช่วยปกป้องกล้องแสนรักเราเลยนะ
ในแง่ของการใช้งาน เคสตัวนี้ใส่แล้วก็ยังใช้ Wireless Charging ได้อยู่นะ กับพวกเคสดันกระจกอะไร เราเอง เราไม่เจอปัญหานั้นเลย
ข้อสังเกตุ สำหรับ iPhone 11 Pro Max ของเราคือ เมื่อเราใสาฝาหลังเข้าไปแล้ว กล้อง 3 ตาอันเป็นความหวังของหมู่บ้านนั้นไม่ได้รับการป้องกันแต่อย่างใด เพราะเคสมันไม่ได้เกยออกมา ทำให้เวลาเราวางเครื่อง ก็ระวังนิดนึงว่า มันอาจจะมีอะไรไปขูดกล้องเราได้
แถมฝาหลังเป็นพลาสติกเงา ก็ยิ่งสร้างความน่าเป็นห่วงให้เราเข้าไปใหญ่ เหตุผลเดียวกล้องนั่นแหละ แต่อันนี้น่าเป็นรอยมากกว่าเก่าอีก นอกจากนั้น อันความที่เป็นเงา ๆ ก็ไม่แปลกเลยที่มันมักจะมีรอยนิ้วมือเราติดอยู่เสมอ
ด้านขอบ ๆ เอง เราว่าถ้าตกก็น่าจะรอดได้อยู่มั่งนะ ฮ่า ๆ ดูแข็งแรง แน่นดี ถึงแม้ว่า มันจะต้องมีการประกอบ เพราะตอนแรก เราก็ไม่คิดนะว่ามันจะ Fit ได้พอดีขนาดนั้น นึกว่ามันจะก๋อง ๆ อะไรแบบนั้น ถือว่าทำได้ดีเลย
จะติตัว Bumper นิดนึงคือ วัสดุของมัน เราจับแล้วรู้สึกว่ามันลื่น ๆ ยังไงก็ไม่รู้เสี่ยงต่อการทำตกมาก ๆ หรือจริง ๆ เราอาจจะชินกับการใช้ Silicone Case ของ Apple ที่จะหนืดกว่า จับถือถนัดมือกว่ามั่ง
เรื่องของปุ่มเอง ก็บอกเลยว่า กดง่ายไป๊ ลั่นหลายรอบแล้ว มือไปโดนมันก็ไปแล้วอะ ลั่นง่ายไปอันนี้ติอีกข้อเลย
ด้วยความที่เราสั่งจากเว็บของมันเลย เรามารีวิวด้วยเลยละกันว่า ใช้เวลานานแค่ไหน และส่งยังไงบ้างนะ
เราก็ทำการ Customise ผ่านหน้าเว็บเลย สั่ง และจ่ายเงินในวันที่วันที่ 8 Dec 2019 เราก็จะได้อีเมล์ยืนยัน Order มา ก็เรียบร้อย
จนวันที่ 11 เราก็ได้อีเมล์มาบอกว่า ของถูกส่งแล้วนะ พร้อมกับส่ง Link ในการ Tracking ตัวสินค้า
Tracking ก็ตามนี้เลย ของถูกส่งจากไต้หวันเลย แล้วเข้ามาในไทยแล้วส่งด้วยไปรษณีย์ไทย ตอนแรกเป็นห่วงมาก เพราะไม่ไว้ใจไปรษณีย์ไทยในการส่งของเลยจริง ๆ
วันที่ 17 ก็ได้ของมา ตัว Packaging ก็เป็นซองกระดาษขนาดใหญ่นิดนึง เพราะเราสั่งหลายชิ้นมาก ๆ โดยรวม ก็ถือว่ามาในสภาพสมบูรณ์อยู่ 100% โอเคเลยล่ะ
เมื่อแกะซองออกมา ด้านในซองนางก็จะมีกันกระแทกอยู่ด้วย ดีเลย ยิ่งส่งไกล ๆ ยิ่งน่ากลัว
ดังนั้น เราสั่งเมื่อวันที่ 8 Dec และได้ของในวันที่ 17 ก็จะอยู่ที่ประมาณ 9 วัน ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณ Order ของร้าน และบริษัทขนส่งด้วยนะ
รีวิวแบบเขาไม่จ่ายเลยนะคือ เราว่ามันเป็นเคสที่เน้นความสวยงามมากกว่าการใช้งานมาก อันความจับแล้วก็ไม่ถนัดมือ ลื่นนิด ๆ อีกยิ่งเสี่ยงต่อการหล่นเข้าไปใหญ่ ฝาหลังที่ไม่น่าจะอยู่ได้นาน ไม่ใช่เพราะการปริ้นอะไร แต่มันจะเป็นรอยจนหมดสวยซะก่อนน่ะสิ ข้อดีคือ เรา Customise ได้หลากหลายอันนี้เราชอบ และราคาไม่ได้แรง ถ้าใครต้องการความสวยงามลายที่เยอะมาก ๆ การป้องกันอยู่ในระดับที่รับได้ เราว่า Rhinoshield Mod NX ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...