By Arnon Puitrakul - 02 กันยายน 2024
การตัดต่อวีดีโอในปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากว่าสมัยก่อนมาก ๆ มาเป็นยุคที่เราต้องรีบเข็น Content ออกมาเร็วขึ้น การตัดต่อบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง โทรศัพท์ และ Tablet กลายเป็นปัจจัยสำคัญมากเลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะมารีวิว App สำหรับการตัดต่อวีดีโอบน Mobile Platform ตัวแรก ๆ อย่าง LumaFusion กันว่า มันทำอะไรได้บ้าง และมันเหมาะกับใคร
สำหรับ Feature ที่ LumaFusion มีต้องยอมรับว่า มันครอบคลุมการทำงานของคนส่วนใหญ่มาก ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่ Timeline ที่เขาอาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวน Track ที่เราสามารถใส่ได้ 6 Video Track + 6 Audio Track ทำให้ใส่ได้เพียงแค่ 12 Tracks เท่านั้น ซึ่งต้องบอกเลยว่า มันเพียงพอมาก ๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ มันจะเริ่มไม่พอก็ต่อเมื่อเราเริ่มทำ Timeline ที่ค่อนข้างซับซ้อนมาก ๆ และยังไม่รองรับการทำ Composite Timeline ด้วย อยากให้ทำได้มาก ๆ มันช่วยงานเราได้เยอะสุด ๆ
ในการทำงานกับ Timeline เขามีเครื่องมือทั่ว ๆ ไปมาให้เราใช้งานหมดแล้ว เช่นพวกกรรไกร สำหรับการตัดวีดีโอ แต่เรื่องที่เราอยากจะเล่าคือ วิธีการควบคุมมากกว่า เพราะวิธีการ Interact กับ App ผ่านเมาส์กับหน้าจอสัมผัสมันไม่เหมือนกัน LumaFusion ค่อนข้างคิดเรื่องนี้มาโอเคอยู่ โดยการที่ เมื่อเรากดตัดมันจะตัดจุดที่ Cursor วางอยู่ ซึ่งจะแตกต่างจากบน PC App อื่น ๆ ที่เมื่อเรากดเครื่องมือตัด เราจะต้องเอา Cursor ไปจิ้มที่จุดที่เราต้องการตัดอีกที ส่วนตัวเราคิดว่าวิธีการที่ LumaFusion ใช้ทำให้มันเข้าใจง่ายกว่า เหมือนกับสมัยก่อนที่เราเอาม้วนฟิล์มมาผ่านเครื่องแล้วกดตัดอะไรแบบนั้นเลย
แต่เรื่องการ Navigate ไปใน Timeline เราคิดว่า เขายังทำได้ไม่ดีเท่ากับ Final Cut Pro for iPad เท่าไหร่ เพราะใน LumaFusion เราจะต้องใช้นิ้วเลื่อนไปใน Timeline โดยตรง มันขาดเรื่องความละเอียดไปเยอะ หากเราต้องการ Cut ที่จุดนี้เป๊ะ ๆ การเลื่อนแบบละเอียด ๆ เข้าไปมันทำได้ยากมาก ตัวอย่างที่ดีของการออกแบบจุดนี้คือ Final Cut Pro for iPad ที่เขาจะมีวงล้อให้เราหมุนอีกอัน พอเราหมุนช้า ๆ มันจะค่อย ๆ ปรับความละเอียดเล็กลงไปเรื่อย ๆ ตรงนี้แหละจะทำให้การหาจุดเป๊ะ ๆ มันทำได้ง่ายมากขึ้น
เรายังสามารถใส่ Transition ผ่าน Built-in Transition ที่มีมาให้ใน App ได้ด้วย แต่มันไม่ได้มีตัวเลือกให้เราเยอะมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราคิดว่าคนน่าจะอยู่กันแค่ Cross Dissolve แล้วน่าจะจบ เลยคิดว่า น่าจะเพียงพอกับการใช้งานอยู่นะ
การใส่ Title ก็ทำได้เช่นกัน ทั้ง Title ที่ไม่มีวีดีโออะไรข้างหลัง หรือจะเป็น Overlay Title ที่เราจะซ้อนทับวีดีโออีกที โดยใน Title เราสามารถใส่ทั้งพวก Text และ Shape ต่าง ๆ หรือจะเป็นรูปภาพก็ได้นะ ทริกนึงหากเรามีการใส่ Title Elements เยอะ ๆ แล้วเราบอกว่ามันจำกัด Video Track จริง ๆ แล้วใน 1 Title Container เราสามารถใส่ Element กี่ตัวลงไปก็ได้นะ เช่น เราอาจจะมีกรอบข้อความ และข้อความ แทนที่เราจะต้องสร้าง Title ขึ้นมา 2 ตัว เราสามารถยัดมันอยู่ในตัวเดียวได้เลย
เข้ามาที่การทำ Colour Grading กันบ้าง มันสามารถโยน LUT เข้าไปได้ เช่นเราเองถ่ายมาเป็น S-Log3 เราก็แค่ Import LUT เข้าไปแล้ว Apply ลงในไฟล์ของเราได้เลย แล้วเราก็อาจจะโยนพวก Cinematic LUT เข้าไปอีก Layer ก็ได้ สุดท้ายการ Colour Grading เราสามารถปรับแก้แสงและสีได้ละเอียดประมาณนึง แต่อาจจะไม่ละเอียดเท่ากับการปรับพวก Luma vs Sat แยก Channel อะไรขนาดนั้นแต่เพียงพอกับการใช้งานทั่วไป และเข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ และแน่นอนว่า การทำ Colour Grading เราจะเชื่อตา และจอของเราอย่างเดียวไม่ได้ ทำให้เขาใส่ Video Scope มาช่วยเหลือเราด้วย
ฝั่งของการจัดการภาพ Feature สำคัญสำหรับหลาย ๆ งานอย่าง Stabiliser ก็ใส่มาให้ด้วย เขาใช้ CoreMelt จากการทดลองกับงานจริง เราคิดว่า มันช่วยได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ที่วีดีโอมันไม่ได้สั่นมากเกินไป มันก็เอาอยู่แหละ และเราสามารถปรับค่า Parameter ต่าง ๆ เพื่อแก้ให้มันโอเคที่สุดได้ หรือจะเป็นการปรับความเร็ว เช่น เร่งความเร็ว หรือลดความเร็วตัวมันก็รองรับด้วยเช่นกัน
ในแง่ของเสียง ทั่ว ๆ ไป เราสามารถปรับ Gain ได้ จนไปถึงการทำพวก EQ ต่าง ๆ กับมาพร้อมกับพวก Filter ที่เราก็คิดว่า ไส้มันก็คือ EQ Preset นั่นแหละ ถ้าเล่น EQ เป็นเราว่าก็ปรับอะไรได้เยอะมากพอแล้วละ แต่สิ่งที่สนุกคือ เราสามารถติดตั้ง Audio Plugin แปลก ๆ ใส่เข้าไปทำงานใน LumaFusion ได้ด้วย ส่วนตัวเรายังไม่มีอะไรแบบนี้ เลยบอกประสบการณ์การใข้งานไม่ได้เหมือนกัน
Feature ที่เราตื่นเต้นมาก ๆ ไม่คิดว่า App ตัดต่อบนโทรศัพท์มันจะทำได้คือ การทำ Keyframing ใช่แล้ว เราสามารถทำ Keyframe กับ Properties ต่าง ๆ ในวีดีโอของเราได้ค่อนข้างอิสระเลยทีเดียว
และ Feature Pack ตัวล่าสุดอย่าง Enhanced Keyframing มันทำให้การทำ Keyframe ของเรา Advance ขึ้นไปอีกขั้น เช่นการปรับความเร็วในแต่ละช่วงได้อิสระอะไรพวกนั้นเลย ทำให้เราได้ Effect ที่ดูเป็นธรรมชาติและตรงความต้องการของเราได้มากขึ้น
Feature ที่ทำให้เราเหลียวมอง LumaFusion คือ การทำงานบน External Storage ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับ App ตัดต่อที่ทำงานบน PC แต่ในโลกของ Tablet และโทรศัพท์มันแตกต่างกันที่ พวกนี้ส่วนใหญ่เขาจะเน้นออกแบบมาเพื่อวีดีโอสั้น ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ กินพื้นที่ไม่มาก จึงทำให้เขาไม่ทำมาเพื่อรองรับการทำงานจาก External Storage
แต่พอเราเอามาทำงานที่ใหญ่ขึ้น ใช้ไฟล์วีดีโอที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การจะให้เราไปซื้อ iPad ความจุ 1 TB มาเพื่อทำงานมันก็ไม่น่าจะโอเคเท่าไหร่ หมดตัวก่อนพอดี แต่ LumaFusion เข้ามาแล้วบอกว่า อ่อ ไม่ ๆ ยูเสียบ External Storage แล้วทำงานบนนั้นได้ 100% เลย ตั้งแต่ Media File ที่เราไม่ต้องย้ายเข้าเครื่อง จนไปถึงการ Export ที่เราสามารถ Export ตรงไปที่ External Storage ได้เลย
เวลาเราใช้งาน เราก็จะเสียบเป็น External SSD ที่เป็น Thunderbolt เข้ากับ iPad Pro ของเรา ทำให้เราได้ความเร็วในการทำงานที่ค่อนข้างสูงมาก ๆ เราเอามาทำคลิปที่ตัดลง Youtube ทุกอาทิตย์ที่ใช้ไฟล์จากกล้อง A7IV ก็ยังไม่กระตุก หรือต้องรอโหลดไฟล์ใด ๆ เรียกว่าเป็นข้อดีของ LumaFusion จริง ๆ ที่รองรับการทำงาน External Storage เต็มรูปแบบ
จุดเด่นหนึ่งของ LumaFusion ที่เหนือกว่าเจ้าใหญ่ ๆ อื่น ๆ ในตลาดคือ ตัวมันเป็นการซื้อขาด คือเราไม่จำเป็นต้องจ่าย Subscription ใด ๆ เป็นรายเดือนเหมือนเจ้าอื่น ๆ เช่น Final Cut Pro for iPad หรือ Freemium Model แบบ Capcut ที่ตอนนี้ถ้าแกไม่จ่าย แมร่งจะไม่เหลืออะไรให้ใช้งานละ ByteDance ร้อนเงินเกิ้น
ราคาของ LumaFusion ที่ ณ วันที่เราเขียนขายอยู่ที่ 999 บาท ตีกว่าเป็น 1,000 บาทเลยละกัน Feature ที่ได้ก็เป็นอย่างที่เราเล่าไปก่อนหน้านี้เลย แต่... ถ้าใครต้องการ Advance Feature บางอย่าง เราจะต้องกดซื้อ In-App Purchase เพิ่มอีก เช่น Multicam Studio, Final Cut Pro XML Export และตัวล่าสุดอย่าง Enhanced Keyframing ที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกตัวละ 699 บาท หากเราต้องการใช้งาน
เรามองว่ามันโอเคมากนะ เพราะ 3 Feature Pack ที่ต้องจ่ายเพิ่ม เราคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้ใช้อยู่แล้ว เช่นการ Export ไปเป็น Final Cut Pro Project คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะมี Workflow การทำงานบน LumaFusion เสร็จแล้วไปซัดกันต่อใน Final Cut Pro หรอก เว้นแต่เราจะเป็นกองถ่ายที่อยากตัดคร่าว ๆ บน LumaFusion แล้วเอาไปทำงานละเอียดบน Final Cut Pro อีกที
การที่เอามาใส่แล้วขายแยก น่าจะทำให้ราคาตัว App ถูกลงได้ เราก็โอเค เอาแค่ว่าให้ตัวหลักมันสามารถทำ Feature พื้นฐานของการตัดต่อวีดีโอ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป อย่างการจัดการ Track, Colour Grading และการจัดการเสียงได้ เราพอใจละ
กับถ้าใครเข้าไปอ่านดู มันจะมี In-App Purchase ตัวนึงที่ขายเป็น Subscription คือ StoryBlocks for LumaFusion อันนั้นมันเป็น Stock Video อีกตัวนะ อันนั้นมันก็ไม่แปลกที่จะเสียเป็น Subscription แต่ส่วนตัวเราใช้ Envato Elements อยู่แล้ว ก็ก้มหน้า Download ไฟล์มา Import เองต่อไป
ถึงแม้ว่า LumaFusion จะเข้ามาทำตลาด App ตัดต่อวีดีโอบน Mobile Device เจ้าแรก ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเข้ามาบ้างไม่ได้ ใช่ครับ ตอนนี้เรามี App ตัดต่อวีดีโองอกออกมาเป็นดอกเห็ดเลยทีเดียว แต่ถ้าเอาตัวหลัก ๆ เราคิดว่า นอกจาก LumaFusion จะมีอยู่อีก 3 ตัวใหญ่ ๆ คือ Capcut, Davinci Resolve และ Final Cut Pro for iPad ที่พึ่งออกมาเมื่อไม่กี่ปีนี้
เรามองว่า App แต่ละตัวที่เราพูดถึงตอนนี้มี Design Principle ที่แตกต่างกัน เช่น Capcut ออกแบบมาเพื่อ Content Tiktok สั้น ๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว มี Effect สำเร็จรูปให้เรามากมาย แต่ขาดความสามารถในการ Customise เกิดมาเพื่อ Real-time Content จริง ๆ เทียบกับ Davinci Resolve และ Final Cut ที่รองรับการ Customise มากกว่า แต่ทำให้เราทำงานได้ช้ากว่า
แต่ LumaFusion มันไม่เข้าพวกกับใครเลย จะเร็วเท่า Capcut ก็ไม่ได้มี Effect สำเร็จรูปเยอะเท่า แต่ Feature ที่ใส่เข้ามาให้ก็สามารถ Customise และมี Advance Feature ต่าง ๆ ที่ฝั่ง Pro Apps เขามีอย่าง Multicam Container เป็นต้น
เลยถ้าถามว่า LumaFusion เหมาะกับใคร เราคิดว่า น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการความสามารถที่ใกล้เคียงกับฝั่ง Final Cut for iPad หรือ Davinci Resolve แต่ก็ยังต้องการความเร็ว และความคล่องตัวใน Workflow การทำงาน ต้องการความละเอียดในการ Customise ค่าเพิ่มขึ้นนิดนึง ต้องการ Advance Feature หลาย ๆ อย่าง และส่วนใหญ่เน้นการทำงานบน Tablet เป็นหลัก ทำให้ LumaFusion น่าจะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้มากกว่า และด้วยราคาที่เป็นแบบซื้อขาด ยิ่งทำให้เป็นข้อดีเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น ๆ ในตลาด ณ วันที่เขียนด้วย (เราเองก็ชอบซื้อขาดเหมือนกัน)
LumaFusion เป็น App สำหรับการตัดต่อวีดีโอบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่เราคิดว่ามันทำออกมาดีมาก ๆ ตั้งแต่ความสามารถทั่ว ๆ ไปที่เราใช้งานกันไม่ขาดหายไป ตั้งแต่การตัด และการทำ Colour Grading พร้อมทั้ง Refine ประสบการณ์การใช้งานให้เหมาะกับการใช้งานบนโทรศัพท์และ Tablet ได้โอเคเลยทีเดียว ความเจ๋งอีกด้านเราคิดว่าอยู่ที่การรองรับ Multiplatform คือ เราสามารถตัดบน iPad แล้วเอาไฟล์ไปเปิดใน Android Tablet ก็ได้ทำให้การทำงานยืดหยุ่นขึ้นมาก สำหรับคนที่มีหลายอุปกรณ์ หลาย OS และทั้งหมดนี่ เราไม่จำเป็นต้อง Subscribe จ่ายรายเดือนอะไรเลย เราจ่ายทีเดียวแล้วใช้ได้ยาว ๆ เลยเป็น App ตัดต่อวีดีโอสำหรับ iPad หนึ่งในดวงใจของเราเลยก็ว่าได้ และวีดีโอที่ได้เห็นในช่องของเราช่วงหลัง ๆ ที่ผ่านมา ก็ตัดต่อบน LumaFusion 100% ด้วยละ
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...
อีกหนึ่งรีวิวที่หลาย ๆ คนถามเข้ามากันเยอะมาก นั่นคือ รีวิวของ iPhone 16 Pro Max วันนี้เราได้เครื่องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งาน จับข้อสังเกตต่าง ๆ รวมไปถึงตอบคำถามที่สำคัญว่า iPhone รุ่นนี้เหมาะกับใคร...