By Arnon Puitrakul - 27 มกราคม 2025
หลังจากนั่งคิดอยู่หลายเดือน ตัดใจไปหลายรอบมาก ๆ สุดท้ายเราก็กดมันมาสักที กับกล้อง Compact ในฝันของใครหลาย ๆ คน ที่ขายหมด หาของยากกันสุด ๆ อย่าง Leica Q3 เราได้เอาไปลองถ่ายที่ญี่ปุ่นมาทริปนึงด้วย วันนี้ขอมาในฝั่ง Unboxing กันก่อนที่บอกเลยว่า ประสบการณ์มันดีมากจริง ๆ
ตัวกล่องเปิดมาเป็นกล่องกระดาษโง่ ๆ เฉย ๆ เลย ตอนแรกก็ตกใจ ทำไมกล่องราคาเป็นแสนได้กล่องแบบนี้ออกมา สรุปคือ มันเป็นกล่องสำหรับป้องกันกล่องจริง ๆ ข้างในอีกทีนึง พี่คนขายเขาก็พูดเหตุผลที่ Make Sense ว่า คนที่ใช้ Leica ส่วนใหญ่ เขาก็อยากจะเก็บกล่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยการสะสม หรือเพื่อขายต่อในอนาคต เราว่ามันเหมือนกับบางคนที่เขาซื้อกระเป๋า Brand Name แล้วต้องเก็บยันถุงและกล่องอะไรแบบนั้น ดังนั้นการมีกล่องที่หุ้มอยู่ชั้นนึง ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
ภายในกล่อง ก็จะมีกล่องอีกที แต่รอบนี้เป็นกล่องจริง ๆ ละ ตัวกล่องทำจากกระดาษแข็งสีเทาเงา ด้านหน้ามีการพิมพ์บอกว่าเป็น Leica Q3 พร้อมรูปด้านหน้าของตัวกล้องประกอบไว้ ตามสไตล์กล่องของ Leica
ด้านข้างกล่องด้านบน เราจะเห็นว่า จะมีการบอก Version ของตัวกล้องเอาไว้อยู่ โดยตัวที่ขายในประเทศไทยจะเป็นตัวเดียวกับที่ขายใน US,EU และ จีน ส่วนตัวที่เหลืออย่าง JP ที่ขายในญี่ปุ่น เราเดาว่า น่าจะบังคับเปิดเสียงชัตเตอร์เมื่อเราเปิดใช้ Electronic Shutter ตามกฏหมายบ้านเขา ส่วน ROW เราไม่แน่ใจ แต่เดาว่า น่าจะเป็น Rest of the World ส่วนด้านล่าง จะเป็น Serial Number และ Material Number พร้อมกับ QR Code ที่สแกนมันจะพาไปหน้าสำหรับการลงทะเบียน และแน่นอนว่า สแกนของเราไป ก็ไม่มีอะไร เพราะเราลงทะเบียนไปแล้วเด้อ
ด้านหลังมีสติ๊กเกอร์บอกว่า มี Coin Battery ที่เปลี่ยนไม่ได้ใส่อยู่ เดาว่า น่าจะใส่อยู่ในกล้องเพื่อนับเวลา เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราละมั้งนะ เดาล้วน ๆ
ด้านบนกล่อง เขาจะมีที่ดึงเพื่อเปิดกล่อง
ใช่ ครับ ในกล่องมีกล่อง และในกล่องของกล่อง ก็มีกล่องอีก วิธีการเปิดกล่องด้านในคือเท่มาก ๆ ตอนแกะครั้งแรกคือ เรารู้สึกสนุกกับมันมาก ๆ
กล่องในใน เป็นกล่องกระดาษสีดำที่จับแล้วก็รู้สึกว่า Premium มาก ๆ ด้านหน้าเราจะเห็น Logo ของ Leica สีเทา ๆ
วิธีการเปิดกล่องสีดำนี้มันเท่อีกแล้ว เพราะเขาใช้แม่เหล็กด้วยจ้าาาา เอาจริง ๆ นะ คือ ไม่ค่อยเจอการทำอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ มักจะเจอในกล่องของที่มันมาแนว Luxury จริง ๆ
เปิดกล่องดำขึ้นมา เราจะพบกับกล่องสีเทาอีก มันจะมีกล่องอะไรเยอะขนาดนี้ !!!
ตัวกล่องสีเทาทำจากกระดาษที่แข็งกว่ากล่องส่วนอื่น ๆ เยอะมาก กับเนื้อสัมผัสทำออกมาได้ Premium มาก ๆ และด้านบนซ้าย มี Logo ของ Leica เล็ก ๆ อยู่ กล่องดีขนาดนี้ ในนั้นมันต้องมีอะไรดี ๆ แน่ ๆ เลยสิน่า
สักทีค๊าาา !!!! ในที่สุด เราก็เจอกับ Leica Q3 นอนอยู่ในกล่องอย่างดีที่มีทั้งพลาสติกห่อมาอย่างดี กับอยู่ในโฟมกันกระแทกที่ตัดมาพอดีกับตัวกล้อง ดังนั้นเรามั่นใจได้เลยว่า กล้องมันจะไม่ได้ขยับระหว่างการขนส่งแน่นอน
มาที่ด้านล่างกันบ้างดีกว่า ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วมันเปิดออกมาได้อีก
เมื่อเปิดออกมา เราจะเจอกับช่องอีก 2 ช่องที่เราสามารถดึงออกมาได้
กล่องด้านบนจะเป็นพวก Paperwork ที่ด้านล่างมันจะมี Material Number และ Serial Number พร้อมกับ QR Code ที่สแกนแล้วมันจะพาไปที่หน้าเว็บสำหรับการลงทะเบียนเหมือนกับที่แปะอยู่ข้างกล่องนอกเกือบสุด
แล้วก็จะมีใบ Certificate ว่ามันผ่าน QC ที่จะมีลายเซ็นต์ของคนที่ QC และ Pack กล้องใส่กล่องให้กับเรา ที่มันพีคคือ ลายเซ็นต์มันคือเซ็นต์มือจริง ๆ รู้สึกถึงความ Premium หรูหรามากกว่าเดิมอีก
และสุดท้ายจะมีคู่มือ ที่แน่นอนว่า คนแบบเราเนี่ย อ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัดไม่เกินจริง คู่มือยาวเกินก็บั้ยบาย
มาถึงกล่องใหญ่กันบ้าง เปิดออกมา เราจะเจอกับถุงผ้า Leica เต็มไปหมด
ถุงแรก เป็น Ring สำหรับป้องกันเกลียวไม่ให้มันเสีย เพราะบางครั้ง เราอาจจะมีการหมุน Filter เข้า ๆ ออก ๆ หรือบางคนก็หมุน Hood เข้า ๆ ออก ๆ ใช้ไปนาน ๆ อาจจะทำให้เกลียวมันเสียได้ เจ้าชิ้นส่วนนี้ เราจะหมุนมันเข้ากับเกลียวของกล้อง แล้วค่อยหมุน Filter หรือ Hood เข้าไปที่ Ring ชิ้นนี้อีกที ดังนั้นเวลาผ่านไป เจ้า Ring ชิ้นนี้จะเป็นตัวรับแรงที่เกิดจากการหมุนเข้าออก พอเสีย ก็เปลี่ยนได้ แทนที่จะต้องเปลี่ยนชิ้นหน้าเลนส์ทั้งตัวที่เสียเงินเยอะกว่านั่นเอง เอาจริง เราใช้กล้องมาเยอะ ก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน
ถุงต่อไป เป็น Battery ใช่ครับ ขนาดแบตยังใส่ถุงผ้ามาให้เลย พรี่จะหรูหราหมาเห่าอะไรได้ขนาดนี้ครับเนี่ย
ตัว Battery ก้อนนี้เขาเขียนว่า 7.2V 16Wh ถ้าแปลงออกมา มันก็จะได้ความจุที่ 2.222 Ah นั่นเอง ก็จะพอ ๆ กับพวกแบตของ Sony ได้เลย แต่ไปนั่งดูราคาแบต Leica มาก็คือ โอเค เราไม่ซื้อเพิ่มละกันเนอะ ถ้าเสื่อมก็ชาร์จผ่าน USB-C ไปเถอะ
ในเมื่อมี Battery แล้วก็ต้องมีที่ชาร์จด้วยเช่นกัน เท่าที่เรารู้คือ มันจะมีเฉพาะ Leica Q3 ตัวธรรมดาเท่านั้นที่จะแถมที่ชาร์จมาให้ ถ้าเราซื้อ Leica Q3 43 มา มันจะไม่แถมแล้ว และเท่าที่ดูในเว็บ Leica ก็ไม่เจอ Charger อันนี้ นั่นแปลว่า ถึงจะอยากได้ ก็หาซื้อไม่ได้ ต้องมาเอาที่ Bundle มากับ Leica Q3 เท่านั้น แต่ถามว่าถ้าไม่มีที่ชาร์จ เราจะชาร์จยังไง เราก็สามารถชาร์จโดยการเสียบ USB-C หรือจะใช้ Wireless Charging (จำเป็นต้องใช้ Grip ที่เป็นอุปกรณ์เสริม)
โดยที่ Charger ที่เขาให้มาในกล่อง เราสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลกเลย เพราะมันรองรับตั้งแต่ 100-240V ก็คือ ไปญี่ปุ่นที่ใช้ไป 120V ก็ได้ หรือจะใช้ในไทยที่ 230-240V (เออ ไทยเราปล่อยจริง มันเด้งไป 240V ก็เจอบ่อย บ้านเราเนี่ยแหละ 240V ของจริง) ก็ได้เหมือนกัน โดยที่ Output ลงแบตจริง ๆ มันจะอยู่ที่ราว ๆ 7.98W เท่านั้นเอง ถือว่าช้ากว่าการเสียบ USB-C โดยตรงอยู่พอสมควร เราคิดว่ามันน่าจะเหมาะหากเรามีแบตสัก 2 ก้อน แล้วตกกลางคืนอันนนึงชาร์จด้วย USB-C และอีกอันใช้ Charger
หัวเสียบไฟเลี้ยงเป็นหัว AC ปกติที่เราสามารถหาซื้อสายได้ตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปเลย ไม่ต้องกังวลหากใช้ ๆ งานไปแล้วสายเกิดอาการเสื่อม หรือขาด
ภายในกล่อง เขาจะมีสายไฟมาให้เรา 2 แบบด้วยกันคือ มีทั้งหัวแบน และ หัวกลมสำหรับประเทศไทยเรา ก็คิดว่าน่าจะต้องเป็นหัวกลมแหละ
และถุงสุดท้าย ตอนแรกเปิดออกมา ก็ งง มันคืออะไรขด ๆ วะ สรุปถึงบางอ้อ มันคือ Strap สำหรับคล้องกล้อง
หากใครเคยได้ยินชื่อเสียง Leica มาก่อน เราก็จะรู้กันดีว่า อุปกรณ์เสริมของยี่ห้อนี้คือสิบล้านอย่างมาก ๆ แน่นอนว่า ไหน ๆ เราจัดมาแล้ว ก็เอาเกือบเต็มเลยละกัน เรากดมาทั้งหมด 3 อย่างด้วยกันคือ Handgrip, Soft Release Button และ Thumb Support จะขาดก็แค่ Hood และ Lens Cap เท่านั้นเอง แต่เชื่อมั้ยว่า แค่ 3 อย่างที่กดมารวม ๆ กัน ก็ 2 หมื่นกลาง ๆ แล้ว เป็นอุปกรณ์เสริมที่ราคาโหดเกิ้น !
ชิ้นแรก ขอตัวใหญ่สุดอย่าง Handgrip ตัวนี้ราคา 7,900 บาท เปิดกล่องมา เราจะเจอกับคู่มือการใช้งาน และตัว Handgrip ที่อยู่ในถุงผ้าเหมือนกับที่ใส่อุปกรณ์ Bundle มาในกล่องกล้องเลย
เจ้า Handgrip นี้ เมื่อเราติดมันเข้ากับ Leica Q3 จะทำให้การจับมันแน่นกว่าเดิมมาก ๆ เหมือนกับกล้องรุ่นอื่น ๆ ที่เขาจะทำ Body มาให้มี Grip แค่ว่า Leica ทำมาเป็นอุปกรณ์เสริมในราคาเกินครึ่งหมื่นเท่านั้นเอง แต่ ๆๆๆ มันยังมี อีก 2 Feature ที่เพิ่มเข้ามาคือ มันเป็นส่วนที่สามารถป้องกันท้ายของกล้องไม่ให้เป็นรอยได้ และที่สำคัญคือมันทำให้กล้องรองรับการใช้งาน Wireless Charging ได้ด้วย
เราสามารถวางมันกับแท่นชาร์จไร้สายที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้เหมือนกับโทรศัพท์ของเราเป๊ะ ๆ ยิ่งพอเราเอากล้องวางไว้กับแท่นชาร์จแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงานนะ มันทำให้โต๊ะทำงานเราดูมีราศีความมีออร่าจับ แต่ว่า.... เราจะต้องมีแท่นชาร์จไร้สายที่มันมีความกว้างมากพอที่จะรองรับกล้องด้วย เพราะว่า ปกติแท่นชาร์จส่วนใหญ่ เขาจะทำมา ให้รองรับกับพวกโทรศัพท์ที่มีขนาดเล็กเท่านั้น แต่ถ้าเราหาไม่ได้ Leica นางก็มีขายอีกเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร บ้านมีแท่นชาร์จที่น่าจะใช้ได้ ก็ใช้เถอะเนอะ จะหมดตัวกับอีอุปกรณ์เสริมอยู่ละ
ของชิ้นต่อไป เป็น Soft Release Button หรือปุ่มชัตเตอร์ ใช่ครับ แมร่งเราถึงจุดที่ต้องซื้อปุ่ม Shutter เพื่อให้มันกดง่ายขึ้นกันแล้ว โดยเราเลือกมาเป็นสีทองเหลือง
แกะกล่องออกมา เราจะพบกับถุงผ้าขนาดเล็ก ๆ อยู่อันนึงพร้อมกับ Paperwork อันเล็ก ๆ
ด้านใน เราจะพบกับตัวปุ่มสีทองเหลืองอันเล็ก ๆ อยู่ในถุงผ้า
วิธีการประกอบมันเข้ากับกล้องคือ เขาจะมีเกลียวให้เราหมุนมันเข้ากับปุ่ม Shutter ของกล้องแค่นั้นเลย ให้ทายปุ่มสีทองเหลืองแค่นี้ ราคาเท่าไหร่ คำตอบคือ 3,000 บาทถ้วนไปเลยครับ สั่นกลัวรึยังละ
หากยังสั่นไม่พอ เราขอไปที่ชิ้นสุดท้ายกันเลยอย่าง Thumb Support ด้วยความที่กล้อง Leica Q3 มันมีลักษณะที่ไม่มี Grip และทรงแบบกล้องสมัยก่อน ทำให้การจับถือมันลำบากไม่เหมือนกับพวกกล้องสมัยใหม่ที่เน้นเรื่อง Ergonomic เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ เราจะต้องมีอุปกรณ์อีกตัวที่เข้ามาช่วยคือ Thumb Support นั่นเอง
เปิดกล่องออกมา เหมือนเดิม เราจะเจอกับ Paperwork และ ถุงผ้าสีดำที่เขียนว่า Leica อยู่
และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า Thumb Support โดยเราเลือกออกมาเป็นสีทองเหลืองเหมือนกับปุ่มก่อนหน้า เพื่อให้มันเข้ากัน
ราคาของเจ้า Thumb Support นี้อยู่ที่ 9,800 บาท ใช่ครับ ที่วางนิ้วราคาหมื่นทอน 2 พันเท่านั้นเอง ถ้าเรากด Hood กับ Lens Cap มาอีก ราคามันจะไปจบที่เท่าไหร่กันวะเนี่ย ไม่ไหวเหมือนกันนะ เลยเอามาเท่านี้ละกัน
และทั้งหมดนี้เป็นการแกะกล่องกล้องที่เราฝันอยากได้มานานอย่าง Leica Q3 ต้องบอกเลยว่า เราแกะไปก็คิดไปนะว่า เขาดูคิดถึงประสบการณ์การแกะกล่องกล้องของเขามาก ๆ เขาไม่ Compromise ต่อเรื่อง Environment โดยการตัดคุณภาพกล่อง หรือลดของที่ Bundle ลงไปเลย เราอยากให้คนอื่น ๆ ได้ประสบการณ์คล้าย ๆ กับเราเลยแยก Unboxing ออกมาเป็น Part ของตัวเองไปเลย ก็หวังว่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีไปเด้อ
พูดตามตรง ก็ด้วยราคาขนาดนี้ และเรามองว่ามันเป็นของ Luxury มันก็ต้องแบบนี้แหละ เป็นประสบการณ์ที่เราชอบมาก ๆ จริง ๆ สำหรับในตอนหน้า เราจะเริ่มลงลึกถึงตัวกล้อง และประสบการณ์การใช้งานกล้องและอุปกรณ์เสริมกัน ติดตามได้ในตอนหน้านี้เลยเด้อ
หลังจากนั่งคิดอยู่หลายเดือน ตัดใจไปหลายรอบมาก ๆ สุดท้ายเราก็กดมันมาสักที กับกล้อง Compact ในฝันของใครหลาย ๆ คน ที่ขายหมด หาของยากกันสุด ๆ อย่าง Leica Q3 เราได้เอาไปลองถ่ายที่ญี่ปุ่นมาทริปนึงด้วย วันนี้ขอมาในฝั่ง Unboxing กันก่อนที่บอกเลยว่า ประสบการณ์มันดีมากจริง ๆ...
เป็นเวลากว่า 1 เดือนเต็ม ๆ แล้วที่เราได้ใช้งาน Macbook Pro 14-inch M4 Max ในการทำงานของเรา ความเห็นเราจะเปลี่ยนจากตอนที่เรารีวิวไปตอนแรกหรือไม่วันนี้เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์ที่เราได้ใน 1 เดือนจาก Laptop เครื่องนี้กัน...
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...