By Arnon Puitrakul - 10 พฤศจิกายน 2016
Kimi no na wa เป็นอีกผลงานจากผู้กำกับ Makoto Shinkai อันเลื่องลือจากผลงานชื่อดังอย่าง 5 centimeters per second และ Garden of Word ที่สร้าง Impact ให้กับพวกเราไปไม่ใช่น้อย กลับมาคราวนี้ จั๋งหนับกว่าเดิมด้วยเรื่อง Kimi no na wa หรือ Your Name ที่กวาดรายได้ไปกว่า 16,000 ล้านเยนไปแล้ว และติดอันดับ Anime ที่ทำรายได้สูงสุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เป็นเรื่องราวของ ทากิ (Taki) เด็กหนุ่มโตเกียว และ มิทสึฮะ (Mitsuha) ที่อาศัยอยู่ในเมืองในชนบท ที่ทั้ง 2 เกิดอยากใช้ชีวิตที่สลับกัน คนนึงอยากใช้ชีวิตในเมือง กับอีกคนอยากออกจากเมือง จนกระทั่งคืนนึงที่มีดาวตกในรอบพันปี ทั้ง 2 ต่างฝันว่า ตนนั้นกลายเป็นอีกคนนึง แต่มันก็ไม่ใช่ฝัน แต่มันคือ เรื่องจริงเฉย
ก่อนจะไปที่เรื่องอื่น ๆ ขอเปิดด้วยเรื่องของ ภาพ กันก่อน ตอนเปิดเรื่องมานี่คือนั่งขนลุก กับภาพเลย คือมันดูสวยมาก ๆ ควรค่าแก่การไปดูในโรงเป็นที่สุด ถ้าเราสังเกตุ หรือติดตามผลงานของ Makoto Shinkai แล้วจะเห็นได้ว่า ภาพของแต่ละเรื่องมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องนี้ก็เช่นกัน เมื่อเทียบกับเรื่องก่อนหน้านี้อย่างเรื่อง Garden of Word จะเห็นว่า เรื่องนี้สวยกว่าเดิมพอสมควร มันคือ Anime สมัยใหม่มาก ๆ ทุกอย่างมันดูเหมือนของจริงมาก ๆ ท้องฟ้า และสิ่งของต่าง ๆ ได้รับการใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ ขนาดแค่ท้องฟ้า ยังมีรายละเอียดเลย สุดยอดจริง ๆ ประกอบกับ อาจารย์ Makoto เองก็ชอบเอาสถานที่จริง ๆ มาจับ ทำให้เราเหมือนได้เห็นมึมมองใหม่ ๆ ได้ดีเลย
จุดเด่นที่เราน่าจะได้เห็นคือ แสง ถ้าเราดู Anime เรื่องอื่น ๆ แล้วพอมาดูเรื่องนี้ เราจะเห็นเลยว่า มันแตกต่างกันมาก ๆ นอกจากคุณภาพของภาพแล้ว เรื่องของ การวางแสง ก็ไม่แพ้กัน จากเรื่องนี้คือ มันทำให้เราเห็นมิติของมันมากขึ้น ดูจริงมากขึ้น เหมือนกับเราเข้าไปอยู่จริง ๆ เลย
อีกจุดที่ผมค่อนข้างชอบมาก ๆ ในผลงานของ อาจารย์ Makoto Shinkai เลยคือ การเลือกใช้มุมกล้อง ที่ผมไม่สามารถหาได้จากอาจารย์คนไหน ๆ เลย ที่ชอบทำฉาก Pan ออกมาสูง ๆ เพื่อเล่าเรื่อง ซึ่งเรื่องที่ผมว่ามัน Impact ที่สุดคือในเรื่องของ 5 Centimeter Per Second ที่ทำให้ติดตาผมมาจนถึงวันนี้ มาถึงเรื่องนี้เอง ก็ทำให้ผมตื่นเต้น และเกิด Impact พอสมควรกับเรื่องนี้
นอกจากจะได้ภาพที่โคตรสุดยอดจากอาจารย์ Makoto Shinkai มาแล้ว ยังได้เพลงประกอบจากวง Radwimps ที่เป็นวงชื่อดังจากฝั่งญี่ปุ่นมาเติมอารมณ์ให้กับเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว นั่นคือเพลง 前前前世 (Zenzenzense) ที่ผมฟังครั้งแรกก็ติดหูมาก และเพลงอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบฉากก็ช่วยสร้างอารมณ์ให้อินกับตัวเรื่องได้แบบไม่น่าเชื่อเลย
Anime ความยาวกว่าชั่วโมงครึ่ง ที่ตอนแรกเปิดมาด้วยอารมณ์ Love Comedy และตัดมาเป็น Drama เหมือนสับ Switch เฉยเลย จุดนี้ผมว่า อาจจะเป็นจุดที่ไม่ค่อยชอบสำหรับผมกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่จุดที่ชอบการเล่าเรื่องของเรื่องนี้คือ การเล่าเรื่องสลับตัวละครกันไปมาได้อย่างราบลื่น และสนุกไปกับมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งเรื่องจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายเรื่องราวของเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นที่เปลี่ยนไป เพราะสลับร่างกัน และยังสามารถสอดแทรกอารมณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลาย ทั้ง ดีใจ เสียใจ ลุ้น และ อบอุ่น ได้อย่างกลมกล่อม เหมือนกับส่วนผสมที่ลงตัวของเรื่องนี้ ดึงให้เราติดตามและดูไปด้วยตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างราบลื่น
สิ่งนึงที่อาจารย์ Makoto Shinkai ยังขาดในเรื่องก่อน ๆ คือ การตีกรอบให้กับบท ในเรื่องก่อน ๆ มักจะปล่อยให้คนดูจิตนาการไปเรื่อย แต่ในเรื่องนี้ มีการตีบทที่เพิ่มมากขึ้น แต่การตีบทของแกนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน ดูแล้ว มันเหมือนการเลี้ยงอารมณ์ของเราไปเรื่อย ๆ ในตอนแรก จะทำให้เรารู้สึกสนุกไปกับมัน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทิ้งอะไรให้เราสงสัยไปเรื่อย ๆ เหมือนกับทิ้งชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ไปตามเรื่องเรื่อย ๆ และเอามาประกอบเป็นภาพที่งดงามในตอนสุดท้าย ที่เมื่อเราเห็นภาพแล้วอารมณ์ต่าง ๆ ที่ถูกซ่อนไว้ก็ทะลักออกมาเหมือนซาลาเปาลาวา (อยากกิน ฮ่า ๆ)
นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรก เรื่องของความเชื่อต่าง ๆ ทั้งเรื่อง โลกหลังความตาย ด้ายแดง โลกคู่ขนาน ดาวหาง ลงไปในเรื่อง จุดที่ชอบคือ การสอนเรื่องความผูกพันธ์ผ่านการร้อยเชือก ของคุณยายของมิทสึฮะว่า "เวลาที่ใช้ไปในการร้อยเชื่อก ล้วนแต่เป็นการนำจิตวิญญาณของตัวเองใส่ลงไปในสิ่งของ ของทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คือความผูกพันธ์" และเรื่องของสาเกที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่บอกว่า มันมีค่ากับจิตใจของคน และช่วงเวลาต่าง ๆ ที่จะท้อนถึงความความของชีวิตเราในแต่ละวัน ที่สร้างความเจ๋งให้กับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
Kimi no na wa ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมค่อนข้างอินอยู่พอสมควร อาจจะไม่เท่า 5 centimeter per second ที่ทำให้หง๋อยหนัก ๆ ไปสัปดาห์นึง แต่ก็สามารถทำให้ผมได้แง่คิดอะไรหลาย ๆ อย่างจากเรื่องนี้ รวมกับภาพ และแสงที่โคตรสวยสไตล์ Makoto Shinkai สวยวัวตายควายล้มมาก เนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องที่ดี ดูได้เรื่อย ๆ และสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว และเพลงประกอบที่ทำให้บิ๊วอารมณ์ได้ดีขึ้น ให้ไปเลย 100/10 ขึ้นหิ้งเลย แนะนำว่า ให้ไปดู เด็ดจริง ดูแล้วร้องไห้กลางโรงมาแล้ว (ดีนะ แต่ไม่มีคนเห็น) แต่ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่มันเป็นเพราะเรารู้สึกดีกับมันมากกว่า ดูแล้วรู้สึกดีมาก เป็น Anime Romantic ที่ไม่มีคำหวานเลย ถ้าเราสังเกตกันอะนะ
และสุดท้าย อยากจะบอกว่า เราอาจจะได้พบเจอผู้คนมากมาย ผมเชื่อว่าการได้เจอใครจะคนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เมื่อมีวันเจอ ก็ย่อมมีวันจากลา ฉะนั้นใช้ทุกวินาที เก็บความทรงจำให้ได้มากที่สุดตอนที่ยังมีโอกาส
1 ปีผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ ตอนนี้ก็ครบ 4 ปีหลังจากที่บ้านเราติด Solar Cell ไปแล้ว เป็นปีแรกเลยที่ เราไม่ได้มีการเพิ่ม หรือปรับเปลี่ยน Config อะไรทั้งสิ้น คือใช้ไป และมีการล้างทำความสะอาดอย่างเดียวเท่านั้น ก็มาลองดูกันว่า ด้วยการใช้งานในปีนี้ มันทำให้เราเข้าใกล้จุดคุ้มทุนมากน้อยขนาดไหน...
หากคิดว่า รอบก่อน กดสาย Apple Watch Hermes แยกมา เส้นละ 10k มันอร่อยแล้ว รอบนี้ไปอีกขั้น แบบหนักหน่วงมาก ๆ กับสายที่โคตร Rare และแพงหลัก 36.9k กับสาย Apple Watch Hermès Satiné Grand H มาดูกันว่า มันจะเป็นยังไง และเราใช้แล้วรู้สึกยังไง มาอ่านได้ในรีวิวนี้เลย...
ในตอนนี้เราจะมาถึงประเด็นสำคัญของกล้องกันบ้างดีกว่าคือ คุณภาพของภาพ และประสบการณ์ใช้งานที่เราได้กล้องตัวนี้มาวันนึงแล้ววันต่อไปต้องไปญี่ปุ่นเลย เราได้เอาเป็นกล้องตัวเดียวไปถ่ายเลย วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า เราประทับใจหรือมีข้อสังเกตตรงไหนจาก Q3 บ้าง...
หลังจากตอนที่แล้ว เรา Unbox Leica Q3 ไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันต่อ ในเรื่องของลักษณะตัวกล้อง และ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ว่าแต่ละจุดมันมีหน้าตายังไง และการออกแบบมาในลักษณะนั้นเรามี Comment กับการใช้งานอย่างไร...