By Arnon Puitrakul - 24 พฤษภาคม 2024
หลังจากเราร่ำร้อง บ่นอยู่นานมาก ๆ ตั้งแต่ปีก่อนว่า เมื่อไหร่ iPad Pro จะออกสักที จะซื้อ วันนี้ครับทุกคน แมร่งมาสักที ประเทศไทยเรามันก็เข้าช้ามาก และการรอคอยของเราก็เป็นผลแล้ว วันนี้ iPad Pro M4 ก็เดินทางมาถึงบ้านเราสักที วันนี้เราจะรีวิวในฝั่งของ Hardware กันก่อน ส่วนจาก Hardware ที่ได้มา มัน Translate ไปเป็นการใช้งานจริง ๆ อย่างไร ขอต่อ Part 2 แค่นี้ก็ยาวแล้ว
เรื่องของเรื่องคือ ประเทศไทยเราเปิดให้ Pre-Order ได้ตั้งแต่วันที่ 20 May เวลา 8:00am ที่ผ่านมา ถึงเวลาปุ๊บ อิชั้นก็กดเข้าไปเลยค่าา กลัวของหมด ตอนที่กด อยากไปรับที่ร้านมากกว่า เลยเลือกไปรับที่ร้านแหละ ปรากฏว่า อยู่ ๆ สถานะใน Apple Store บอกว่า Keyboard ไปรับที่ Apple Store สาขา Central World อันนี้ถูกต้อง แต่ iPad Pro และ Apple Pencil Pro มันจะส่งมาที่บ้าน งง เลยทีนี้
เลยโทรไปหาที่ Apple Store สาขา Central World เขาบอกว่า ถ้าอยากจะให้ Keyboard มันส่งมาที่บ้าน เราจะต้องยกเลิก Order เฉพาะตัว Keyboard ได้แล้วสั่งใหม่ แต่ไม่แนะนำ เพราะกลัวว่า Keyboard น่าจะถึงมือเราช้ากว่าตัวเครื่องและปากกา เราเลยเออ ก็ได้วะ ไปเอาละกัน
พอไปเอา เจอพนักงาน เขาก็ขอเลข Order อ่าน ๆ ไป พี่เขาก็เอ๊ะ ออกมา ว่าทำไมมันแปลก ๆ เราเลยเล่าเรื่องให้เขาฟัง เขาก็อ่อออ คิดว่าระบบน่าจะผิดพลาดบางอย่าง เลยทำให้เจอแบบนี้ แต่เราก็พอจะเข้าใจได้แหละ เพราะขนาดตอนที่เรากดสั่ง ในหน้า Apple ตอนนั้นมันยังเป็น ดูราคา แทนที่จะเป็นสั่งซื้ออยู่เลย แต่ก็ไม่เป็นไร สุดท้าย เราก็ยังได้ของตรงเวลาแหละเนอะ
Apple Pencil Pro ถูกส่งตรงมาผ่าน DHL แน่นอนว่า การทำงานของขนส่งเจ้านี้ เราได้รับสินค้าจาก Apple Online Store กี่ครั้งก็ประทับใจ ทั้งคุณภาพกล่องที่ไม่มีรอยอะไรทั้งสิ้น พี่พนักงานขนส่งก็น่ารัก (ชั้นวีนไปหนึ่งแม๊ทซ์ เพราะคิดว่าพี่เขาเป็นมิจจี้ ขอโทษแทบไม่ทัน)
และเรื่องที่เราประทับใจ Apple และก็ยังคงทำได้ดีคือ การใช้ Pull Tab เพื่อให้เราสามารถดึงแถบกาว เพื่อแกะกล่องได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเลย อย่าเปลี่ยนนะขอร้อง รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ เราชอบจริง ๆ
เปิดกล่องพัสดุมา ภายในก็ยังมีการใส่พวกกระดาษเพื่อกันกระแทกระหว่างขนส่ง รวมกับความ DHL แล้วด้วย ยิ่งมั่นใจได้เลยว่า กล่องของอะไรพวกนี้จะสมบูรณ์แน่นอน โดยเฉพาะกับคนอย่างเราที่สะสมกล่อง Apple Product
เราต้องบอกเลยนะว่า กล่องของ Apple Pencil มันชักจะอลังการขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เราแกะ Gen 1 กล่องทำมาขาว ๆ เรียบ ๆ พอมา Gen 2 ก็เริ่มมีเหลี่ยมเหมือนตอนนี้ แต่ก็ยังขาวโล่ง มาในรุ่น Pro มีทำ Art ใส่เข้ามา เพื่อบอกชัด ๆ ว่า เห้ย อันนี้แมร่งสำหรับงาน Art นะเว้ย นอกจากนั้นความเก๋คือ มันไม่ได้มีสีนี้สีเดียว มันมีสีอื่นด้วย เรียกว่าสุ่มแล้วละว่า เราจะได้สีอะไร สำหรับเราได้ส้มก็สวยดี
ด้านหลังเป็นพวกรายละเอียดของตัวปากกา แต่สำคัญมาก ๆ คือ เราจะเห็นสติ๊กเกอร์ที่แปะว่า มันรองรับแค่ iPad Pro M4 และ iPad Air M2 เท่านั้นนะ คนที่ใช้รุ่นอื่น อย่าซื้อมา เพราะมันจะใช้ร่วมกันไม่ได้
ด้านข้างกล่อง ก็คือเขียนชัดว่า Pencil Pro ตอกย้ำให้รู้ไปเลยว่า Pro เว้ย ! เอ๊อ เริ่ดดดด
และแน่นอนว่า เรื่องที่เรายังชม คือการใช้ Pull Tab ทำให้แกะง่ายกว่าเมื่อก่อนที่ต้องใช้คัตเตอร์เยอะเลย
ตามสไตล์เดิม ๆ ดึงกล่องออกมา เราจะพบกับกล่องสำหรับใส่ Paperwork ที่เขียนว่า Designed by Apple in California แน่นอนว่า Made in China ฮา ๆๆๆๆ
สำหรับ Paperwork ที่มีมาให้ เหมือนเดิมคือ เป็นพวก Quickstart Guide และพวก Safety Guide แค่นั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษเพิ่มมา
ตัวปากกา ห่อมาในกระดาษอย่างดี ไม่มีรอยอะไรทั้งนั้น
พื้นผิวของมัน ยังคงทำจากพลาสติกด้านสีขาว เหมือนเดิมทุกอย่าง หากใครเคยใช้ Apple Pencil 2nd Generation หรือรุ่นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ 1st Generation น่าจะพอนึกออก และเมื่อเราใช้งานไปนาน ๆ เช่น 2nd Generation แท่งเก่าของเราใช้มา 5 ปีแล้วมันยังใช้ได้อยู่ แต่มันเริ่มออกอาการเหลืองอ่อน ๆ และผิวที่เคยสากกว่านี้ กลับเริ่มลื่นมากขึ้นแล้ว ดังนั้นเราว่าใน รุ่น Pro นี้วัสดุเหมือนกัน ชะตากรรมน่าจะไม่ต่างกัน
แต่แทนที่เขาจะเขียนแค่ Apple Pencil อย่างเดียว เขาเขียน Pro ติดมาด้วย คนอื่นมองผ่าน ๆ ไม่เห็นหรอกนะ เราก็แอบคิดนะว่า นอกจากเท่ที่คนไม่ค่อยเห็นแล้ว มันเอามาทำไมอีกหว่า จนเราหยิบ Apple Pencil แท่งเราเราวางไว้ด้วยกัน ชิบหาย แท่งไหนวะ พอมีคำว่า Pro งอกออกมา ช่วยได้เยอะ แยกออกได้ทันที
สำหรับคนที่กังวลว่า ความยาวมันจะเปลี่ยนแปลงมั้ย ต้องบอกเลยว่า เมื่อเทียบกับ Apple Pencil 2nd Generation ยาวเท่ากันเป๊ะ ๆ และการถ่วงน้ำหนักต่าง ๆ ตอนแรกเราเห็นว่ามันมี Taptic Engine อยู่ที่ท้าย มันน่าจะหนักจนทำให้เสียสมดุล แต่จับ ๆ แล้ว เออเห้ย คล้ายเดิมมาก
หัวปากกา ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ทำให้ถ้าใครที่ซื้อ Tips มาเปลี่ยนแบบเรา ไม่มีปัญหาเลย สามารถใช้ร่วมกันได้
Feature ที่มีการเพิ่มเติมเข้ามาในรุ่น Pro คือความสามารถในการบีบ เพื่อเรียกเครื่องมือต่าง ๆ ออกมาได้ ขึ้นกับ App ที่ใช้งานด้วย โดยมันมี Haptic Engine เพื่อให้ Feedback กับเราเหมือนเรากำลังบีบอยู่จริง ๆ และยังมี Gyroscope สำหรับจับการหมุนของปากกาได้ด้วย ทำให้เรามีลูกเล่นในการทำงาน และการ Interact กับ ตัว iPad มากขึ้น อาจจะต้องรอให้นักพัฒนาเข้ามาพัฒนา Application เพื่อรองรับอีกที
หน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่าง ขนาดเท่ากัน แล้วทำไมเราจะใช้ด้วยกันไม่ได้ Apple มันอยากขายของรึเปล่าเนี่ย เราลองเอา Pencil 2nd Generation มาแปะกับ iPad Pro M4 ดู ปรากฏว่ามันแปะไม่ได้ และเราลองเอา Pencil Pro ไปแปะกับ iPad Pro 2018 ก็ไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า iPadOS ไม่ Detect นะ แต่มันไม่แม้กระทั่งจะติดกัน เป็นเพราะ Apple เปลี่ยนตำแหน่งในการวางแม่เหล็ก ส่วนนึงเราเข้าใจว่า น่าจะเป็นเพราะการที่เขาย้ายกล้องมาไว้ตรงกลางแนวนอนหรือไม่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ส่วนนึงเราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทำแบบนี้ด้วย เพื่อป้องกันความผิดพลาดหากใครมี iPad และ Apple Pencil หลาย ๆ เครื่อง แปะปุ๊บรู้เรื่อง แต่ขอเสียคือมันก็จะต้องใช้ 2 ด้าม เช่นเรามี iPad Mini จากเดิม เราใช้แท่งเดียว ได้ทั้ง Pro กับ Mini เลย ตอนนี้ก็ต้องแยกละ เปลืองเหมือนกันนะเนี่ย
โดยภาพรวม เรามองว่า Apple Pencil Pro มันก็โอเคนะ มี Feature เพิ่มเติมขึ้นมา แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การ Support Feature เหล่านั้น อาการมันจะเหมือน Dynamic Island ที่ตอนแรกอยู่แค่ใน iPhone ตระกูล Pro เท่านั้น ซึ่งมันทำให้อัตราส่วนของเครื่องที่มีในตลาดมันน้อย ทำให้การที่จะพัฒนา App มาเพื่อรองรับ มันเป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ ประกอบกับ ณ Day-1 มี App ที่รองรับ Feature ใหม่นี้น้อยมาก ๆ นอกจากพวก Procreate และ Note ของ Apple เองที่ Demo ในงานก็มี Goodnote 6 ที่รองรับการบีบ
อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เรามอบมง จอมโจร Apple มาเสมอ คือ Magic Keyboard ราคามหัศจรรย์ แต่กรูก็ยังซื้อแมร่งอยู่ดี ทำไมวะ ๆๆๆๆๆ มารอบนี้ Apple มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลาย ๆ จุดอยู่ เริ่มจากตัวกล่องที่หน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่าง เปลี่ยนแค่หน้าตาของตัว Keyboard เท่านั้นแหละ
เห็นป้ายราคาด้านล่างมั้ยครับ Keyboard สำหรับ Tablet บ้าอะไรวะ 13,990 บาท ไอ้ชิบหาย นี่แทบจะทำ Custom Mechanical Keyboard เริ่ม ๆ ได้แล้วนะ และเราอยากเน้นย้ำมาก ๆ ว่า Keyboard ตัวนี้ สามารถใช้งานได้กับ iPad Pro 13 นิ้วเท่านั้น ณ วันที่เขียนก็คือเฉพาะ iPad Pro M4 13 นิ้วเท่านั้น ใครที่ใช้รุ่นก่อนหน้า 12.9 นิ้วเห็นว่าขนาดใกล้ ๆ ซื้อมาใส่ไม่ได้นะ
เปิดฝามา เราจะเจอกับ Magic Keyboard นอนแผ่อยู่อย่างสวยงาม มีการห่อกระดาษเพื่อป้องกันรอยจากการขนส่ง เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าเป๊ะ ๆ
ตัวพื้นผิวต่าง ๆ เราลองเทียบกับ Magic Keyboard รุ่นก่อนหน้า และ Cover ยังคงให้สัมผัสเหมือนเดิม 100% ก็คือไม่เปลี่ยนวัสดุนั่นเอง
ซึ่งเดาว่า ชะตากรรมน่าจะเหมือนกับอันเก่าเราที่พอใช้ ๆ ไปสกปรกมันจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะบริเวณฝั่งด้านหลังของ Keyboard ที่เราวางบนโต๊ะ ดูจากภาพด้านบน อันขวาได้เลย มันคืออันเก่าของเราเอง เลอะไปหมดหลังจากใช้งานไป 5 ปี รู้เรื่องเลย
อีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ ข้อพับของมัน จากรุ่นเดิมจะเอาวัสดุเดียวกับส่วนอื่น ๆ หุ้มไว้ แต่ในรุ่นใหม่เอาวัสดุหุ้มบริเวณข้อพับออก ทำให้เป็นอะลูมิเนียมเปิดเลย เราคิดว่า มันไม่สวยเท่าไหร่ เวลาเราใช้งานจริงด้วยความที่มันไม่ได้มีสมดุลดีเหมือน Macbook เราจะชอบเอาข้อวางก่อน แล้วค่อยง้างออกมา ทำให้เมื่อใช้งานไป อาจเกิดรอยได้ พอเป็นสีดำยิ่งเห็นรอยชัด ทำให้เราไม่ชอบการออกแบบส่วนนี้
สำหรับ Port การเชื่อมต่อ เพื่อความบางลง เลยทำให้รุ่นใหม่เขาเปลี่ยนเป็นแนวตั้ง เทียบกับแนวนอนในรุ่นเก่า ถ้าถามเรา เราคิดว่า การทำแบบรุ่นใหม่ดีกว่ามาก ๆ เพราะ เวลาเสียบและถอดสาย เราจะต้องเอานิ้วทั้งสองมาหนีบและดึง ถ้าเป็นแบบรุ่นเก่า นิ้วนึงมันจะอยู่ติดโต๊ะ ดึงยาก แต่รุ่นใหม่พอมันเป็นแนวตั้ง เราก็หยิบง่าย ๆ นอกจากนั้นหากเสียบชาร์จ จะสามารถเสียบได้ถึง 60W เทียบกับรุ่นก่อนที่ส่งผ่านไฟได้แค่ 20W เท่านั้น ทำให้เราสามารถชาร์จเร็วพร้อมกับเสียบอุปกรณ์ที่ตัว iPad ได้พร้อม ๆ กันโดยไม่ต้องใช้ Dongle ละ
เปิดมาด้านใน จะมีส่วนที่เป็นแม่เหล็กติดกับ iPad จะเป็น Microfibre หุ้มเหมือนเดิม เพื่อป้องกันรอยที่ตัวเครื่องเรา เป็นเรื่องดีเลยทีเดียวเพราะเราคิดว่า คนที่ใช้ Keyboard ส่วนใหญ่ น่าจะไม่ติดฟิล์มกันรอยด้านหลังเครื่องกัน และ เราไม่ค่อยอยากแนะนำให้ติดด้วย เพราะมันเป็นส่วนที่ใช้ระบายความร้อน หากมีฟิล์ม มันจะทำให้เครื่องระบายความร้อนแย่ลงแน่นอน ซึ่งส่งผลเสียกับเครื่องในระยะยาว
มองผ่าน ๆ เราคิดว่า มันทำออกมาคล้าย ๆ กับ Keyboard บนกลุ่ม Macbook มาก ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ ๆ เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมแล้ว แทนที่จะเป็นพลาสติกเหนียว ๆ ทำให้เวลาเราวางมือพิมพ์นาน ๆ มันจะไม่เหนียว กับเย็น ๆ ความรู้สึกคล้ายกับ Macbook มาก ๆ
ส่วนที่ทำให้รู้สึกคล้ายกว่าเดิมคือ Key Switch เราคิดว่ามันแอบลึกขึ้นนิดหน่อย นิดเดียวเท่านั้น แต่มันให้การเปลี่ยนแปลงมหาศาลมาก ๆ กดแล้วมันรู้สึกว่า สนุกกว่าเดิม โดยรวม ถ้าชินกับลักษณะ Key ของ Macbook อยู่แล้ว มาใช้ตัวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่สิ่งที่ติคือ วัสดุของ Keycap มันเอาของ Macbook ที่เมื่อใช้ไปนาน ๆ จากที่ด้าน ๆ มันจะเงา ตอนนั้นแหละ ไม่สวยละ
อีกการเปลี่ยนแปลงที่ไปในทิศทางที่ดีขึ้นคือ การเพิ่ม Function Row สำหรับ Multifunction Control มาให้ด้วย มันทำให้เราสามารถเข้าถึงการตั้งค่าหลาย ๆ อย่างได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม ต้องเข้าใจนะว่า เมื่อก่อนการจะปรับเสียง และ ความสว่างหน้าจอบน iPad ต้องใช้ 2-3 ขั้นตอน ตอนนี้เราแค่กดทีเดียวเท่านั้นจบ
นอกจากนั้น Apple ยังเพิ่มขนาด Trackpad ให้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย ทำให้เวลาเรา ลาก Cursor มันมีอิสระกว่าเดิม เทียบกับตัวเก่าที่เราลากไปนิดเดียว อ้าวสุดแล้ว อันนี้คือดีกว่าเดิม แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้สัมผัสมากคือ รุ่นเก่ามันใช้วัสดุคล้าย ๆ กับพลาสติก จับแล้วรู้สึก Cheap มาก ๆ แต่ตัวใหม่ มันทำมาเหมือนกับ Macbook ละ ที่จะเป็นอะลูมิเนียม จับแล้วรู้สึกดีกว่ามาก ๆ การถู ๆ ก็ลื่นกว่า
โดยรวมความเห็นเรามองว่า Magic Keyboard ในรอบนี้ เป็นตัวที่พัฒนามา ให้ดูน่าลงทุนกับมันมากขึ้น คุณภาพวัสดุที่ดีขึ้น คงทนมากกว่า จับแล้วรู้สึกแพง ไม่ Cheap เหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่ถามว่า ยังรู้สึกแพงอยู่มั้ย บอกเลยว่า ใช่ ยังรู้สึกแพงอยู่ หากไม่ใช้บ่อยจริง ๆ เราไม่แนะนำเท่าไหร่ ไปลองหา 3rd Party เอาน่าจะถูกกว่า ดีกว่านี้หลายขุม
มาถึง Hero Product ในวันนี้กันแล้ว นั่นคือ iPad Pro 13-inch กล่องในรอบนี้ Background นางเริ่ดนะ เหมือนจะบอกว่า จอชั้นเนี่ย OLED มืดสนิทนะเว้ย เออ เอาเส้
ด้านข้างกล่องมีการเขียน iPad Pro เอาไว้ เหมือนรุ่นก่อน ๆ ที่ผ่านมา ตอนที่เราหยิบกล่องออกมา เราถือแล้วรู้สึกชัดเจนว่า น้ำหนักเบาขึ้นจริง ๆ ไม่แน่ใจว่าเกิดจากกล่อง หรือเครื่อง แต่เบาขึ้น
อีกด้านตามสไตล์ของ Apple ด้วยโลโก้ Apple เอง
ด้านหลังมีพวกสเปกเครื่อง โดยเครื่องที่เราเลือกมาในวันนี้เป็นความจุ 256 GB ขนาด 13 นิ้ว รุ่น WiFi เท่านั้น เป็นรุ่นเริ่มต้นของ iPad Pro 13 นิ้วเลยละ
แกะกล่องออกมา เราจะพบตัวเครื่องห่ออยู่ในซองกระดาษอย่างดี แว่บแรกจริง ๆ เรารู้สึกว่า มันใหญ่มากจริง ๆ ก็นะ ขนาดเท่า Laptop แล้วอะ มันก็ต้องใหญ่แหละ
ยกเครื่องขึ้นมา เราจะพบกับซองสำหรับใส่ Paperwork ซึ่งรอบนี้ Apple ไม่ใส่สติ๊กเกอร์มาให้นะ ใครสะสมอยู่ก็เสียใจด้วย มีแต่พวกคู่มือ และคู่มือความปลอดภัย สำหรับรุ่นที่เป็นกระจกแบบ Nano-Texture จะมีผ้า Nanofibre และคู่มือการดูแลหน้าจอมาด้วย สำหรับเราเป็นรุ่นปกติก็จะไม่มีอะไรแบบนี้
ด้านล่างจากกล่อง Paperwork เราจะพบกับสายชาร์จ และ Adapter วางไว้อย่างดี
สายชาร์จเป็นแบบ USB-C to USB-C สีตามสีเครื่อง เช่นในกรณีนี้เครื่องเราสีดำ เราจะได้สายสีดำนั่นเอง และเป็นสายถัก แบบที่เป็น Design ใหม่ของ Apple เรียบร้อยแล้ว
ส่วน Adapter ชาร์จไฟ บอกตามตรงว่า เราไม่คุ้นเคยกับ Adapter ของ Apple ที่หน้าตาแบบนี้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เราซื้อมันจะได้เป็นหัวแบน ซึ่งตอนนี้มาตรฐาน มอก. ในไทยเราบังคับให้ใช้หัวกลมเรียบร้อย เลยออกมาหน้าตาแบบนี้แหละ
ตัวเครื่องด้านหลัง ยังคงทำจากโลหะเหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่ Apple เพิ่มความสามารถในการระบายความร้อนมากขึ้น บริเวณ Logo Apple ที่เป็นโลหะ ดังนั้น อย่าเอาอะไรไปแปะเลย
จุดสังเกตที่เราเห็นคือ จุด 3 จุดบริเวณล่าง ๆ หน่อย มีขนาดใหญ่กว่ารุ่น 2018 ของเรามาก ๆ นั่นน่าจะเป็นเหตุที่ทำให้ Keyboard รุ่นใหม่นี้สามารถชาร์จไฟเข้าได้เร็วขึ้นมาก ๆ ถึง 60W และ Battery ขนาด 38.99 Wh ที่เคลมว่าสามารถดูหนังเล่น Media ได้ถึง 10 ชม จุก ๆ เลย ถ้าเราชาร์จจริง ๆ เราคิดว่า ชั่วโมงนึงก็น่าจะเต็มได้ละ
Port การเชื่อมต่อแน่นอนว่า เห็นเป็น USB-C แต่มันเริ่ดกว่านั้นมาก มันเป็น Thunderbolt และ USB4 นั่นหมายความว่า เราสามารถถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดถึง 40 Gbps ได้ พร้อมต่อออกหน้าจอได้สูงสุดอีก 1 จอเท่านั้น
กล้องเป็นส่วนที่คนถกเถียงกันเยอะมาก ที่ Apple เลือกตัดกล้องให้เหลือเพียงตัวเดียวเป็น Wide Angle ความละเอียด 12MP พร้อม LiDAR และ Flash
ตัวเครื่องมาพร้อมกับรู Microphone ที่ Apple เคลมว่าเป็น Studio Grade ที่สามารถรับเสียงได้จากรอบทิศทาง เท่าที่เราลองใช้งานดูขำ ๆ พบว่ามันให้คุณภาพเสียงที่ดีพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถามว่า ดีขนาดพวก Microphone แยกมั้ย ตอบเลยว่า ไม่ เราว่ามันเหมาะมาก ๆ กับการทำ Group Interview เอา iPad วางไว้เครื่องนึง แล้วนั่งรุมกันสัก 4-5 คน เป็น Audio Recording Solution ที่ Setup ง่ายมาก ๆ
ส่วนลำโพงก็มาให้ทั้งหมด 4 ตัว ข้างละ 2 ตัวที่สามารถให้เสียง Dolby Atmos ได้ พบว่าให้เสียงที่ดังมากพอสมควรเลยทีเดียว แต่ความใส และความชัดของเสียง ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เป็น Media Consumption Device ยามจำเป็นได้ หากมีลำโพง ก็ต่อเถอะ แต่ถ้าเอามาใช้งานพวก Video Conference ก็โอเคนะ
กล้องด้านหน้า ถูกย้ายจากด้านข้างมาเป็นด้านบนกลางจอแล้ว ทำให้เวลาเราใช้งานพวก Video Conference เราจะดูมี Eye Contact มากขึ้น จากตัวอย่างด้านบน เราเทียบกันโดยตั้ง iPad อยู่ห่างเท่ากัน ในมุมเดียวกัน แสงเท่ากัน สภาวะเดียวกันเป๊ะ ๆ พลีกายด้วยหน้าสด โดยเราจะมองเข้าไปที่ตาของตัวเองบนหน้าจอทั้งสองรูป มุมที่เราได้จาก iPad Pro 2018 มันออกเอียง ๆ หน่อย และตาเราเหมือนกำลังมองอย่างอื่นอยู่ แต่ในรุ่นปี 2024 นี้พอกล้องมันย้ายไป ตาเราดูสื่อสารกับปลายสายมากขึ้นเยอะ ทำให้บุคคลิกดูดีขึ้นมาก
คุณภาพของภาพที่ได้ น่าตกใจมาก ๆ คือ ภาพที่ได้จาก iPad Pro 2018 มันดูนวลตา Render Skin ออกมาได้ค่อนข้างเรียบเนียนกว่า ปากแดงเป็นธรรมชาติมากกว่า และที่สำคัญจัดการ Noise ได้ดีกว่ามาก ๆ กลับกัน iPad Pro 2024 นี้ ทำเรื่อง White Balance ได้ดีกว่ามาก ๆ ดูได้จากตู้สีขาวด้านหลัง และเสื้อของเรา ถ้าถามเรา เราอยากได้กล้องของ iPad Pro 2018 มาใส่ตรงกลางเหมือน iPad Pro 2024
สำหรับหน้าจอ ที่ใน iPad Pro รุ่นนี้มาเป็นแบบ Ultra Retina XDR ที่ใช้ Tendem OLED หรือพูดง่าย ๆ คือ เป็น OLED 2 Layer ซ้อนทับกัน ทำให้หน้าจอนี้มีความสว่างอยู่ที่ 1,000 nits และ 1,600 nits สำหรับ HDR Content ที่มาแบบไม่ผิดหวังเลย ความสว่างเรียกว่าดีมาก ๆ ประกอบกับเป็น OLED อีก ทำให้ ส่วนสว่าง และมืด ค่อยข้างแยกได้ดีมาก สเปกเคลมที่ 2,000,000:1 ซึ่งสูงมาก ๆ ขอบเขตสี P3 และมาพร้อมกับเทคโนโลยี ProMotion ที่ให้ Refresh Rate สูงถึง 120 Hz ทำให้การใช้งานค่อนข้างลื่นไหลตามสไตล์ของ iPad Pro
จากความสุดยอดของอุปกรณ์ที่เราเล่ามาทั้งหมดนี้ Apple สามารถแปะมันได้โดยทำให้เครื่องหนาเพียงแค่ 5.1 mm เท่านั้น ซึ่ง Apple เคลมว่าเป็นอุปกรณ์ที่เบาที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลย เบากว่า iPod Nano ซะอีก หนักเพียง 589 กรัมเท่านั้น เห็นตัวเลขน้ำหนักแล้ว ทำให้เราไม่ได้คิดไปเองละว่ามันเบาลง เพราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ คิดว่ามีประโยชน์สำหรับงานที่ต้องถือเครื่องมือเดียว เดินไปมา เช่นกลุ่มสถาปนิก และวิศวกรที่ต้องเดินไปเดินมาใน Site งาน
เราคิดว่า จาก Hardware ที่ได้มา ทั้งในเรื่องของ หน้าจอ กล้อง และลำโพง ยังไม่นับรวมกับ SoC รุ่นล่าสุดอย่าง M4 ทำให้ iPad Pro รุ่นนี้ เป็น Tablet ที่ดีตัวนึง มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงหลายจุด เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถามว่าราคาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้แพงมั้ย เรามองว่า มันไม่ได้แพงมากขนาดนั้น โดยเฉพาะหากบอกว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นสำหรับ Professional ด้วยยิ่งทำให้รู้สึกว่าราคาอยู่ในจุดที่โอเคสำหรับการซื้อมาทำงาน แต่ไม่โอเคสำหรับการซื้อมาเพื่อเขียน ๆ ใช้งานทั่ว ๆ ไปเลย
เดี๋ยวเราขอไปใช้ก่อน แล้วในตอนหน้าจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งานของ Hardware ทั้งหมดที่เราเล่ามาว่า มันแปรไปเป็นการใช้งานแบบใด ให้ประสิทธิภาพในการทำงานระดับ Professional มากน้อยแค่ไหน
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...
อีกหนึ่งรีวิวที่หลาย ๆ คนถามเข้ามากันเยอะมาก นั่นคือ รีวิวของ iPhone 16 Pro Max วันนี้เราได้เครื่องมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมารีวิวประสบการณ์การใช้งาน จับข้อสังเกตต่าง ๆ รวมไปถึงตอบคำถามที่สำคัญว่า iPhone รุ่นนี้เหมาะกับใคร...