By Arnon Puitrakul - 23 พฤศจิกายน 2024
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน
ถ้าใครที่มี iPad Mini Gen 6 อยู่ แล้วมาเจอกล่องของ iPad Mini Gen 7 เราจะเห็นได้เลยว่า กล่องหน้าตาเหมือนกันมาก ๆ เดาออกมั้ยละว่า กล่องไหนคือรุ่นไหนเดายากเลยอะดิ
กล่องนี้แหละ Gen 7 ตัวกล่องทำมาเป็นกล่องกระดาษพิมพ์เหมือนเดิมทุกอย่าง ด้านหน้ามีรูปตัวเครื่อง ถ้าเราวางแนวนอน มองดี ๆ เราจะเห็นว่ามันเขียนคำว่า Mini เพื่อบอกว่าเป็น iPad Mini นั่นเอง
ด้านข้างกล่องทำมาเหมือนกับ Apple Product อื่น ๆ มีเขียนว่า iPad Mini เพื่อบอกว่ามันคือ iPad Mini
ด้านล่างของกล่อง มี Apple Logo อยู่เหมือนกล่อง Apple ปกติ
ด้านหลังกล่องจะเป็นพวกรายละเอียดของเครื่อง
โดยเครื่องที่เรากดมาวันนี้ เป็น iPad Mini WiFi + Cellular ความจุ 512 GB ก็คือตัวสุด ๆ ไปเลยฮะ รอบก่อนใช้แล้วติดใจ รอบนี้เลยจัดเต็มสักหนึ่งไปเลย
จุดที่เราชอบสำหรับกล่องของ Apple เสมอมา ชมแล้วชมอีกเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่แกะกล่องคือ มันสามารถแกะได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ ไม่ต้องไปนั่งหากรรไกร ในการแกะเลย สามารถดึงแถบแล้วแกะออกมาได้เลย
เมื่อเปิดกล่องออกมา เราจะพบกับตัวเครื่องอยู่ในห่อกระดาษอย่างเรียบร้อย นอนรอให้เราเปิดเต็มทีแล้ว
เมื่อนำตัวเครื่องขึ้นมา เราจะพบกับ Paperworks ต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เราข้ามไป
ด้านล่างไปอีก เราจะพบกับ Adapter และสาย USB-C สำหรับการชาร์จ
Adapter ที่ได้มากำลังชาร์จ 20W เหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านิดนึงคือ เปลี่ยนเป็นหัวกลม ตามกฏหมายที่บังคับของประเทศไทยเราที่ให้ใช้หัวกลม
ส่วนสาย USB-C ที่ได้มาเหมือนเดิมทุกอย่าง เป็นสายถักสีขาว ที่บอกเลยว่าทนทานกว่าเมื่อก่อนมาก ๆ ตั้งแต่เราใช้สายแบบนี้มา เรายังไม่เจอสายขาด หรือสายพังเลย ประทับใจกว่ารุ่นก่อน ๆ ที่ใช้สายออกยาง ๆ มาก ๆ ที่อันนั้นปีเดียวไปซะละ
เรามาดูกันที่ iPad Mini พระเอกของเราในบทความนี้กันดีกว่า เมื่อเราแกะออกมา น้องเหมือนเดิมทุกอย่าง อยู่ในห่อกระดาษเนียนกริ๊บอย่างเริ่ดเหมือนเดิม
เมื่อแกะออกมาเราจะพบกับตัวเครื่องที่เนียน ไม่มีรอยใด ๆ สำหรับคนที่ได้มาลองครั้งแรกจะรู้สึกเลยว่า เครื่องมันเล็กมากจริง ๆ เพราะเครื่องนี้มีหน้าจอขนาดเพียง 8.4 นิ้วเท่านั้นเองไม่ได้ใหญ่อะไรมากขนาดนั้น ส่วน Panel เป็นแบบ Liquid Retina Display ให้ความละเอียด 2266 x 1488 ที่ 326 ppi ถือว่าสูงมาก ๆ เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นอื่น ๆ ทำให้การแสดงผลตัวหนังสือต่าง ๆ คมมากกว่านิดหน่อย เวลาอ่านหนังสือจะสบายตามากขึ้น และด้านหน้ามีกล้องความละเอียด 12MP f/2.4 ที่ไม่ได้รองรับ Center Stage แต่อย่างใด
ด้านหลังเหมือนเดิมทุกอย่าง สำหรับตัว Cellular มันจะมีเส้น ๆ อยู่ด้านบนและล่าง เป็นเสาสัญญาณ
ด้านบนของเครื่อง เป็นปุ่มสำหรับเพิ่มลดเสียง พร้อมกับลำโพง และปุ่ม Power ที่มาพร้อมกับ Touch ID ใช่ครับ iPad Mini ไม่มี Face ID เด้อ ซึ่งถามเราจากที่ใช้งานรุ่นก่อนมา พบว่า เออ Touch ID เป็นอะไรที่เหมาะมาก ๆ สำหรับ iPad Mini
ด้านขวาของตัวเครื่อง เป็น Contact Point ที่ใช้แปะกับ Apple Pencil สำหรับการชาร์จ
ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ไม่มีอะไรเลย โล่ง ๆ เราก็ยังพูดเหมือนเดิมนะว่า ทำไมไม่เอาปุ่มเพิ่มลดเสียงมาไว้ตรงนี้ เพราะส่วนใหญ่เราใช้ iPad Mini แนวตั้ง พอเราจะกดปุ่ม เราก็สับสนว่า เอ๊ะ ปุ่มนี้เพิ่มหรือลดเสียงกันแน่วะ กดผิดกดถูก ขนาดว่า เราใช้มา 2 ปีกว่า ๆ แล้ว เรายังไม่สามารถกดถูกต้อง 100% เลย
กับเราจะเห็นว่า เป็น Cellular แต่ทำไมไม่มีที่ใส่ซิม นั่นเป็นเพราะ ในรุ่นนี้ Apple ตัดไม่รองรับ SIM Card ปกติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะต้องเลือกใส่เป็น eSIM เท่านั้น ซึ่งมีปัญหากับเรามาก ๆ ตรงที่ เราใช้ไม่เยอะ เลยจะใช้ซิมเทพ ที่จะได้มาเป็นซิมปกติทำให้ เราจะต้องเอาไปที่ศูนย์ เพื่อให้เขาเปิดเป็น eSIM ให้อีกเสียเวลาชะมัดยาก !
และด้านล่างของตัวเครื่อง เหมือนเดิมคือ มีช่องสำหรับลำโพง และ Port USB-C ที่ได้รับการ Upgrade จาก USB 3.1 Gen 1 ที่ความเร็ว 5 Gbps เป็น USB 3.1 Gen 2 ที่ความเร็ว 10 Gbps เรียกว่าเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัวเลยทีเดียว ทำให้สามารถ ส่งผลกระทบไปถึงคนที่จะต้องมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ ๆ ตลอดเวลา เช่นกลุ่มคนที่ตัดวีดีโอไฟล์ขนาดใหญ่ ๆ หรือคนที่แต่งภาพบน iPad ก็จะทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นมาก
หนึ่งในปัญหาที่ผู้ใช้ iPad Mini Gen 6 จำนวนมาก รวมถึงเราพบก็คือ Jelly Scrolling หรือภาษาไทยเราเรียกกันบ้าน ๆ ว่า อาการจอย้วย จะเจอเยอะมากเวลาเราปัดหน้าจอซ้ายขวา ตัวอย่างการใช้งานที่ทำให้เราเห็นชัด ๆ คือเวลาเราเลื่อนหน้าบน Home Screen อาการที่เราพบ เหมือนกับจอเรามันขยับไปไม่พร้อมกัน ทำให้เวลาเรามองมันจะเหมือนหน้าจอมันเด้ง ๆ เขาเลยเรียกว่า Jelly Scrolling นั่นเอง เราไม่แน่ใจว่าเหตุผลมันเกิดจากอะไร แต่สื่อต่างประเทศตอนนั้นให้เหตุผลว่า มันน่าจะเกิดจากการวางชิ้นส่วนจอที่ผิดพลาดของ Apple
ประเด็นสำหรับเราคือ อีกสถานการณ์ที่เราเจอคือ เวลาเราจะเลื่อนหน้าเวลาอ่าน E-book ซึ่งเราอ่านเกือบทุกวัน ทำให้เราเห็นเรื่องแบบนี้ทุกวันบางทีมันก็แอบรำคาญตอนมันเห็นเหมือนกัน
แต่ตอนนี้เท่าที่เราได้ทดลองใช้งานมา เราไปในทางเดียวกับสื่อต่างประเทศที่พบว่า อาการ Jelly Scrolling นั้นได้หายไปแล้ว หรือไม่ก็ยังไม่เจอก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ในส่วนของขุมพลังการประมวลผลทั้งหมด Apple เป็นเรื่องที่ดีมาก ที่ Apple เลือกใส่ A17 Pro ตัวเดียวกับที่อยู่บน iPhone 15 Pro และ Pro Max หรือก็คือย้อนกลับไป 1 Generation (ณ วันที่ออก เรามี A18 Pro ที่อยู่ใน iPhone 16 Pro และ Pro Max แล้ว)โดยที่มี CPU 6-Core แบ่งเป็น 2 Performance และ 4 Efficiency Core แต่ส่วนที่แตกต่างจาก iPhone 15 Pro นิดหน่อยคือ จำนวน GPU จาก 6 กลายเป็น 5 Core เราเดาว่า ไม่น่าเกี่ยวกับเรื่องการใช้พลังงาน และ ความร้อนแน่ ๆ เพราะ iPhone 15 Pro เล็กกว่าทั้งในเรื่องขนาดเครื่องและแบตเอง เราเลยคิดไปถึงเรื่องต้นทุนมากกว่า
ขนาด GPU หายไป 1 Core แต่ Apple เคลมว่า CPU เร็วกว่ารุ่นก่อน 30% และ GPU เร็วกว่ารุ่นก่อน 25% ที่สำคัญคือ A17 Pro รองรับพวก Ray Tracing, Dynamic Caching และ Mesh Shading ทำให้สามารถเล่นเกมคุณภาพสูงขึ้นได้ อย่างน้อยเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน คิดว่าน่าจะทำให้เห็นผลมาก ๆ สำหรับคนที่เล่นเกมบน iPad Mini เครื่องนี้ ซึ่งเราคิดว่า คนกลุ่มนี้น่าจะมีไม่น้อยเลยละ
อีกจุดที่เพิ่มเข้ามาภายในคือ RAM จากรุ่นก่อนหน้าให้มาเพียง 4 GB แต่รุ่นใหม่นี้เพิ่มเข้ามาเป็น 8 GB เท่าตัวเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเข้าใจว่า เพราะต้องการให้ใช้ Apple Intelligence ได้ แต่สำหรับประเทศเราน่าจะอีกนานกว่าจะได้ใช้ภาษาไทย แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราใช้ได้ในวันนี้คือ App ที่กิน Memory เยอะ ๆ อย่างพวกการตัดวีดีโอ และการแต่งภาพต่าง ๆ ทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน รวมไปถึงการเปิด App ทิ้งไว้ โอกาสที่มันจะโดนปิดมีน้อยลงแน่นอน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ถึงแม้ว่าเราจะยังใช้ Apple Intelligence ในประเทศไทยไม่ได้ก็ตาม
เราทดลองเอามา Develop รูปผ่าน Photomator โดยใช้ RAW File จากกล้อง Sony A7IV พบว่าเวลาเลื่อนพวกค่าต่าง ๆ มันทำได้ลื่นกว่า iPad Mini Gen 6 มาก ๆ จนแทบจะเรียกว่า มันใช้งานได้จริง ทำงานได้จริงแล้วละ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับเรา ที่จะได้เลิกพก iPad Pro เวลาไปออกทริปถ่ายภาพสักที
กล้อง ยังมา 1 ตัวเหมือนเดิม ที่ความละเอียด 12MP f/1.8 พร้อม True Tone Flash เหมือนเดิมทุกประการ แต่เพิ่ม AI เข้ามาเช่นเดียวกับที่ใส่มาให้ใน iPad Pro M4 ที่ทำให้ช่วยลบเงาเวลาเราถ่ายเอกสารแล้วมีเงาบัง ด้วยการใช้ True Tone Flash ค่อย ๆ ถ่ายภาพหลาย ๆ ภาพแล้วเอามาต่อด้วยกัน ทำให้ได้การสแกนเอกสารที่มีคุณภาพสูง ไม่มีเงา และแสงสะท้อนเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ดังนั้นด้วยกล้องที่เหมือนเดิม คุณภาพไม่น่าจะแตกต่างอะไรกับรุ่นก่อนหน้า และเท่าที่เราทดลองถ่ายภาพออกมา ก็พบว่า มันไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แต่เอาเข้าจริง น้อยมากที่เราจะเอา iPad Mini มานั่งถ่ายรูปกัน แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นถ่ายเอกสารกันมากกว่า ซึ่ง Apple ก็ตอบสนองต่อเรื่องนี้ด้วยการใส่ AI สำหรับสแกนเอกสารเช่นเดียวกับที่ใส่มาใน iPad Pro M4 ทำให้เราสแกนเอกสารได้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
จากตอนที่เราเล่าเรื่อง iPad Mini ไป เราพึ่งรู้เลยว่า มีคนเอา iPad Mini เครื่องเล็ก ๆ เท่านี้มาใช้วาดรูป แต่ก็มีมากกว่าที่เราคิด มาในรุ่นนี้ Apple เลือกที่จะให้มันรองรับ Apple Pencil Pro ด้วย เป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า Apple จะยอมอะไรแบบนี้ด้วย นั่นทำให้ iPad Mini สามารถรองรับ Feature ทั้งหมดของ Apple Pencil Pro ได้อย่าง การบีบ, การหมุน และการ Hover ได้เหมือนที่ทำได้บน iPad Pro M4 ทุกอย่างเลย หรือถ้าใครไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเอา Apple Pencil Pro มันยังรองรับ Apple Pencil USB-C ด้วยเช่นกัน
โดยรวมเรื่องนี้เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่ Apple ยอมให้รองรับ Apple Pencil Pro ทำให้กลุ่ม Artist ที่อาจจะชอบออกไปวาดภาพนอกบ้านบ่อย ๆ แล้วไม่อยากจะพบ iPad เครื่องใหญ่ ๆ ได้เปิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานอีกเยอะมาก ๆ
อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะเริ่มเกิดคำถามว่า มันถึงเวลาที่เราควรจะ Upgrade มาใช้ iPad Mini รุ่นใหม่นี้หรือไม่ ส่วนตัวเรามองว่า หากเราเอามาใช้งานทั่ว ๆ ไปอ่านหนังสือ หรือดูวีดีโอ งานที่มันไม่ได้ใช้ Performance เยอะ เรามองว่า ยังไม่จำเป็นต้อง Upgrade ก็ได้ แต่ถ้าเรามีความต้องการในการเอามาเล่นเกมที่กินทรัพยากรมาก ๆ หรือเอามาวาดภาพจริงจัง เรามองว่าการ Upgrade เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
รวมไปถึงคนที่ใช้รุ่นก่อนหน้าแล้วบอกว่า แบตเริ่มเสื่อมแล้ว ขนาดเราเองที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่ Day 1 ใช้มา 2 ปีเท่านั้นเอง ปรากฏว่า แบตเราเริ่มมีอาการเสื่อม ใช้งานได้สั้นลงไปกว่าตอนที่เขียนรีวิวอยู่มากพอสมควร
หลังจากการรอคอยมา 3 ปี เรากลับผิดหวังมาก ๆ ที่พอมันออกรุ่นใหม่มา มันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากเท่าไหร่ มาด้วยหน้าตาม ตามที่คนชอบพูดกันว่า Apple ชอบใช้โมลเดิมจนกว่าจะแตก ก็น่าจะแบบนั้นแหละ ส่วน Feature ที่เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นนี้ ส่วนใหญ่เราคิดว่า มันเป็นการอัพเกรดเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยมกันมากขึ้น เช่น WiFi จาก WiFi 6 เป็น 6E และ USB-C ที่เพิ่มความเร็วเป็น 10 Gbps แต่มันกลายเป็นว่า แค่การอัพเกรดสเปก มันกลับปลดล๊อคความเป็นไปได้ใหม่ ๆ การใช้งานใหม่ ๆ เยอะมาก
สำหรับใครที่กำลังอยากได้ เราก็มองว่า เป็นเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน เพราะ Apple ใช้ราคาเท่าเดิม แต่เพิ่มความจุเริ่มต้นเป็น 128 GB แถม RAM และ SoC ที่เร็วแรงส์ขึ้นอีก ทำให้เป็น iPad Mini รุ่นที่น่าเย้ายวนที่สุดรุ่นนึง
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...