By Arnon Puitrakul - 01 มิถุนายน 2022
iPad Mini เป็น iPad ที่ตอนเราเห็นครั้งแรกคือ เห้ย มันน่ารักนะ แต่... ถ้าเรามีงบกด iPad สักเครื่อง iPad Mini มันไม่น่าจะเป็นตัวเลือกเลย เพราะขนาดที่เล็กมาก ๆ เวลาเราเขียนอะไรมันก็ยากด้วยแหละ เอา iPad Air หรือ iPad ปกติอาจจะดีกว่าเพราะขนาดที่ใหญ่กว่า แต่จะบอกว่า พอมาใช้จริง เข้ เข้าใจแล้วว่าทำไม เราจะต้องหลงรักมัน มันเปิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการใช้ iPad เยอะมากที่ถ้าเราใช้ iPad รุ่นอื่นเราจะไม่ได้สัมผัสมันเลย จะเป็นยังไง เราลองไปดูในรีวิวนี้กัน
เรามาเริ่มจากการแกะกล่องกันก่อนเลย ณ วันที่ถ่าย เป็นช่วงที่ Apple บอกว่าจะรักษ์โลก อุปกรณ์หลาย ๆ อย่างไม่ได้หุ้มพลาสติก แต่แน่นอนว่าสำหรับ iPad Mini นั้นก็ยังมีพลาสติกหุ้มอยู่
แต่ความดีงามอย่างที่เราบอกในทุก ๆ รีวิวของ Apple คือ เขาทำมาเป็นแบบ Tooless จริง ๆ นะ โดยที่จะมีแถบสำหรับดึงมาให้เราแกะพลาสติกออก
กลับมาที่หน้ากล่องกัน รูปแรก เราอาจจะไม่ได้คิดอะไนะ แต่พอเราเปลี่ยนมุมมอง อ่อ มันเป็นตัวเขียนคำว่า Mini ที่มาจาก iPad Mini นี่หว่า...
ด้านข้างกล่อง ก็ทำมาตามฉบับปกติเลยคือมีการพิมพ์ว่า iPad Mini ไว้เพื่อบอกว่า อ่อนี่คือ iPad Mini แหม่ดูกล่องก็น่าจะรู้แหละ ฮ่า ๆ
และที่ด้านหัวท้าย ก็จะมีการพิมพ์ Logo Apple ไว้เรียกได้ว่าเป็นกล่องแบบทั่ว ๆ ไปของ Apple ที่ใช้มานานแล้วก็ว่าได้
ส่วนด้านหลังของกล่อง ก็จะเป็นพวก Specification ของ iPad โดยที่รุ่นที่เราเอามารีวิวในวันนี้คือ iPad Mini Gen 6 WiFi ขนาด 64 GB เท่านั้น จริง ๆ มันมีรุ่นที่เป็น 5G ด้วยนะ ลองหากดดูได้
เมื่อเราเปิดกล่องมา เราจะเจอกับตัวเครื่องวางอยู่อย่างสวยงามเลย เรื่องนึงที่อะ โอเค Apple ตอบรับกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นคือ การใช้วัสดุหุ้มตัวเครื่องเป็นกระดาษ ที่เมื่อก่อนเลยนานแล้วใช้เป็นพลาสติกขุ่น ที่เอาจริง ๆ นะ สำหรับสายสะสมอะ ตัวพลาสติกมันอยู่นานจริง ๆ นะ
เมื่อเราเอาเครื่องออกมา เราจะเจอกับกล่องพวก Paperwork ต่าง ๆ ที่เหมือนเดิมเลยคือมีการพิมพ์ไว้ด้วยว่า Designed by Apple California ตามแบบฉบับของ Apple มานาน
สำหรับภายในกล่องที่ใส่ Paperwork ก็จะมาเหมือนเดิมเลยในนั้นก็จะมีพวกคู่มืออะไรพวกนั้นเหมือนปกติ และที่สำคัญสติ๊กเกอร์ Apple ด้วย แน่นอนว่าเป็นสีขาวเด้อ
แต่ ๆ อันนี้ทำมาเหมือนตอน Macbook Pro เลย ถ้าเราดูดี ๆที่กล่อง มันจะมีการทำให้มีหลุมนิดหน่อยเพื่อรับกับกล้องของตัวเครื่องนั่นเอง
Apple ตัดพวก Adapter ไปหลายรุ่นแล้ว แต่ใน iPad Mini เอง Apple ก็ยังเลือกที่จะใส่ให้มาอยู่นะ คืออ้างว่าสิ่งแวดล้อมแต่จริง ๆ ก็แหม่ ฮ่า ๆ
สำหรับ Adapter ที่แถมมาตอนนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น Adapter ที่เป็นหัวแบบชาร์จเร็วแล้ว โดยที่จะเป็นหัวแบบ USB-C หมดแล้ว เอาจริง ๆ ดีหน่อย เปลี่ยนเถอะ อย่าเอา USB-A มาชาร์จอุปกรณ์ใหม่ ๆ เลย มันไม่ทันกิน ตัวนั้นน่าจะ 5W ได้มั้ง ตัวนี้ 20W ก็คือจ่ายไฟเร็วกว่า 4 เท่าเลยคือดีย์มาก กับเราสามารถเอาไปชาร์จพวก iPhone ได้ด้วยนะ
ส่วนสายแน่นอนว่า ก็จะมาเป็น USB-C to USB-C เลยเป็น Apple Device ที่ยอมเปลี่ยนมาใช้ USB-C เหมือนคนทั้งโลกเขาสักที หลัก ๆ ในกล่องก็จะมีเท่านี้เลย ตามสไตล์ของ Apple แหละ ที่จะไม่แถมอะไรมาเยอะเลย ที่เหลืออยากได้ไปซื้อเพิ่มเองเสะ มันน่าจะพูดแบบนั้นแหละ
เรามาแกะตัวเครื่องดีกว่า อย่างที่เห็นเขาก็จะต้องใส่กระดาษมาเพื่อกันรอยนั่นเอง
แกะตัวเครื่องออกมา เราจะเห็นเลยว่า มันเล็กมาก ๆ เมื่อเทียบกับมือของเรา เพราะมันมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 8.4 นิ้วเท่านั้นเอง เล็กมาก ๆ แต่ ๆ ถ้าเราลองดูที่กล้องด้านบน เราจะเห็นว่า มันเป็นแค่กล้องปกติเลย ไม่ได้มาเป็น Panel สำหรับการใช้งาน Face ID แต่อย่างใด ดังนั้น ก็หมดสิทธิ์นาจา
แต่ตัวเครื่องก็ทดแทนด้วยการกลับมาใช้ Touch ID แทนที่ปุ่มด้านขวาสุดสีขาว ๆ ทำให้ปุ่มเขาเลยจะต้องทำมาเป็นแบบ เงา ๆ ขาว ๆ หน่อย อันนี้อาจจะเป็นรอยขนแมวได้ง่ายหน่อยก็ระวัง ๆ กันก็จะดี ตรงกลาง ก็จะเป็นรูสำหรับลำโพงทั้งหมดเลย แต่อันที่แปลกสุดคือ ปุ่มทางด้านซ้ายมือสุดเลย ทั้ง 2 ปุ่มเป็นปุ่มสำหรับการเพิ่ม และ ลดเสียง ห่ะะะะ มันเอามาทำอะไรด้านบนเครื่อง ไม่เคยเห็นใช่มั้ยฮ่ะ ว่ามันมีปุ่มเพิ่มลดเสียงอยู่ด้านบนเครื่องด้วย อันนี้บอกเลยว่าแปลก
ส่วนด้านขวาของตัวเครื่องก็จะเป็น Contact Point สำหรับการเอา Apple Pencil มาวางชาร์จได้เลย เหมือนกับ รุ่นพี่อย่าง iPad Air และ iPad Pro ไปเลย แน่นอนว่า ด้วยขนาดเครื่องเท่านี้ ยาวเท่าปากกาไปเลยฮ่า ๆ
อีกด้านนึงก็ไม่มีอะไร คือ งง นะว่า ทำไมพี่ไม่เอาปุ่มเพิ่มลดเสียงมาไว้ฝั่งนี้ ปล่อยให้มันโล่ง ๆ แล้วใช้แล้ว งง เนี่ย
ท้ายสุด ก็อย่างที่เล่าไปก่อนหน้าแล้วว่า iPad Mini เป็นรุ่นที่รองรับ USB-C เรียบร้อยแล้ว ทำให้เราสามารถเสียบเพื่อชาร์จ และ โอนถ่ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงคนที่ใช้ iPad เป็นเครื่องทำงานหลัก ก็สามารถเสียบเข้ากับ Dongle เพื่อต่อออกจอ, Mouse และ Keyboard ได้ด้วย
ตัว iPad Mini มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 8.3 นิ้ว ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า เห้ยมันเล็กมากเลยนะ เราจะซื้อมาทำไม เอาจริง ๆ เราก็คิดแบบนั้นแหละ ไหน ๆ เราจะซื้อ iPad เสียเงินขนาดนั้นแล้ว ทำไมเราจะต้องซื้ออะไรแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเลยนะ มันเจ๋งมาก ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารัก iPad เครื่องนี้มาก
ตัวขนาด ถ้าเราจับตัวเครื่องจริง ๆ เราสามารถถือมันได้ด้วย 1 มือแบบง่าย ๆ เลยนะ สำหรับมือเราที่อาจจะใหญ่หน่อย เราสามารถที่จะจับโดยที่ เอานิ้วโป้งเกี่ยว กับนิ้วกลาง และนางได้เลยนะ ทำให้เวลาเราใช้งานแบบเร็ว ๆ เราว่ามันก็ง่ายมาก ๆ
หรือเราอาจจะถือแบบปกติเลย มันก็มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก ทำให้เวลาเราถือใช้งานนาน ๆ หน่อย เราจะไม่รู้สึกเมื่อยเร็วเท่ากับ iPad Air หรือ Pro เลย พวกนั้นเราว่าต้องวางใช้งานมากกว่านะ
ขนาดที่เล็กของมันทำให้ มันเปิดความเป็นไปได้ในการใช้งานใหม่ ๆ ได้เยอะมาก ๆ อันแรกที่เราว่า iPad Mini มันครองใจคนเลยคือ การเอามาอ่านหนังสือ อันนี้คือเออ ดีมาก ๆ จับง่ายแล้วเหมาะกับการที่เราอ่านไปเรื่อย ๆ ได้แบบกำลังดีเลย ไม่ต้องกวาดสายตาไปมาอะไรเยอะแยะเลย
อีก Application นึงคือ เราเอามาทำเป็นหน้าจอที่ 2 บนรถ เราก็จะเปิด Google Maps แล้วเปิด Spotify ข้าง ๆ เลย ถ้าเราเอาดี ๆ เลย แนะนำว่า ให้เราต่อ Bluetooth เข้ากับรถได้เลย มันก็จะทำให้เพลง และเสียงสำหรับการนำทางออกผ่านลำโพงรถได้เลย ชอบมาก ๆ
เพราะถ้าเราใช้ iPad Air หรือ Pro เลย จากรูปเป็น iPad Pro 11-inch 2018 เมื่อเราเอามาวางบน ORA Good Cat เราว่ามันแอบบังทัศนวิสัยเวลาเราขับเยอะไปหน่อย แต่ถามว่าใช้งานได้มั้ย มันก็ได้แหละ แต่การใช้หน้าจอที่เล็กกว่า บังน้อยกว่า ก็ทำให้การขับขี่ปลอดภัยกว่าแหละ
และสุดท้าย ถ้าใครเป็นสายชอบเล่น iPad บนเตียง ถ้าเราใช้งานพวก iPad Air และ Pro เวลาเราเล่น เราอาจจะพบว่า ขนาดของมันแอบใหญ่ไปหน่อย ทำให้เวลาเรานอนเล่นอะไรมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ทำให้บางคนก็จะหันไปเล่นโทรศัพท์แทน แต่เอาจริง ๆ นะ โทรศัพท์บางทีอ่านอะไรก่อนนอนมันก็จะเล็กไปหน่อยแหละ แต่พอมาเจอ iPad Mini คือ แมร่ง ใช่ ใช่จริง ๆ ชอบเลย
อย่างที่บอกว่า iPad Mini มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 8.3 นิ้ว เป็นแบบ Liquid Retina Display ที่เอาจริง ๆ เลยนะ หลาย ๆ คน ที่ใช้ Apple Device อยู่แล้วก็น่าจะรู้ดีกว่าคุณภาพของ Panel ที่ Apple เอามาใช้นั้น มันคุณภาพดีเลยละ
ตอนเราใช้งานครั้งแรกเปิดขึ้นมา เราเอ๊ะก่อนเลยนะว่า เห้ย เด่วนะ ทำไมตัวหนังสือมันคมมาก ๆ เลยละ มันคมกว่าบน Macbook Pro 14 นิ้ว และ iPad Pro 11-inch 2018 ที่เราใช้อยู่เยอะมาก ๆ จนไปดูสเปก ก็คือ มันเป็นหน้าจอที่รันบนความละเอียด 2266 x 1488 Pixel ดังนั้นถ้าคิดออกมา มันก็คือ 326 ppi ห่ะะะ !!! จริงเดะ ถ้าเราไปเทียบกับ Macbook Pro 14-inch ที่เราใช้งานอยู่นั่นแค่ 254 ppi เอง เลยเดาว่า น่าจะทำให้มันดูคมกว่าเยอะเลยละ
ในเรื่องของสีของ ก็มาพร้อมกับขอบเขตสีกว้าง P3 ที่ให้สีที่ใช้ได้เลยละ ไม่แพ้กับ iPad รุ่นอื่น ๆ เลย ทำให้เราสามารถดู Content ได้แบบเต็ม ๆ สีเลยละ พร้อมกับรองรับ Dolby Vision
ความสว่างของหน้าจอเอง ก็ให้มาที่ 500 nit ถือว่าเท่ากับพี่ ๆ อย่าง iPad Air เลย หรือจริง ๆ มันคือ Panel เดียวกันแต่เปลี่ยนขนาดเหรอ ไม่รู้แฮะ ถามว่า ในการใช้งานมันโอเคมั้ย เรามองว่ามันโอเคเลยนะ ความสว่างขนาดนี้ การอ่าน และ ใช้งานในภายในห้องต่าง ๆ เราว่าไม่ใช่ปัญหา
แต่อันที่ทำให้เรารู้สึกโอเคมาก ๆ คือ เมื่อมันทำงานกลางแดดหน่อย ๆ อย่างในรถที่เราเอาไปวาง เราติดฟิล์ม 80 เลย คือ แสงผ่านได้ 20% เท่านั้น ขนาดกลางวัน กลางแดดประเทศไทย เรายังมองเห็นจอได้ชัดอยู่เลย ดังนั้นเรามองว่า การใช้งานของเรา ความสว่างเท่านี้ตอบโจทย์เราละ
และสำหรับคนที่ใช้งาน iPad Pro และ iPhone 13 ทั้งหลายที่มี ProMotion อยู่แล้วมาใช้ ก็อาจจะหงุดหงิดไปหน่อยนะ เพราะมันจะรู้สึกว่าแลคมาก ๆ แต่จริง ๆ คือมันปกติ แค่พวกเรามันชินกับ 120 Hz แค่นั้นแหละ เพราะ iPad Mini หน้าจอมันแสดงผลอยู่ที่ 60 Hz เหมือนหน้าจอปกติทั่ว ๆ ไปในท้องตลาดเลย เราแมร่งใช้ของดีเกินไปจนชิน
เรื่องเสียงเราว่า น่าจะเป็นจุดอ่อนของ iPad Mini เครื่องนี้เลย ถึงมันจะมาพร้อมกับลำโพงสเตอริโอแล้วนะ ที่ถ้าเราเปิดใน Netflix บน Content ที่มี Dolby Atmos เราเปิดใน iPad Mini มันไม่มีสัญลักษณ์ขึ้นเลยนะ เลยคิดว่า มันน่าจะไม่รองรับละมั้งนะ
ในเรื่องของความดังกันก่อน เรื่องนี้คือเป็นจุดอ่อนที่สำคัญเลย แต่เราต้องเข้าใจก่อนนะว่า ด้วยความที่ตัวเครื่องมันเล็ก เลยทำให้ลำโพงก็ต้องเล็กลงด้วย ดังนั้น เราจะไปหวังให้มันดังเท่ากับตัวใหญ่ ๆ เลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไหร่ ดังนั้น ถ้าใครที่อยากจะซื้อมาใช้งาน เราว่า คือ อย่าไปคาดหวังกับความดังเลย
ในส่วนของเนื้อเสียงต้องบอกเลยว่า แห้ง ชิบ หาย แห้งจนต้องร้องขอชีวิตเลยละ เราว่า ถ้าใครที่หวังคือ พักก ถ้าไม่หวังจะไม่ผิดหวังนะบอกเลย อันนี้เราเข้าใจได้ เพราะขนาดแหละ แต่เรื่องที่เราว่าลำโพงนี้มันจะดีคือ เมื่อเราเอาไปฟังพวก Vocal ทั้งหลายอย่างการฟัง Podcast และ Video Call เพราะเสียงมันออกใส ๆ อยู่นะ ย่านกลางมันทำได้โอเคเลย ฟังพวกเสียงพูด เราว่า ไม่มีปัญหาเลย
iPad Mini รุ่นนี้ เป็น iPad ที่ยังคงใช้งาน Touch ID อยู่ที่จะแตกต่างจากฝั่งของ iPad Air และ iPad Pro ที่ขยับไปใช้ Face ID กันไปแล้ว โดยที่ Sensor มันจะอยู่ที่ปุ่ม Power เลย เอาจริง ๆ เลยนะ ฟิล มันก็คือ Sony Xperia ที่เราเคยใช้งานเลย ฮ่า ๆ แค่มันอยู่ข้างบนแทนที่จะเป็นข้าง ๆ เท่านั้นแหละ
ส่วนตัวเรา ก็ยังชอบ Touch ID อยู่นะ มันเป็นเทคโนโลยีที่เราใช้กันมาหลายปีมาก ๆ แล้ว และเรามองว่า มันถึงจุดอิ่มตัวที่มันสามารถใช้งานได้จริง ๆ แล้วแบบเสถียร ๆ เลย โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เราจะต้องใส่ Mask ซะเยอะ การใช้ Touch ID มันเลยเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก ๆ ไม่ต้องไปหาทำ Overengineered ทำ Face ID ที่สแกนผ่าน Mask ได้บ้างไม่ได้บ้าง
Touch ID ที่อยู่มานาน พอมาอยู่บน iPad Mini ตัวนี้ เรื่องของความเร็ว ไม่ต้องกังวลเลย มันสามารถกดปุ๊บมาปั๊บเลย แต่ ๆ สำหรับคนที่ใช้ Face ID กันมาก่อน ถ้าเรากลับมาใช้ iPad Mini เราจะแปลก ๆ นิดนึง เพราะปกติเวลาเรายกอุปกรณ์ของเราขึ้นมา มันก็จะปลดล๊อคแล้วเราก็เลื่อนขึ้นได้เลย แต่พอมาเป็น Touch ID วิธีคือ เราจะต้องเปิดหน้าจอมาก่อน อาจจะเกิดจากการกดปุ่ม Power หรือแตะที่หน้าจอ แล้วเราถึงจะเอานิ้วไปวางบน Sensor มันถึงจะปลคล๊อค แรก ๆ เราว่ามันจะไม่ชินเท่าไหร่ เหมือนกับตอนเราขยับจาก Touch ID เป็น Face ID ใหม่ ๆ แหละ เราว่า ไม่น่าจะเป็นปัญหากับการใช้งานนะ
จากเดิมที่แอบ งง ๆ ว่าใครมันจะซื้อตอนแรก พอมาใช้จริง ๆ แล้ว อ้าว รักส์เลย ดีมาก ๆ เลยนะ ด้วยขนาดที่เล็กกว่าพี่ ๆ เขา ทำให้มันเอาไปทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างที่ต้องการขนาดที่เล็กหน่อย แต่ก็ใหญ่กว่า iPhone เช่นเราเอามาใช้เปิดแผนที่บนรถ ก็ทำได้ดีเลยทีเดียว ขนาดกำลังดี หรือจะเอามาเล่นเกมที่เตียงก่อนนอน ก็เป็นขนาดที่ดีใช้ได้เลย จับนาน ๆ แล้วไม่เมื่อยมาก ไม่ต้องหยีตาดูเลย ถ้าจะติด เราว่าน่าจะแค่เรื่องของ ลำโพง แหละที่มันแอบให้มาแย่ไปหน่อย เข้าใจได้ว่าเล็ก แต่เราว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้หน่อยจะดีมาก ๆ ซึ่งก็แก้ปัญหาด้วยการเสียบหูฟังเอาน่าจะง่ายกว่าเยอะ รวม ๆ เราว่าเป็น iPad ที่เราชอบมาก ๆ
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...