By Arnon Puitrakul - 31 พฤษภาคม 2016
วันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราได้ โดดงาน ไปดูหนัง ซึ่งเป็นเรื่องที่อยากดูมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปดูสักที วันนี้ก็ได้ไปดูมาแล้ว กับเรื่อง If Cats Disappeared From The World หรือชื่อภาษาไทย มิ้ง ๆ ว่า ถ้าแมวตัวนั้นหายไปจากโลกนี้ เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของ Genki Kawamura แน่นอนว่า หนังมาขนาดนี้ ต้องมีหนังสือแปลมาด้วยแน่นอน ซึ่งผมยังไม่ได้ซื้อมาอ่านเลย ไว้เดี๋ยวจะซื้อมาอ่านแน่นอน !!
กับรีวิวเรื่องนี้ ไม่รู้จะเขียนยังไงดีเลย ไม่รู้จะอธิบาย อารมณ์ และ ความรู้สึกที่ค้างจากหนังยังไงดีเลย ตอนนั่งดู จู่ ๆ น้ำตาก็เอ่อออกมาเอง แบบไม่รู้ตัวเลย (นี่คือขั้นกว่า ของการร้องไห้ธรรมดาอีกนะ) ไม่คิดว่าหนังตะวันออกจะทำ Damage กับอารมณ์ได้ขนาดนี้ ตอนนี้กำลังเขียนด้วยน้ำตาเลยนะ ! (มันซึ้งขนาดนั้นอะ)
If Cats Disappeared From The World เป็นหนังที่เล่าถึงชีวิตของบุรุษไปรษณีย์กับแมวของเขาที่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข อยู่ดี ๆ ก็ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองซะงั้น และเขาเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะมีชีวิตอยู่ แต่จู่ ๆ ก็ดันมียมทูตโพล่ออกมาและบอกว่า "เราจะให้ชีวิตเพิ่มอีก 1 วันแลกกับของ 1 อย่างที่จะหายไปจากโลกนี้ โดยที่เราเป็นคนกำหนดของที่จะหายไป" จุดที่ผมว่า มันสุดยอดมากคือ เมื่อของมันค่อย ๆ หายไปทีละสิ่งเพื่อแลกกับลมหายใจ สิ่งของเหล่านั้นไม่ได้หายไปเปล่า ๆ แต่มันมีความเกี่ยวข้องความทรงจำกับพระเอกทั้งนั้น ทำให้มันค่อย ๆ สอนให้พระเอกค่อย ๆ เข้าใจคุณค่าของสิ่งของนั้น ๆ จนสุดท้ายเขาก็เข้าใจคุณค่าของของสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ นั่นคือ คุณค่าชีวิต ของเขา
จริง ๆ ถ้าเราสังเกตดี ๆ นะ ว่าเนื้อเรื่องมันโคตรญี่ปุ่นเลย ที่มักเล่นกับอะไรที่เราเห็นในชีวิตประจำมันของเรา บิดนิดหน่อย ผสมแฟนตาซีลงไปนิด และชอบเล่นแง่ สอนเราหลาย ๆ เรื่อง นี่ใช่เลย ! ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน (ก็นี่มันหนังญี่ปุ่นป่ะวะ !?) เขาใช้เรื่องของการใช้ชีวิตของบุรุษไปรณีย์คนหนึ่งที่กำลังจะตาย มาผสมกับ ยมทูตที่จะให้ชีวิตอีก 1 วันโดยแลกกับการหายไปของ ของ 1 ชิ้น และ จิตนาการเมื่อของชิ้นนั้นมันได้หายไป มันเกี่ยวข้องอะไรความคนรอบข้างของเรา และสถานที่ต่าง ๆ ชอบอยู่ฉากนึงที่ ทำให้หนังหายไป และร้านเช่าหนัง กลายเป็นร้านขายหนังสือ เพื่อนที่เรารู้จักเพราะหนังก็กลับกลายเป็นคนไม่รู้จักไป
ผมนั่งดูตั้งแต่วินาทีแรกที่หนังฉาย จนจบเครดิตเลย ความเศร้า ความเหงา ความสุข ความรัก และความหวัง (อะไรมันจะเยอะขนาดนั้น !) มันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดตอนที่ขึ้น BTS กลับ จะบอกว่าตอนนั่งดูคือ นั่งร้องไห้หนักมาก เท่าที่จำความได้มีหนังอยู่ 2 เรื่อง (รวมเรื่องนี้แล้วนะ) แต่นั่งดูแล้วร้องไห้โฮ่ในโรงหนังขนาดนี้นั่นคือ Doraemon Stand By Me กับเรื่องนี้แหละ การเล่าเรื่อง และปมต่าง ๆ ของตัวพระเอก ที่เมื่อเผยออกมาก็ทำให้เห็น ไม่สิ รู้สึกถึงความรู้สึกทั้งของ พระเอก และของแม่ของเขาด้วย นอกจากการเล่าเรื่องและพล๊อตเรื่องที่ดีแล้ว ยังมีการพูดถึงหนังเก่า ๆ ด้วย
If Cats Disappeared From The World เป็นหนังแมวจริง ๆ แต่แต่ไม่ใช่ทั้งหมด จริง ๆ แล้วเป็นหนังที่สอนเรื่องของ "คุณค่าของชีวิต" ได้ดีมาก ๆ ตอนแรกพระเอกอาจจะไม่เข้าใจ และบอกว่า วัน ๆ เราก็ทำเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อวันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นได้หายไป ทำให้เขาเข้าใจว่า
"มันไม่เกี่ยวว่าเวลามีน้อยมีมาก สุดท้ายมันก็ต้องหายไปตามกาลเวลา แต่มันอยู่ที่เราใช้ชีวิตได้พอใจกับมันหรือยัง"
ผ่านการเล่าเรื่องถึงปมความสัมพันธ์ต่าง ๆ ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว, ความรักในแบบหนุ่มสาว และแมวของเขา ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ และของที่ค่อย ๆ หายไปทีละอย่าง ทำให้กระชากอารมณ์ และความรู้สึกของเราได้หนักมาก ๆ
เป็นหนังที่อยากให้ไปดูกันมาก ๆ ถึงแม้ว่ามันจะเข้าอยู่ไม่กี่โรงเท่านั้นก็เถอะ ถ้าใครชอบเรื่องนี้ก็ไปหาดูกันนะครับ ผมว่ามันสอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้เรา ทำให้เราเต็มที่กับชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย เพื่อให้เราจะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลังเมื่อมันต้องหายไป รวมแล้วหนังเรื่องนี้ผมให้ 9.9/10 เลย ตัดไป 0.1 เพราะการดำเนินเรื่องตอนแรก ๆ สุดเลย ที่ค่อยข้างเนิบไปหน่อยแต่มันก็ทำให้เราเห็นว่าพระเอกของเราใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย และสุดท้ายขอจบด้วยประโยคนึงจากในหนัง ที่ยังตรึงใจผมมาก ๆ
จริง ๆ แล้ว เราไม่ได้เลี้ยงแมวหรอก แต่แมวอนุญาตให้เราเลี้ยงตะหาก
สิ่งที่ต้องการจะสื่อจากประโยคนี้คือ จริง ๆ แล้ว เราก็ไม่ได้เลี้ยงแมว และแมวก็ไม่ได้เลี้ยงเรา แต่เป็นการที่ต่างฝ่าย ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่ แมว เท่านั้น แต่เป็นทุกชีวิต และทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเรา
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...