By Arnon Puitrakul - 15 ตุลาคม 2020
หายกับการรีวิวเรื่องเสียงมานาน เพราะไม่มีเงิน ฮ่า ๆ แต่เมื่อ 10.10 ที่ผ่านมา เปิดไปใน E-Commerce เจ้าหนึ่งก็ไปสะดุดตากับลำโพงที่เรียกได้ว่ามี Design อันเป็น Iconic ของนางเลยคือรุ่น Aura Studio 2 สิ่งที่ช๊อคคือ เขาขายในราคา 4,990 ปกติขายกันเป็นหมื่นนิด ๆ (ไม่นับของปลอมนั่นขายกันพันนิด ๆ เอง แต่จะซื้อทำไมละถูกม่ะ) ทำให้ถึงจะเป็นรุ่นเก่าก็น่าที่จะซื้อมาลอง วันนี้เราเอามารีวิวกันว่า ลำโพงสุดหรูจาก Harman Kardon ในรุ่น Aura Studio 2 จะทำได้ดีแค่ไหน และ ให้เสียงได้ดีขนาดไหน ลองไปดูกัน
ตอนแรกที่ได้มาจากขนส่งคือ กล่องใหญ่มาก ใหญ่จน งง ไปเลย พอแกะออกมา ก็อ่อ เออ มันใหญ่จริง ๆ ส่วนตัววัสดุของกล่องจะเป็นกระดาษ ที่ทำมาเรียบหรู จับแล้ว ไม่ได้ดูโง่เลย ด้านหน้าก็จะมาเป็นรูปของตัวลำโพง ที่ด้านบนจะเป็นชื่อรุ่นคือ Aura Studio 2 พร้อมกับด้านล่างก็จะเขียนว่า เป็นลำโพงไร้สายในบ้าน ที่มีไฟ (มันแปลประมาณนั้น)
ที่ด้านหลังจะมีบรรยายสรรพคุณว่ามันทำอะไรได้บ้าง ว่าไป ทีด้านล่างซ้ายมือ จะมีบอกว่า ในกล่องมีอะไรบ้าง พร้อมกับบอกสเปกของตัวลำโพง อันนี้ไว้จะไปเล่าในสเปก
ด้านข้างของกล่องทั้ง 2 จะเป็น รูปของตัวลำโพง ก็ไม่มีอะไร แต่ดูแล้วโคตรสวย
ด้วยความที่กล่องมีขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เคลื่อนย้ายได้ลำบาก เขาเลยทำที่หิ้วมาให้ที่ด้านบนของกล่อง พร้อมกับมีแปะเรื่องของการเชื่อมต่อ และ การเข้ากันได้ของ Hardware ที่ด้านล่าง
ที่หูหิ้วนางก็มีรายละเอียดคือ มีการพิมพ์ชื่อ Brand Harman Kardon มาด้วย
อย่างที่ได้บอกไปว่า มันจะมีการพิมพ์เรื่องของการเชื่อมต่อที่ เราสามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth และ ใช้สายผ่าน AUX ใน Port แบบ 3.5mm ส่วนการเข้ากันได้คือ เราสามารถใช้ Aura Studio 2 ได้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, Laptop ยัน Tablet และ โทรศัพท์กันเลย เรียกได้ว่า ใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ที่เรามี
เรามาเริ่มแกะกล่องกัน ด้วยการแกะสลักที่อยู่ด้านบนของกล่องทั้ง 2 ข้างออกมา ตอนแกะคือรู้สึกว่า การดึงสลักที่ล๊อคฝากล่องออกมา มันทำได้ยาก อาจจะเพราะมันแน่นด้วย และ อีกส่วนคือ เหมือนกับกล่องมันแอบพอดีกับของข้างในไปหน่อย มันเลย ทำให้แกะยาก
เปิดฝากล่องออกมา ผ่ามมมมม ยังไม่เจอลำโพง แต่เจอกับกระดาษแข็งข้างในอีกชั้น เอามาปิดไว้ อาจจะเพื่อไม่ให้ของที่อยู่ข้างในมันออกมาวิ่งเล่น จากการขนส่ง ล๊อคมันอยู่กับที่ไปเลย
เอาแผ่นกระดาษแข็งออก เราจะเจอกับพวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้านซ้ายจะเป็นพวกสายไฟ และ ด้านขวาเล็ก ๆ จะเป็นพวก Paper Work ต่าง ๆ ส่วนตรงกลาง จะเป็นเหมือนกับแผงกระดาษวางไข่อะ อันนี้เข้าใจว่า เพื่อให้เวลาขนส่ง ลำโพงจะได้อยู่กับที่ไม่ออกมาวิ่งเล่น
เมื่อเอาลังกระดาษออก เราก็จะเจอกับลำโพงที่โดนห่อโฟมไว้อย่างดี และ ด้านซ้ายบนของในภาพ จะเป็น Adapter สำหรับแปลงไฟใส่มาให้เราในกล่องด้วย
สำหรับตัว Adapter ภาพรวมคือ เหมือนกับ Adapter ที่ใช้กับเครื่อง Laptop ทั่ว ๆ ไปเลย เกรดของพลาสติกที่เอามาใช้ก็เฉย ๆ ไม่ได้มีความหรูแต่อย่างใด เข้าใจว่าเวลาใช้จริงมันน่าจะแอบ ๆ ไว้แหละ เขาเลยไม่ได้ใส่ใจกับการ Design ตรงนี้ และ ใช้ Design ปกติ ไม่ก็เอาของ Generic มาปั้มใหม่แหละ
สำหรับกำลังไฟของ Adapter ตัวนี้จะอยู่ที่ 19V, 3A หรือก็คือ 57W นั่นเอง ส่วน Input คิดว่าใช้ที่ไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนสายไฟที่เขาให้มา จะมาทั้งหมด 4 เส้น ที่มีหัวเสียบไม่เหมือนกัน ขึ้นกับประเทศที่เราใช้งานเลย สำหรับในไทยเอง ก็น่าจะใช้ได้หมดเลยนะ โดยเฉพาะ ถ้าเราเสียบกับปลั๊กพ่วงที่มันทำมาเป็น Universal อยู่แล้ว จะใช้อันไหนสักอันเลยก็ได้
ปลายด้านนึงของสายไฟ ก็จะเป็น Port สำหรับเสียบเอาไฟเข้าให้ Adapter ดังรูป และ อีกด้านเราก็เสียบเข้ากับปลั๊กไฟบ้านของเราได้เลย รวม ๆ แล้วมันก็เหมือนกับ Laptop ทั่ว ๆ ไปที่ต้องเสียบ Adapter แต่ในรุ่นที่ 3 เหมือนกับว่า Adapter จะไม่มีแล้ว เขารวมไว้ในเครื่อง ก็น่าจะทำให้สะดวกมากกว่านี้
และของที่ให้มาอีกอย่างคือ ตัว Paperwork ที่เป็พวกคู่มือการใช้งาน และข้อควรระวังต่าง ๆ ใส่มาในถุงพลาสติกใสติดเทปใสทั่ว ๆ ไปไม่ได้มีอะไรที่น่าตื่นเต้น
กลับมาที่ตัวลำโพงกันบ้าง เมื่อเราแกะกล่องออกมา มันก็จะห่อโฟมมาอย่างดี เพื่อกันพวกรอยขีดข่วนระหว่างการขนส่งต่าง ๆ อาจจะดูแกะยาก แต่มันก็ไม่ขนาดนั้น
ที่ด้านล่างของห่อโฟม เราจะเจอกับมหกรรม การพับ ๆ ติด ๆ เทปไว้ ถ้าเราไม่อยากให้ห่อเสียหาย อาจจะเผื่อเอาไว้ขายในอนาคต เราก็แนะนำให้แก้ดี ๆ ละกัน แกะดี ๆ มันอาจจะยากหน่อย แต่ถ้าแกะฉีกเลย ไม่มีปัญหา อีซี่ เมื่อเราดึงถุงโฟมออก ก็จะเจอกับลำโพง สวย ๆ แล้ว
Harman Kardon Aura Studio 2 ใช้การออกแบบที่เรียกได้ว่าเป็น Iconic Design ของรุ่นนี้เลยคือ การใช้วัสดุใสทำมาเป็นเหมือนโดมอยู่ด้านบน และ ด้านล่าง จะเป็นเหมือนกับกำมะหยี่ และ ตรงกลาง จะเป็น Brand Harman Kardon ที่ทำจากโลหะอยู่ตรงกลาง เราลองไปหาลำโพงอื่น ๆ ในตลาด เราก็จะไม่เจอ Design แบบนี้เลย
ในเรื่องของน้ำหนัก ก็ถือว่าไม่ได้เป็นลำโพงที่มีนำ้หนักมาก ตัวมันมีน้ำหนักแค่ 2.45 กิโลกรัมเท่านั้นเอง เวลาเราจะยกลงย้ายห้องที่ใช้งาน ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรเลย
เข้ามาดูใกล ๆ ที่ด้านหน้า เราจะเจอกับ การปั้มนูนพวกนี้จะเป็นปุ่มแบบสัมผัสทั้งหมด ทำให้เวลาเรากด เราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แรงกดลงไป เราก็เอามือสัมผัส ไม่ก็รูดผ่าน มันก็ทำงานให้เราแล้ว โดยที่ปุ่มที่อยู่ด้านหน้าเลย จะเป็นปุ่ม บวก และ ลบ สำหรับการ เพิ่ม หรือ ลด เสียงนั่นเอง
ที่ด้านขวาของลำโพง จากซ้ายไปขวา ปุ่มแรกคือ ปุ่มสำหรับวางสาย และ รับสายโทรศัพท์ ก็คือ เราสามารถคุยโทรศัพท์ผ่านลำโพงตัวนี้ได้เลย ปุ่มถัดไปคือปุ่ม Bluetooth สำหรับการเปิด Pairing Mode หรือ การเปิด Bluetooth เพื่อใช้ Input เป็น AUX และสุดท้ายขวาสุด (ขออภัย ไม่โฟกัส) จะเป็นปุ่มสำหรับเปิดปิดตัวลำโพง
หันไปด้านซ้าย เราจะเจอกับปุ่มสำหรับปิด หรือ เปิดไฟ Ambient ที่เราจะมาเล่าอีกทีว่ามันคืออะไร นอกจากนั้น ตรงกำมะหยี่ดำ ๆ รอบ ๆ ด้านในจะเป็นดอกลำโพง Tweeter ขนาด 1.5 นิ้วอยู่ทั้งหมด 6 ตัวรอบ ๆ ทำให้เราได้รับเสียงแบบ 360 องศารอบตัวลำโพงไปอีก
หันมาที่ด้านหลังกันบ้าง เราจะเจอกับช่องการเชื่อมต่อต่าง ๆ 3 อย่างคือ ช่อง AUX สำหรับรับ Input จากเครื่องเสียงต่าง ๆ หรืออาจจะเป็น DAC ก็ได้ ถัดไปเป็นช่อง Micro-USB อันนี้ไม่ได้ใช้เสียบคอมเพื่อเอาเสียงเข้า หรือชาร์จแบตแต่อย่างใด แต่เป็นช่องสำหรับการ Update Firmware เมื่อมันมี Version ใหม่มา และ สุดท้ายขวาสุด เป็นช่อง Power สำหรับเสียบสายจาก Adapter เข้าไป หลัก ๆ ถ้าเราใช้งานแบบไร้สาย เราก็จะเสียงแค่สาย Power เท่านั้นเอง
ที่ด้านบน โดมอันเป็นเอกลักษณ์ ถ้าเราไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน เราอาจจะเข้าใจว่า มันเป็นกระจก (เมื่อก่อนเราคิดแบบนั้นจริง ๆ กลัวทำแตกเลย) แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเหมือนอะคริลิคใสมากกว่า เคาะ ๆ ก็แข็งแรงอยู่ ไม่ต้องกลัวแตก คือ เราก็ไม่เอาของแบบนี้ไปโยนเล่นเนอะ ถ้าเราใช้งานมันปกติ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เรื่องที่เรากังวลมากกว่าคือ เมื่อเราใช้ไปนาน ๆ ฝุ่นมันจะเกาะ แล้วพอเราเอาผ้ามาเช็ด กลัวว่าจะเป็นรอยขนแมวได้ ดังนั้น ผ้าที่เช็ดน่าจะเป็นพวกผ้า Microfibre น่าจะดีกว่า
ตรงกลางด้านในโดม เราจะเห็นว่ามันเป็นตัวที่ใช้เปร่งเสียงออกมา และพอผ่านรูก็ทำให้เสียงมันออกมารอบทิศทางได้เลย และที่พิเศษกว่านั้นคือ เวลาเราเปิดใช้งาน มันจะมีไฟ Ambient มาให้เราสวย ๆ ด้วย
ภายในโดม ด้านหน้า มันจะมีสัญลักษณ์เล็ก ๆ ทำมาเป็นสีเทา ๆ เข้มกว่าตัว Body หน่อย คือ สัญลักษณ์ของ Microphone ว่ามันอยู่ด้านนี้นะ
จากรูปก่อนหน้า เราจะเห็นว่าเหมือนมันมีรูอยู่ ปากรูของมันก็คือ อยู่ด้านบนนั่นเอง ทำมาได้สวยงามมาก ๆ แต่ที่คนเจอปัญหากันคือ พอมันเป็นรูแบบนี้ ใช้งานไปเรื่อย ๆ ฝุ่นมันก็จะเข้าไปสะสมเรื่อย ๆ แล้วการทำความสะอาด มันน่าจะยากมาก ๆ หรือ เราอาจจะต้องเสียเงินไปให้ศูนย์บริการทำความสะอาดให้อีก เราว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของลำโพงรุ่นนี้เลย
ใต้ลำโพง เราจะเจอกับ Woofers ขนาด 4.5 นิ้วอยู่ ทำให้เวลาเราวางใช้งานจริง เสียงช่วงต่ำ มันก็จะโดนยิงลงไปที่โต๊ะ เวลาเราเอาไปวางที่โต๊ะที่เป็นวัสดุต่างกัน มันก็จะให้เสียงที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ก็โต๊ะสั่นอะ
การที่ลำโพงมันออกแบบให้มีการวางดอกลำโพง Tweeter ถึง 6 ดอกรอบ ๆ และ Woofers ที่ยิงลงโต๊ะ แบบนี้เป็นเพราะว่า ลำโพงตัวนี้ออกแบบมาให้เป็น Room-Filling Speaker หรือเป็นลำโพงที่ให้เสียงรอบทิศทาง หรือก็คือ ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของลำโพง เราก็จะได้ยินเสียงที่ให้คุณภาพใกล้เคียงกันมาก ต่างจากลำโพงอื่น ๆ ที่ต้องจุกจิกตำแหน่งการวาง
แต่ถ้าเราจะใช้ Feature การคุยโทรศัพท์ด้วย อาจจะต้องคิดเพิ่มหน่อย ถึงแม้ว่าเสียงจะออกรอบทิศ แต่ Microphone มันรับเสียงแค่ด้านเดียวคือ ด้านหน้า เท่านั้น ถ้าเราคุยจากข้างหลัง เสียงที่เข้าไปอาจจะไม่ชัด หรือไม่ก็ไม่ได้ยินเลย
ใน Harman Kardon Aura Studio 2 มีการเพิ่ม Feature ที่เด่น ๆ จากรุ่นแรกคือ การเพิ่ม Ambient Light ก็คือ มีไฟที่ตัวลำโพงด้วย เมื่อเราเล่นเพลงไฟมันก็จะวิ่ง ๆ อย่างสวยงาม และเวลาเราเพิ่มลดเสียง ระหว่างเล่นเพลง ที่ไฟมันก็จะแสดงสถานะของเสียงเป็นวงกลมให้ด้วย รวม ๆ คือ ดูดีย์มาก แต่ถ้าใครไม่ชอบไฟ ก็สามารถกดปิดได้จากปุ่มที่ตัวเครื่องได้เลย
ในส่วนของการเชื่อมต่อ ถือว่าเป็นมาตรฐานของลำโพงไร้สายทั่ว ๆ ไปที่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.1 ที่อาจจะไม่ได้ใหม่ในปี 2020 ที่เขาใช้ Bluetooth 5.0 กันแล้ว (แหม่ ลำโพงมันออกปีไหนละ) แต่ก็ยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในปัจจุบันได้อย่างไม่มีปัญหา การเชื่อมต่อทำได้เร็วพอตัว ไม่มีอาการหลุด หรือเสียงขาด เมื่ออยู่ในห้องเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงจากการเชื่อมต่อ ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพเสียงแย่อะไรมากขนาดนั้น เรามองว่าถ้าจริงจังเรื่อง Bandwidth จริง ๆ การใช้ AUX แบบ 3.5mm ที่ต่อออกมาจาก DAC น่าจะตอบโจทย์กว่า แต่เราก็ต้องไปซื้อสาย AUX มา ในกล่องไม่ได้มีมาให้
ในการใช้งานจริง เราต้องบอกเลยว่ามันไม่ใช่แค่ลำโพงเท่านั้น มันเป็น Furniture ที่เข้ากับบ้านสไตล์ Modern ได้อย่างดี นี่แหละคือ เหตุผลที่ทำให้เราชอบ Brand Harman Kardon และ B&O เพราะเรื่องแบบนี้เลย
เรื่องที่อยากจะติ คือ เราว่าปุ่ม มันทำมาได้เรียบจนจมหายไปกับ Design ไปเลย ทำให้เวลาเราจะกด เราอาจจะต้องก้มลงไปดูว่า เอ๊ะ ปุ่มนั้นอยู่ไหน ตัวปุ่มเปิดกับ Bluetooth ไม่มีปัญหา เพราะมันมีไฟเมื่อเราเปิดใช้งานทั้งคู่ แต่ปุ่มที่เหลือนี่สิ ยากเลย นอกจากนั้น เราว่า มันวางปุ่มได้ห่างมากไปหน่อย ทำให้เวลาเราจะเปิดใช้งาน เราต้องเอามือไปลูบที่ด้านขวา เพราะปุ่มมันหายาก ก็เอามือลูบไปเลย มันก็ติด แต่เราว่ามันแปลก ๆ
และอีกเรื่องที่คิดว่าเป็นปัญหามาก ๆ คือ ฝุ่น อย่างที่บอกไปว่า พอด้านบนมันเป็นรู ทำให้ฝุ่นสามารถเข้าไปสะสมได้ ทำให้มีปัญหาในการใช้งานได้ แล้วเราก็ต้องไปเสียเงินค่าให้ศูนย์บริการทำความสะอาดให้เราอีก เราว่ามันแอบยากไปหน่อย กับตัวโดมที่มันดูสวยจริงแหละ แต่พอใช้งานจริง ๆ เจอฝุ่นเข้าไป การเช็ดทำความสะอาด มันต้องใช้ความระมัดระวังมาก ๆ เช่น ถ้าเราใช้ผ้าอะไรไม่รู้ เช็ด ๆ ไป เราอาจจะได้เจอรอยขนแมวเต็มโดมอันสวยงามเลยก็ได้
การที่เป็นลำโพง ใช่แล้ว คุณภาพเสียงเป็นเรื่องสำคัญ Overall มันมาในอารมณ์ของความ Harman Kardon ด้วยความใส และ กังวาน เรียกได้ว่า ถ้าใครที่ชอบเสียงของ Harman Kardon คุณก็จะหลงรัก Aura Studio 2 ได้ไม่ยากเลย
เริ่มจากช่วงเสียงต่ำก่อน ในเสียงช่วงนี้ตัวลำโพงถือว่าทำได้ อย่างมีพลัง มาเป็นลูก ๆ ชัดเจน มี Dynamic มาก ๆ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญ ฟังแล้วสบายหูมากกว่า เล่าให้เป็นภาพคือ มันเหมือนภูเขาที่ยอดไม่ได้เแหลมแทงเรา แต่ยอดมันนวล ๆ มล ๆ หน่อย ทำให้ฟังแล้วไม่แสบหู หรือปวดหู กับความที่ Woofer มันยิงลงโต๊ะ ทำให้มันไปได้ไกลขึ้นอีก อย่างเพลง I Feel It Coming ที่มีช่วงเสียงต่ำเยอะพอตัว ทำให้เห็นได้ชัดเลยว่า เสียงต่ำมันทำได้สะใจมาก ๆ ในขณะที่เสียงร้องก็ยังไม่หายไปไหน รู้สึกเป็นธรรมชาติมาก
ขึ้นมาที่ช่วงเสียงกลาง ให้เสียงที่กังวาน คม และ ชัดเจน โดยเฉพาะถ้าเราเอามาเล่นพวกเพลงที่เป็น Vocal เยอะ ๆ หน่อย เราจะรู้เลยว่า มันชัดมาก ๆ กับเครื่องดนตรีก็ยังให้เสียงที่สะอาด แต่สิ่งที่ต่างจากเครื่องเสียงอื่น ๆ ที่เราใช้คือ ลำโพงตัวนี้ให้เสียงไปในโทนเย็น ๆ นึกภาพคือ ฟัง Jazz หน่อย อย่างเพลงด้านบน My Romance คือ โอ๊ยยยยยย ดี ด้วยดอก Woofer ที่ใหญ่มาก ทำให้ก่อนที่จะมาใช้เราคิดว่า เสียงย่านต่ำ มันจะมากินพื้นที่ของเสียงกลาง ซึ่งจริง ๆ ก็คือ ไม่เจออาการนั้นเลย ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ
และสุดท้ายขึ้นไปที่เสียงสูง ย่านนี้ฟังปุ๊บต้องรู้เลยว่านี่แหละ Harman Kardon เสียงสูงทำได้ดีมาก ๆ มีความสะอาดมาก ๆ ปลายเสียงก็เก็บได้ดี Smooth มาก ๆ ส่วนเรื่อง Sound Stage ให้ได้กว้างมาก ๆ นึกภาพก็น่าจะเป็น Orchesta ย่อม ๆ ได้เลย นึกภาพเวลาเราไปฟังจริง ๆ มันแยกเสียงของเครื่องดนตรีต่าง ๆ ได้ละเอียดมาก ๆ เช่น เครื่องสายก็คือเครื่องสาย ไม่ไปปนกับเครื่องเป่า หรือ Percussion เอง ก็ทำพื้นเสียงของช่วงตัวเองออกมาได้ดี มีความละเอียดในตัว
Harman Kardon Aura Studio 2 เป็นลำโพงที่มีสไตล์เหมือนกับฝัง DNA ของ Harman Kardon ลงไปเต็ม ๆ ทั้งในเรื่อง Design ที่มีการใช้วัสดุใส ทำมาเป็นโดม อันเป็น Iconic Design ของ Harman Kardon ไปแล้ว และแนวเสียง เนื้องเสียง ก็ยังคงเอกลักษณ์ที่ สะอาด ใส และ กังวาน ในแบบของ Harman Kardon ได้เป็นอย่างดี ทำให้คนที่ชอบใน Brand นี้อยู่แล้ว น่าจะหลงไหลในเสียงของมันได้ไม่ยาก นอกจากนั้น เรื่องของเสียงเอง ยังออกแบบให้กระจายเสียงได้แบบทั่วทิศทาง ทำให้ลดความจุกจิกในเรื่องของการวางลำโพงไปได้เยอะ โดยรวมของลำโพงตัวนี้ คือ สามารถฟังได้หมดทุกแนว มาเป็นกลาง ๆ แต่ถ้าเอาแจ่ม ๆ น่าจะต้องเป็นพวก Jazz ไม่ก็ Classical น่าจะทำให้ฟินได้ง่าย ๆ เลย ส่วนในเรื่องของ Design ที่เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นแรก คือ การใส่ Ambient Light เข้ามา ทำให้ดูสวยงาม มีลูกเล่น น่าสนใจเข้าไปอีก พร้อมกับราคา ณ ตอนที่เรารีวิว มันลดลงมาเยอะมาก ๆ จากหมื่นต้น ๆ เราซื้อมาในราคาครึ่งนึงของราคาเต็มเท่านั้นเอง ทำให้คนที่อยากหาลำโพงฟังเพลงในช่วงราคา 5-6 พัน เราว่า Harman Kardon Aura Studio 2 เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...