By Arnon Puitrakul - 29 มิถุนายน 2021
Google Nest Mini เป็นลำโพงอัจฉริยะจาก Google ที่ไม่ได้แค่ฟังเพลง ฟัง Podcast ได้ แต่ยังพ่วงความอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ทำให้เราสามารถสั่งคำสั่งต่าง ๆ ตั้งแต่การตั้งเวลา การฟังข่าว จนไปถึงการควบคุม Smart Home ต่าง ๆ ได้ ที่สำคัญ ขนาดเล็กสวยงาม และ ราคาไม่แพงอีกด้วย วันนี้เรามาดูกันว่า Google Nest Mini จะเป็นยังไง และ จะดีสมค่าตัวมันมั้ย
เห็นกล่องครั้งแรก เราไม่คิดเลยว่า มันเป็น Gadget ราคาไม่ถึงพัน กล่องมันดูดีเวอร์มาก ๆ โยที่ด้านหน้าจะมีรูปของ Nest Mini อยู่ และ ดูที่ด้านล่างซ้าย เราจะเห็นว่า มันมีเขียนว่า รุ่นที่ 2 ด้วย (ทำให้เรารู้ว่ามันเป็นเครื่องของฝั่งไทย ตัว Generation แรกที่เราใช้อยู่ ซื้อจากญี่ปุ่น มันเลยได้ของ Bundle เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ฮ่า ๆ) แต่ไม่ต้องกลัวว่าอาจจะหลงกับ Generation แรก เพราะลักษณะของกล่อง เพราะ Generation แรก กล่องมันจะเล็กกว่านี้มาก ๆ เป็นกล่องสีเหลี่ยมโง่กว่านี้เยอะมาก
ด้านข้างของกล่อง เราจะเห็นว่า มันมีพวก App ที่ตัว Nest Mini มันรองรับอยู่ ซึ่งเดี๋ยวเราไปคุยกันอีกทีว่า มันสามารถทำอะไรได้บ้าง จริง ๆ อันที่เราเห็น มันเป็นเพียงแค่เสี้ยวของที่ Google รองรับอีกนะ
ด้านข้างอีกข้างเป็น Ok Google ก็คือแหม่ บอกว่า รองรับ Google Assistant แหละ ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของ Google ที่ทำให้ลำโพงนี้มันโคตรฉลาดมาก ๆ
ด้านหลังปริ้นมาเป็นรูป ซึ่งทำออกมาไม่เหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่ จริง ๆ เราว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีอยู่นะ เพราะเวลาที่เราจะซื้ออะไรพวกนี้ มันจะเกิดอารมณ์แบบ เอ๊ะ ชั้นจะเอามันไปวางที่ไหนดีนะ วางแล้วมันจะออกมาอารมณ์แบบไหน เราว่าภาพนี้มันก็ช่วยกระตุ้นไอเดียได้อย่างดีนักเชียว
กลไกของกล่องทำมาเหมือนกับอุปกรณ์ไอทีตามยุคสมัยอื่น ๆ ก็คือการที่เราดึงขึ้นมา พอเจอแบบนี้มาก ๆ เข้าทำให้เรารู้เลยนะว่า Brand ไหนที่ให้ความสำคัญกับกล่องมาก ๆ เวลาดึงออกมา มันรู้สึกได้เลย ซึ่งไม่ใช่ Google แน่ ๆ (แหม่ลำโพงตัวไม่ถึงพัน จะเอาอะไร) อันนี้ดึงออกมามันจะออกฝืด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ดีอะไรมาก
การออกแบบภายในกล่อง เรียบมาก ๆ เปิดมา เราก็จะเจอกับ Google Nest Mini วางอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม นี่แหละ เรียบแต่หรู ตอนดึงฝาออกมาเฉย ๆ แต่พอมาเจอแบบนี้เหมือนอารมณ์มันขึ้นมาอีกระดับนึง หูยยย สวยนะอะไรแบบนั้นดูดีเลยเชียว
ด้านล่างที่เราเห็นเป็นกล่อง เมื่อเราเปิดออกมา เราจะเจอกับ Adapter สำหรับเสียบไฟเลี้ยง ก็มีมาให้เราอย่างเรียบร้อยเลย
ตัว Adapter ทำมาได้เล็กน่ารักมาก ๆ ซึ่งจริง ๆ เราว่าเป็นเรื่องดีที่มาก ๆ เลยนะ เพราะอุปกรณ์พวกนี้ มันน่าจะต้องเหมือนกับวางให้มันเนียน ๆ ไปกับห้อง ยิ่งพวกอุปกรณ์ที่เราอยากจะวางให้ใกล้ตาอย่าง Adapter ยิ่งเล็กมันก็ยิ่งเก็บสายง่าย แต่ ๆๆๆๆ ผิดอยู่เรื่องเดียว และเรื่องใหญ่มาก ๆ ทำไมพี่ให้สายสีขาวมา ๆๆๆๆๆ มันไม่กลืนไปกับพวกโต๊ะดำ ๆ เลย มาซะเด่นเชียว ไม่น่ารักเลย เอาเถอะ โดยที่ปลั๊กตัวนี้ มาเป็นปลั๊กแบบหัวกลม 2 ขา ซึ่งก็เป็นปกติของประเทศเรา
และ หัวที่เสียบเข้า Nest Mini จะเป็นหัวลักษณะกลม ๆ เล็ก ๆ หน่อย เสียดาย ทำไมไม่ใช่หัวอะไรที่มันมาตรฐานหน่อย เผื่อสายขาด หรือมีปัญหา เราจะได้หาซื้อใหม่ได้ง่าย ๆ หน่อย
แต่ ๆ อย่าพึ่งคิดว่าจะหมดแค่นี้ เมื่อเราเอาตัว Nest Mini ออกมา เราจะเห็นเอ๊ะมันมีอะไรอยู่ข้างล่างฟ้า ๆ จริง ๆ ถ้ามันไม่ฟ้าโดดขึ้นมา เอาจริงก็คือ เราน่าจะปิดกล่องไปแล้วนึกว่าหมดแล้ว
เปิดออกมา อ่อ ไม่มีอะไร มันก็จะเป็นพวกคู่มือการใช้งาน ที่เป็น Getting Started อันนี้ ถ้าเราซื้อของไทย เราก็จะได้คู่มือเป็นภาษาไทยด้วยนะ ส่วนถ้าเราซื้อจากที่อื่น มันก็จะเป็นภาษานั้น ๆ เลย
ทำให้หลัก ๆ ในกล่องก็มีอยู่แค่นี้แหละ คือตัว Nest Mini, สายไฟ และ คู่มือเท่านี้เลย ซึ่งเราชอบการให้ของมาแค่นี้มาก ๆ นะ เพราะมันเป็นอะไรที่เราต้องใช้ดีกว่า ให้อะไรมาไม่รู้แล้วเราไม่ได้ใช้เลย อีกอย่างเรามองว่า มันเป็นเรื่องของการประหยัดงบด้วยแหละ ดูออก ฮ่า ๆ
ลักษณะของ Google Nest Mini Generation 2 ยังคงลักษณะที่คล้ายกับ Generation แรกมาก ๆ โดยที่หน้าลำโพงก็คือรักษ์โลกสุด ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ไปเลย สัมผัสที่ได้ บอกเลยว่า ถ้าไม่บอกว่ามันเป็นวัสดุรีไซเคิล เราไม่รู้มาก่อนเลยนะ จับ ๆ ดูแล้วมันลักษณะเหมือนผ้าเลย ไม่แน่ใจว่า ใช้ไปนาน ๆ แล้วจะแอบ ๆ ซีด ๆ เหมือนตัวเก่ามั้ย (ซีดไม่เยอะนะ ถ้าเราไม่ได้ไปจ้องมัน เราก็ไม่รู้เลย) กับด้วยการที่มันทำมาเหมือนผ้า ทำให้ถ้าเราใช้ไปนาน ๆ เราว่าน่าจะเก็บฝุ่นเล็กน้อย เหมือนกับตัวก่อนหน้าแน่ ๆ
นอกจากนั้น ด้านบนของลำโพงยังมีไฟแสดงสถานะอีกด้วย โดยมันจะแสดง Volume เสียงที่เรากำลังใช้งานอยู่ หรือจะขึ้น เมื่อเราเรียก Google Assistant ขึ้นมาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ที่ขอบข้าง ๆ ของมันเรายังสามารถที่จะเอานิ้วมาเลื่อนซ้ายขวา เพื่อเพิ่มลดเสียงที่ตัวมันเองได้ด้วยนะ หรืออาจจะเอานิ้วแตะค้างไว้ เพื่อเป็นการ Pause Media ที่เรากำลังเล่นอยู่ได้ด้วย
ส่วนด้านข้างรอบ ๆ เครื่องก็ทำมาเป็นสีดำเรียบ ๆ ทำจากพลาสติก จับแล้วรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามันดีอะไรมากมาย แต่มั่นใจอายุการใช้งานของมันแน่นอน เพราะมันเหมือนตัวเก่าที่ใช้เลย และตัว Generation 1 ของเรามันอยู่มานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มีท่าทางที่จะเสื่อมหรือกรอบแต่อย่างใด
ที่ขอบด้านนึง ก็จะมี Switch สำหรับเปิดและปิด Microphone เวลาที่เราต้องการความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจได้ว่า เรายังคงรักษาความเป็นส่วนตัวได้ หากเราต้องการ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ส่วนตัวเรา เราก็ค่อนข้างเฉย ๆ กับ Google อยู่แล้วเลยไม่ได้ปิดอะไร แต่สำหรับคนที่อาจจะกังวล ก็สามารถปิดไปได้ มันก็จะทำให้เราไม่สามารถเรียก Google Assistant ขึ้นมาได้นั่นเอง แต่เสียงก็ยังออกจากลำโพงได้เหมือนเดิมนะ
และอีกช่อง ก็จะเป็นช่องสำหรับเสียบไฟเข้า โดยที่ในรอบนี้ เปลี่ยน Port การเชื่อมต่อใหม่จากเดิมใน Generation แรก ใช้เป็น Micro-USB ซึ่งเราว่าเป็นหัวที่ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับสาย เราก็ยังสามารถไปหาซื้อเปลี่ยนได้ง่าย แต่อันนี้กลายเป็นมาใช้หัวที่เป็นหัวกลม ๆ ของมัน ทำให้ถ้าเกิดสายมันหัก หรือมีปัญหา เราก็จะซวยต้องไปหาซื้อสายให้มันยากอีก อันนี้เราไม่ชอบเท่าไหร่
และที่ใต้ตัวเครื่อง จะเห็นว่ามันมีรูอะไรอยู่ด้านบน มันเป็นรูสำหรับให้เราสามารถเอา Nest Mini ไปแขวนที่กำแพงได้ด้วย ซึ่งในรุ่นก่อนจะไม่มี
ส่วนตัวลำโพง กับ Microphone ก็จะถูกซ่อนอยู่ในตัวเครื่องอย่างเรียบเนียน เราไม่เห็นเลย แต่ในลำโพงของ Generation ที่ 2 ทาง Google เคลมว่า เบส ดังกว่า Generation ก่อนหน้าถึง 2 เท่ากันไปเลย เดี๋ยวต้องมาลองทดสอบกันว่า อันไหนจะเปรี้ยวใจได้มากกว่านั้น ส่วน Microphone ที่เพิ่มมาอีกตัวเป็น 3 ตัว จากเดิม 2 ตัว ก็จะทำให้มันคำสั่งเสียงผ่าน Google Assistant ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
Google Assistant นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบที่จะซื้อ Nest Mini มาใช้งานในบ้าน มันทำให้เราสามารถสั่งคำสั่งเสียงต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า มันแอบยาก เพราะบางที เราจะเจอเหตุการณ์เช่นว่า ตัวเครื่องมันฟังเสียงเราไม่ชัดทำให้มันไม่เข้าใจ หรือแย่กว่านั้นคือ มันเข้าใจผิดไปไกลจน งง ไปหมด ก็เจอได้เหมือนกัน
แต่จากการที่เราใช้งานมา แรก ๆ มันก็เจอนะ แต่พอใช้ ๆ ไป เราก็เริ่มรู้แล้วว่า อ่อ อย่าพูดแบบนั้น เพราะเราพูดคำนี้ไม่ชัด เราก็เลือกที่จะเลี่ยงไป มันดูเป็นการแก้ปัญหาที่สิ้นคิดนะ แต่เราว่ามันคุ้ม เพราะมันทำให้ทำงานอะไรได้เร็วขึ้นมาก มือก็ทำงานไป ปากก็สั่งไป จนตอนนี้บอกได้เลยว่า Google Assistant เป็นอวัยวะที่ 33 ของเราไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่มันทำได้ มันมีเยอะมาก ๆ ตั้งแต่การหาข้อมูลต่าง ๆ เช่น เราอยากรู้สภาพอากาศ เราก็สามารถเรียกมันขึ้นมาถามว่า What's the weather? ได้ จนไปถึงการควบคุม Smart Home ต่าง ๆ ที่อันนี้ยอมรับว่าใช้บ่อยมาก ๆ เช่นการเปิดไฟ ปิดเปิด แอร์ และ เครื่องฟอกอากาศ มันง่ายกว่าการหยิบมือถือขึ้นมาเปิด กว่าจะเปิด App หรือการเดินไปที่หน้าจอของห้องหลายขุมมาก ๆ เอาให้สนุกกว่านั้นอีก เราตั้งให้มันทำ Morning Routine ก็คือ เมื่อเราตื่น ปิดนาฬิกาปลุก ไม่ก็ปัญหาปลุกเราขึ้นมา มันก็จะบอกสภาพอากาศ ตารางนัดหมายของวันนี้ และ ต้องออกจากบ้านในอีกกี่นาที เพื่อเป็นข้อมูลให้เราเตรียมพร้อมรับวันใหม่นั่นเอง
สำหรับคนที่อาจจะไม่ถนัดสั่งเป็นภาษาอังกฤษ ตัว Google Assistant ก็ยังรองรับภาษาไทยด้วยนะ จากที่ลองใช้งานมา พบว่า มันตอบสนองได้ค่อนข้างดีเลย ไม่ค่อยเจอเคสที่ผิดพลาด นอกจากเราซะเองนี่แหละที่คิดไม่ทันว่าจะเรียงประโยคว่ายังไงเพื่อจะสั่งมันดี แต่ใช้ ๆ ไปบ่อย ๆ เราว่าน่าจะชินนะ จนคนอื่นในบ้าน อาจจะ งง ว่า อีนี่มันบ้า มันคุยกับไค๊ ฮ่า ๆ
พูดถึงลำโพง เราก็ต้องพูดถึงคุณภาพเสียงแน่นอน ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนนะว่า Nest Mini มัน Mini จริง ๆ มันตัวเล็ก และ ราคามันไม่ได้แพงมาก ในไทย เราสามารถหาซื้อได้ในราคาหลักร้อยเท่านั้น ไม่ถึงพัน ดังนั้น เราจะไม่คาดหวังพลังเสียงแบบ Sound Bar หรือ Speaker ตัวละหมื่น มันก็คงไม่ใช่เนอะ เอาแค่ฟังทั่ว ๆ ไปก่อน
พอได้ลองมาฟัง เห้ย เอาจริง ๆ มันไม่ได้แย่เลยนะ ก่อนหน้านี้ เราใช้ Generation แรกมา เสียงมันแห้ง ๆ เซ็ง ๆ เหมือนอาหารที่มันโดนทิ้งไว้จนเย็นแล้วเรากินเข้าไป แต่อันนี้มันมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ฟังแล้วดูมีคุณภาพขึ้นเยอะมาก ๆ ในแง่ของความชัดเจนของเสียงร้องให้อยู่ที่ 6/10
ย่านเสียงสูงต่าง ๆ ทำได้พอใช้ได้เลย มีกลืน ๆ ชาวบ้านชาวเมืองหน่อย ๆ กับสูงได้ระดับนึงเท่านั้น แต่ก็ถือว่าให้อยู่ 5/10 สำหรับเสียงสูง และสุดท้ายเสียงต่ำถือว่าทำได้ดีกว่า Generation แรกแบบรู้สึกได้เลย อารมณ์จากการฟังคือ Wanna be เสียงต่ำ แต่มันดึงไม่ลงสักที อาจจะเพราะด้วย Form Factor กับราคาด้วยแหละ มันก็ได้เท่านี้ อันนี้ให้แค่ 5.5/10 สำหรับความดีงามที่ก้าวกระโดดมาก ๆ แต่ก็ยังถือว่า พอใช้ พอฟังได้ ถ้าใครที่ไม่ได้จริงจังอะไรมาก เน้นแค่เออเปิดเพลง เราว่ามันตอบโจทย์มาก ๆ แล้วนะ
ความสนุกของลำโพงพวกนี้คือ เราสามารถไปซื้อ Nest Mini มาเพิ่ม แล้ววางตามห้อง โดยที่เราสามารถตั้งเป็น Speaker Group ได้ ทำให้เราสามารถเล่นเพลงทั้งบ้านพร้อม ๆ กันเลยก็ได้ หรือ จะเป็นการสั่งให้มันย้ายเพลงไปมาในบ้านก็ได้ เช่น ถ้าเราอยู่ในห้องครัว แล้วเราจะฟังต่อที่ห้องนั่งเล่น ก็บอกว่า Move music to living room เลยก็ได้ มันก็จะย้ายไปเล่นที่ลำโพงของห้องนั่งเล่นเอง
หรือว่า เราอาจจะใช้ห้องละ 2 ตัวเพื่อให้เป็นระบบเสียงแบบ Stereo เลยก็ได้เหมือนกัน อันนี้เราลองแล้ว ก็พบว่า มันเจ๋งมาก ๆ เลยนะ ยิ่งถ้าเราฟังเพลงบ่อย ๆ เพราะราคาของมันต่อตัว มันไม่ได้แพงขนาดนั้น เมื่อเทียบกับลำโพงขนาดใหญ่ ๆ ที่ถ้าเรากำเงินไม่กี่พัน เราก็จะได้เพียง Channel เดียว แต่อันนี้เราอาจจะกดได้เป็นคู่เลยอะไรแบบนั้น สำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่อยากได้กำลังเสียงที่มากขึ้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลย
แต่ ๆ ตอนนี้เราไม่สามารถเซ็ตให้มันทำงานเป็น 2 ข้างได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนี้ใน App Google Home เราไม่มีขึ้นให้ทำ Stereo อะไรเลย
เรื่องของ Microphone ก็เป็นอีกเรื่องที่ได้รับการพัฒนาจาก Generation แรก โดยการเพิ่ม Microphone จาก 2 เป็น 3 ตัว ทำให้รับเสียงได้รอบทิศทางมากขึ้น ไม่ว่า เราจะวาง Nest Mini หรือเราอยู่ตรงไหนของห้องนั้น ๆ เราก็ยังสามารถสั่งงาน Nest Mini ได้อยู่
ระยะการรับเสียงก็ทำได้ไกลขึ้นพอตัวเลย และ ทิศทางของก็รอบตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับ Generation แรก ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ น่าจะเอาไปวางไว้ตามห้อง แล้วเราสั่งงานในห้องนั้น ๆ ได้ง่าย ๆ เลย เท่าที่ลองมา ระยะสัก 1.3 - 1.4 เมตร มันก็ยังได้ยินอยู่นะ แต่ถ้าไกลกว่านั้นหน่อย อาจจะต้องตะโกนเล็กน้อย เพื่อให้มันได้ยินอยู่ แต่โดยรวมถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว อันนี้ประทับใจ
ดูเผิน ๆ เราจะเห็นว่า Generation 1 และ 2 นั้นมีความคล้ายกันมาก ๆ โดยเฉพาะลักษณะภายนอก เอาจริง ๆ ตอนทำรีวิว บางทีก็ งง นะว่า อันไหน 1 อันไหน 2 โดยในความแตกต่าง ลองทายกันดูว่า อันไหนคือ Gen 1 อันไหน Gen 2
ด้านล่างมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ๆ โดยเฉพาะที่แขวนพนังที่ Generation 1 ไม่มี ทำให้มันดูเรียบ ๆ อย่างที่เห็น และ สีที่ฐานของ Generation แรก จะไม่ใช่สีเดียวกับตัวเครื่องด้วย อีกจุดที่อาจจะต้องสังเกตุหน่อยคือ ปุ่มด้านล่างของ Generation 1 ซึ่งมันจะเอาไว้ทำ Factory Reset ที่ใน Generation ที่ 2 เขาจะให้ไปกดตรงกลางของลำโพงแทนนั่นเอง ดังนั้นเวลาซื้อมา ก็อาจจะเช็คดูหน่อยว่า ที่เราซื้อมามันตรงกับที่เราต้องการมั้ย เผื่อบางที เราเห็นว่ามันเหมือนกันมาก ๆ แล้วอาจจะโดนหลอกขาย ก็น่ากลัวอยู่นะ
Google Nest Mini เป็นลำโพงที่น่าสนใจมาก ๆ โดยเฉพาะการที่ทำให้เราสามารถสั่งงานผ่าน Google Assistant ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ยังคงความสามารถของลำโพงที่ให้เสียงที่พอใช้ได้ หรือจริง ๆ ต้องบอกว่า ดีเลย เมื่อเทียบกับขนาด และ ค่าตัวของมัน ทำให้เราว่ามันน่าจะเป็นลำโพงที่บ้านในยุคใหม่ควรมีติดไว้ทุกห้องเลยทีเดียว
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...