By Arnon Puitrakul - 08 มีนาคม 2022
คราวก่อนเราเคยรีวิวของจาก Dyson ไปแล้วคือ Dyson Lightcycle ที่เป็นโคมไฟอันละ 2 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ดีจริง มันเลยแพง มาที่อีกชิ้นที่เราว่า น่าจะได้รับความสนใจเยอะกว่าไฟเยอะคือ เครื่องดูดฝุ่น นั่นเอง พอดีว่าที่บ้านหาเครื่องดูดฝุ่นใหม่พอดี กดมาแล้วก็เอามารีวิวเลยละกัน กับ Dyson V12 Detect Slim
ปล. Dyson ไม่ได้จ่ายเด้อ รีวิวจากการใช้งานล้วน ๆ
ก่อนเราจะไปดูรุ่นที่เราเอามารีวิววันนี้ เรามาดูกันก่อนว่า ในเครื่องดูดฝุ่นของ Dyson มีรุ่นไหนให้เราเลือกซื้อบ้าง
ถ้าเราเข้าไปดูในเว็บของ Dyson มันจะมีหลายรุ่นสุด ๆ ไปเลย แยกออกมาเป็นตระกูล V เช่น V8, V11 และ V12 หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจว่า V12 นี่แหละ ใหม่สุด ดีสุด แต่ถ้าเราเข้าไปดูในสเปกแล้ว V12 มันจะออกแนวทำให้ เบา และ Slim มาก ๆ ทำให้ กำลังดูด มันได้ไม่เท่ากับ V11 เลย ห่างกันนิดหน่อย ทำให้ถ้าเราอยากได้กำลังสูงสุด เราก็ต้องไปเล่น V11 แต่เราก็จะเสีย Feature บางอย่างไป เน้นกำลังดูดล้วน ๆ (เพราะถ้าเราอยากได้ กำลังสูง กับ Feature ใหม่ มันต้องใช้ V15 ซึ่ง ณ วันที่เขียน Central ยังไม่ได้เอาเข้ามาขายในไทย)
รุ่นอื่น ๆ อย่าง Micro 1.5 Kg ที่ทำให้น้ำหนักของมันเบามาก ๆ เพียง 1.5 Kg เท่านั้น น่าจะเหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการ Performance สูงมาก แต่ เน้นน้ำหนักที่เบา ทำงานง่าย หรือจะเป็นรุ่น Omni-Glide อันนี้เราบอกเลยว่า ใครที่อยู่คอนโด น่าจะชอบเลย ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้ใช้พื้นที่ในการเก็บน้อย และมีหัวพิเศษที่ทำให้เราเข้าซอกได้ดีขึ้นเหมาะกับที่แคบ ๆ เลย แลกมากับเวลาในการดูดที่น้อยลงต่อชาร์จ แต่ถ้าเราอยู่คอนโดอยู่แล้วมันก็ตอบโจทย์เลย
กลับมาที่ V12 ที่เรารีวิวในวันนี้ ถ้าเราเข้าไปกดซื้อในหน้าเว็บ มันจะมี 4 แบบให้เราเลือก ที่จะแตกต่างไปตามอุปกรณ์เสริมที่ได้มา โดยที่ตัวเริ่มสุดเลยคือ Dyson V12 Detect Slim Fluffy ราคาอยู่ที่ 21,900 บาท มาพร้อมกับ หัวดูดทำความสะอาดพื้น 1 ชิ้น และ หัวเสริม 5 ชิ้น พร้อมกับ Wall Dock และ Adapter 1 ชุด ซึ่งก็เหมาะกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้วละ
และตัวแพงที่สุดคือ Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ที่ตัวเครื่องดูดฝุ่น เราได้ V12 เหมือนกัน แต่เพิ่มอุปกรณ์เข้ามาเป็นหัวดูดทำความสะอาดพื้น 2 ชิ้น และ หัวเสริมอีก 6 ชิ้น พร้อมกับ Wall Dock และ แท่นทางกับพื้น พร้อมกับ Adapter จำนวน 2 ชุด กับ Battery เพิ่มอีก 1 ก้อน เรียกได้ว่า Super Ultimate เลยละ มีทุกอย่างที่พึงซื้อได้ที่เป็นอุปกรณ์เสริมจาก Dyson แล้ว ซึ่งตัวนี้ เราไม่สามารถไปซื้อหน้าร้านได้ด้วย มีเฉพาะบน dyson.co.th เท่านั้นด้วย
กับถ้าเราอยากซื้อหน้าร้านจริง ๆ เราถามว่า ถ้าเราซื้อของที่มีหน้าร้านแล้วสั่ง Battery กับ แท่นวางบนพื้นเพิ่ม ราคามันจะต่างมั้ย เราลองคำนวณดูแล้ว มันจะต่างกันเยอะมาก ๆ ดังนั้น ถ้าเราอยากได้ Battery เพิ่ม กับ แท่นวางพื้น เราแนะนำสั่งตัว Absolute Extra บนหน้าเว็บดีกว่า
เราสั่งไป ไม่ 2-3 วันเท่านั้นเอง ของก็มาส่งถึงบ้านเลย บอกเลยว่าหนักมาก ๆ ฮ่า ๆ มาในกล่องน้ำตาลปิดอย่างดี สูงปรี๊ด
ดึงกล่องน้ำตาลออกมา เราจะเจอกับกล่องจริง ๆ ของ Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ถ้าเราสั่งแบบไหน มันก็จะเขียนชื่อมาแบบนั้นเลย พร้อมกับรูปของตัวของที่วางอยู่บนแท่นวางบนพื้นด้วย ซึ่งจะมาพร้อมกับตัว Absolute Extra และ Total Clean เท่านั้น
หันด้านข้างกล่อง ก็จะเป็นรูปตัวเครื่องที่หันด้านข้างปกติเลย
หันอีกด้านข้าง มันก็จะเป็นรูปเดียวกันนั่นแหละ แต่เราจะเห็นเส้นอะไรดำ ๆ นั่นคือที่สำหรับหิ้วนั่นเอง เพราะน้ำหนักมันเยอะมาก ๆ เลยต้องทำที่หิ้วไว้ให้ แต่ตอนขนส่งพี่ดันเอากล่องน้ำตาลคลุมไว้ ดังนั้นเวลาเราเอาเข้าบ้านก็คือ อุ้มเลยจ้าาาา
ด้านหลังกล่องเราถ่ายมาเป็นแนวนอนละกัน ก็จะเหมือนกับรูปแรก คือด้านหน้าเลยไม่ต่างกัน
เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราจะเจอกับความว่างเปล่า ห่ะ ? มาเป็นแบบนี้เลย โดยด้านซ้ายที่น่าจะเป็นคู่มืออะไรสักอย่าง
ตัวคู่มือมันใส่มาให้ในกล่องเลย น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแกะละกัน ยกขึ้นมา มีน้ำหนักเยอะมาก ๆ
ปรากฏว่า หันขึ้นมา มันมีอะไรงอกออกมาด้วย น่าจะเป็นฐานของแท่นวางบนพื้น
เปิดฝากล่องด้านหน้าสุดออกมา เป็นกล่องปิดแนวยาว ๆ เลย เราจะเจอกับขาของแท่นวางบนพื้น
จากในรูปเราจะเห็นเลยว่า เขามีการเอากล่องกระดาษมาปิดหัวท้ายด้วย เพื่อไม่ให้มันขยับเวลาขนส่ง ที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ เวลาเขาจะแพคอะไรพวกนี้ เขาจะเอาพลาสติกมา Wrap ไว้ แต่ Dyson อันนี้ไม่มี
จากนั้นเราเอาฝาปิดด้านบนออก เราจะพบกับอุปกรณ์เยอะมาก ๆ วางอยู่เต็มกล่องเลย
เริ่มจากกล่องเล็ก ๆ ด้านบนกันก่อน หยิบขึ้นมาหนักมาก ๆ
เปิดออกมาเป็น Battery อีกหนึ่งก้อน สำหรับเปลี่ยนได้ โดยมันจะมากับตัว Absolute Extra เท่านั้น ตัวอื่นไม่มีเด้อ แต่เราสามารถซื้อเพิ่มได้ก้อนละ 6,500 บาท ถือว่าราคาเดือดมาก และถ้าใครที่ใช้ V11 รุ่นที่เปลี่ยน Battery เองได้ จะใช้กันไม่ได้เด้อ และราคาก็ต่างด้วย น่าจะคนละ Model เลย
ไปที่ซองกระดาษ ที่มันบังของ เราเลยเอาขึนมาดูว่ามันคืออะไร ปรากฏว่า มันจะเป็นพวก Paperwork ต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่อ่าน
เมื่อเราเอา Paperwork ออกมา พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะเห็นหมดเลยมีเยอะมาก ๆ เราค่อย ๆ มาดูกันทีละตัวกันดีกว่า
ชิ้นแรก จะเป็น ตัวต่อสำหรับเข้าถึงที่ต่ำ อ่านดูแล้ว งง ก็คือ มันเป็นหัวสำหรับการทำให้มันสามารถเข้าที่ต่ำอย่างเช่น ใต้โซฟาได้ ซึ่งหัวของมันเป็นเหมือนหัวเชื่อมที่มันจะปรับระดับความงอได้ อันนี้ตอน V11 เราไม่เคยมีมาก่อนเลย ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยใช้เลยนะ
หัวต่อไป หัวดูด 2 in 1 อันนี้เป็นหัวที่เราใช้งานบ่อยมาก ๆ มันเป็นหัวที่เราสามารถดึงหัวแปรงเข้าออกได้ ถ้าเราดูดพวกของใหญ่ ๆ หน่อย เราก็กดเพื่อเอาแปรงเก็บเข้าไป หรือถ้าเราต้องการดูดของเล็ก ๆ หรือฝุ่นเลย เราก็แค่ดึงแปรงออกมาแล้วก็ดูดได้เลย ส่วนใหญ่เราจะใช้ดูดพวกฝุ่น หรือเศษต่าง ๆ ตามโต๊ะเลย
หัวต่อไปคือ หัวแปรงดูดฝุ่นฝังแน่น อันนี้เขาบอกว่าใช้ดูดตามพรมที่มีฝุ่นที่มันฝังแน่น ๆ ได้ เช่นตามพรมรถ ใช่ฮ่ะ เราเอามาใช้ดูดรถด้วยนะ มันใช้ง่ายมาก ๆ แต่ถ้าในบ้านเราส่วนใหญ่เราไม่มีพรมอะไรที่ต้องใช้หัวนี้เลย ทำให้หัวนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้กับรถ
หัวต่อไป เป็นอีกหัวที่ใช้งานบ่อยมาก ๆ อันนึงคือ แปรงปัดฝุ่นขนนุ่มขนาดเล็ก ลักษณะมันจะเป็นหัวแปรงนิ่ม ๆ เลย ทำให้เราสามารถเอาไปดูดตามพวกพื้นผิวที่มัน ๆ เงา ๆ ได้เช่นพวกขอบทีวีอะไรแบบนั้นเลย แต่อย่าหาทำ ไปดูดที่จอนะ พวกนั้นใช้ผ้าสำหรับเช็ดจอนี่แหละเช็ดเอา
และอันนี้เลยที่เราชอบมาก ๆ เพราะมันเปลี่ยนใน V12 คือหัวดูดเก็บเส้นผม ตัวเก่า มันจะเรียกว่าหัวดูดมอเตอร์อะไรนี่แหละ คือ ที่หัวมันจะมีมอเตอร์เลย สำหรับดูดพวกฝุ่นจากเตียงและโซฟาอะไรแบบนั้น ซึ่งเราก็จะเอามาดูดม่านด้วย แต่ปัญหาที่เราเจอคือ หัวเก่า เวลามันเจอพวกเส้นผม มันจะติดอยู่ที่แปรงของมันเลย ทำให้เราจะต้องแกะ แล้วเอากรรไกรมาเล็ม แต่อันใหม่นี่สิ่งที่มันดีงามคือ มันสามารถที่จะดูดพวกผมเข้าไปได้เลยโดยที่มันไม่ติดกับหัวเลยชอบสุด ๆ
เกือบสุดท้ายคือ มาใหญ่นิดนึง เป็นหัวที่ติดมากับท่อขยายความยาว คือ หัวสีม่วง ๆ กึ่งใส เป็นหัวปากดูดในที่แคบ สำหรับเข้าซอกโดยเฉพาะเลย ความดีงามอีกอย่างของมันในรุ่นนี้คือ มันเป็นหัวปากที่มีไฟในตัวด้วย เหมือนกับรุ่นเก่า ๆ ก่อน V11 เลย
เวลาเราเอามันเข้าไปในซอกเล็ก ๆ มืด ๆ การมีไฟ เราจะได้เห็นง่าย ๆ ว่าตรงไหนเราต้องสอดเข้าไปดูดได้ ดีมาก ๆ
ไหน ๆ พูดถึงท่อแล้ว อันนี้เป็นท่อต่อสำหรับขยายความยาว โดยที่ใน V12 นี้จะมาพร้อมกับต่อสีออกทอง ๆ หน่อย เงา ๆ ด้วยนะ ตอน V11 เราได้มาเป็นสีน้ำเงินด้าน เราว่าพอมันเงา มันแอบดูแลยากไปหน่อยเหมือนกัน ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ กับ ถ้าใครใช้ V11 Absolute อยู่ เมื่อก่อนมันจะมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่า ชั้นเป็น V11 Absolute นะอะไรแบบนั้น ตอนนี้ไม่มีแล้วนะ เป็นแบบเรียบ ๆ เลย
หัวอีกอันที่ได้มาคือ หัวดูดทำความสะอาด Direct drive เป็นหัวที่ตอน V11 หลาย ๆ คนฮื่อฮ่ามาก เพราะมันเป็นหัวที่มีมอเตอร์ในตัว และยังสามารถที่จะปรับแรงจาก Load Sensor ที่อยู่ในเครื่องได้ โดยมันจะเป็นหัวสำหรับการทำความสะอาดบนพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดมาก ๆ โดยเฉพาะเลย นอกจากนั้น มันยังเพิ่มส่วนของการป้องกันเส้นผม และ ขน เข้าไปติดที่แปรงอีกด้วย ประทับใจตรงนี้แหละ
และหัวสุดท้าย ที่เป็น Highlight ของ V12 เลยคือหัว Slim Fluffy ที่เป็นแปรงขนนุ่ม ๆ สำหรับกลิ้งเพื่อดูดฝุ่นบนพื้นของเรา ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบหัวนี้ตอนใช้ V11 เท่าไหร่ เพราะพวกขนนุ่ม ๆ มันชอบเก็บฝุ่น หรือเราเผลอไปดูดพวกของเหลว มันก็จะทำให้ฝุ่นไปติดกับแปรงอีก แต่มันนุ่ม ๆ เหมาะสำหรับพื้นที่ทั่ว ๆ ไปแหละ
แต่ความพิเศษในรุ่น V12 อยู่ที่ Switch ด้านบนของมันเลย คือ Switch สำหรับเปิดแสงจากหลอด LED โดยที่เมื่อเราแกะกล่องออกมา มันจะเลื่อนไปอยู่ที่ตำแหน่งเปิดให้เราเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเราใช้หัวนี้ และเปิด มันจะมีไฟ LED สีเขียวส่องออกมาจากหัว ที่ Dyson มีการคิดเรื่ององศา และตำแหน่งมาแล้ว ทำให้เราเห็นฝุ่นได้ด้วย เดี๋ยวตอนใช้งานจริง เรามาดูกันว่ามันเป็นอย่างไร
สำหรับหัว ก็หมดแล้ว เราเปิดกล่องอีกกล่องหนึ่ง ก็จะเจอกับ Adapter ทั้งหมด 2 อันด้วยกันสำหรับใช้กับ Wall-Mount และ แท่นวางบนพื้น โดยที่มันจะเหมือนกันเลยนะ เราสามารถใช้สลับกันได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่ได้ซื้อรุ่นที่มี แท่นวางบนพื้น มันก็จะมาพร้อมกับ Adapter เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
นอกจากนั้น ก็จะมีส่วนหัวของแท่นวางบนพื้น ที่เราจะต้องเสียบเข้ากับเสาของมัน
และสุดท้าย ก็จะเป็นที่ตั้งเครื่องแบบ Wall-Mount ตัวนี้ มันจะมีมาพร้อมกับ V12 ทุกรุ่นเลย
ของที่มาในกล่อง ก็จะมีประมาณนี้เลย บอกเลยว่า เยอะมาก ๆ ขนาดเราว่าเราแกะของเร็วแล้วนะ เรายังใช้เวลาในการเอาของออกจากกล่องนานมาก ๆ เลย จำนวนชิ้นเล็กชิ้นน้อยมันเยอะมาก ๆ เรียกได้ว่า งง มากว่า เอ๊ะนี่ซื้อเครื่องดูดฝุ่นหรืออะไร ทำไมมันเยอะได้ขนาดนี้
เรามาดูที่หน้าตาของเจ้า Dyson V12 Detect Slim กันดีกว่า ถ้าใครที่คุ้นเคยกับเครื่องดูดฝุ่น Dyson อยู่แล้ว เช่นเราเองที่ขยับจาก V11 ขึ้นมา วิธีการใช้งาน และหน้าตาของมันจะเหมือนเดิมเลย โดยที่เราแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ตัว Body ของมันในรอบนี้ก็จะมาพร้อมกับสีเทาแบบปกติ แต่ตัดกับสีออกทอง ๆ หน่อย มันก็จะไปล้อกับสีของท่อขยายเลย
อีกความดีงามของ Dyson V12 Detect Silm และเครื่องดูดฝุ่น Dyson รุ่นใหม่ ๆ คือ การใช้ปุ่มเปิดที่เป็นปุ่มปกติละ เราว่าเรื่องนี้ Dyson ฟังเสียงลูกค้าเดิมที่เมื่อก่อนมันเป็นเหมือนไกปืน พอกดมันก็เริ่มดูด ปล่อยมันก็หยุด แต่เมื่อเราใช้ไปนาน ๆ ปุ่มที่เราใช้บ่อย ๆ มันก็จะสึกแล้วบางที กดแล้วไม่ติดบ้างอะไรบ้าง ทำให้ Dyson ก็ Back to the basic ทำปุ่มกดแล้วเปิดค้างไว้เลย เสร็จกดปิดอีกทีเป็นอันจบ สิ่งที่ดีคือมันไม่ใช่แค่เรื่องของความทนทาน แต่มันทำให้วิธีการจับมันเปลี่ยน จากเดิมที่เราต้องเอานิ้วคาไว้ที่ Switch อันนี้เราก็กำได้แน่น ๆ เลย ทำให้ลดความล้าไปได้พอตัว
ด้านหน้าที่เป็นช่องสำหรับเก็บฝุ่น เรียกได้ว่ามีขนาดที่อาจจะเล็กกว่า V11 เล็กน้อย แต่ก็ใช้งานได้ง่ายเหมือนเดิม เพียงหันเครื่องลงถังขยะ ดันสลักสีแดง แล้วฝามันก็จะเปิด และดันฝุ่นลงไปในถึงขยะโดยที่เราไม่ต้องจับหรือปัดอะไรเลย
ด้านล่าง ก็จะเป็นส่วนของ Battery ละ โดยที่ด้านข้างหน้าของมัน เราจะเห็นรูกลม ๆ อันนั้นเป็นรูสำหรับเสียบสายชาร์จเข้าไป และปุ่มสีแดงด้านล่างเป็นอะไรที่เรา Impress มาก ๆ เพราะในที่สุด Dyson ก็ฟังเสียงลูกค้า คือปุ่มสำหรับ Swap Battery คือ เรากดค้าง แล้วดึง Battery ออก อาจจะเอาไปชาร์จ แล้วเรามีอีกลูก เราก็เสียบเข้าไป เท่านี้เราก็พร้อมดูดต่อได้เลย จริง ๆ มีตั้งแต่ V11 Minor Change แล้วละ แต่ V11 เรามันรุ่นแรกเลยไม่เคยใช้อะไรแบบนี้เลย ตื่นเต้นเลย ชอบมาก ๆ
และสุดท้าย ด้านหลังของตัวเครื่องบริเวณที่เป็นฝาสีม่วงกึ่งใส มันเป็นส่วนของ HEPA Filter ที่จะคอยกรองฝุ่นจากอากาศเพื่อไม่ให้มันฟุ้งอยู่ในห้องของเราหลังจากดูด อันนี้เป็นความดีงามของ Dyson คือ เราไม่ต้องไปซื้อใหม่อะไรบ่อย ๆ เราแค่หมุน แล้วถอดออกมา ผ่านน้ำเปล่าได้เลย แล้วตากทิ้งไว้จนแห้ง Dyson แนะนำว่า ตั้งทิ้งไว้เลย 24 ชั่วโมง แล้วก็ใส่หมุนกลับ เราก็พร้อมดูดต่อได้แล้ว
อีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการใช้เครื่องดูดฝุ่นไร้สายคือ น้ำหนัก ถ้ามันหนักเกินไป เราดูด ๆ ไปแขนล้าแน่นอน ใน V12 เป็นอีกเรื่องที่ Dyson พัฒนาต่อคือการลดน้ำหนักของตัวเครื่องลง จากเดิมที่ V11 มันมีน้ำหนักทั้งหมด 3 kg ซึ่งขนาดเราเป็นผู้ชายยกดูดทั้งบ้าน ยังเมื่อยเลย แต่มาใน V12 กลายเป็นลดเหลือ 2.2 kg เท่านั้น หรือหายไป 800g เลย ถามว่ารู้สึกมั้ย บอกเลยว่า รู้สึก มันต่างกันเยอะมาก ๆ จนน่าตกใจเลย คิดว่าถ้าไปถือตัว Micro 1.5kg น่าจะตกใจกว่านี้แน่นอน
หลาย ๆ คนที่อัพเกรดจากรุ่นก่อน อย่างเรามาจาก V11 ที่มีพวก Wall-Mount อยู่แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องเอาของเก่าออกแล้วเจาะผนังใหม่มั้ย อันนี้เราพิสูจน์ให้ดูแล้วคือเราเอา Battery ของ V12 มาเสียบกับ Wall-Mount ของ V11 ก็ใช้งานได้นะ เสียบเข้าปกติเลย
ความเจ๋งของ Dyson V12 และ V15 (ที่ไม่เอาเข้ามาขายในไทยสักที ณ วันที่เขียน) คือ มันมีความสามารถในการ Detect หรือตรวจจับพวกอนุภาคต่าง ๆ ได้ด้วย จากรุ่นก่อนอย่าง V11 มี Load Sensor ติดอยู่ที่หัวดูด เพื่อดูแรงดูด แล้วปรับแรงดูดตามพื้นผิวอัตโนมัติ มาใน V12 นี้ Dyson พาการตรวจจับไปอีกขั้นด้วยการใส่ Piezo Sensor หรือถ้าภาษาไทย เราจะเรียกว่า เซนเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือนมาติดอยู่บริเวณที่อากาศถูกดูดเข้ามา ผนวกกับ Signel Processor ของ Dyson เอง ทำให้เครื่องสามารถอ่านปริมาณฝุ่น ที่ผ่านเข้าไปในเครื่องได้แบบ Real-Time เลย โดยมันจะแสดงอยู่ที่หน้าจอ ตั้งแต่ฝุ่นขนาด 10 - 500 Micron เลย นอกจากนั้น ถ้ามันเจอว่า ฝุ่นที่เราดูดเข้ามามันเยอะมาก ๆ มันก็จะปรับความแรงของการดูดโดยอัตโนมัติ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า พื้น หรือวัตถุที่เราดูดไป มันจะสะอาด
นอกจากนั้น หัวที่เรียกได้ว่าเป็น Highlight เลย คือหัว Slim Fluffy หรือที่ในรุ่น V12 เราจะเรียกว่า Laser Slim Fluffy อย่างที่เราเล่าไปแล้วว่ามันจะปล่อยแสงสีเขียวออกมา ถามว่ามันทำได้ยังไง จริง ๆ แล้วปรากฏการณ์นี้ เราก็เห็นอยู่ตลอดนะ ตอนที่เราเห็นว่าฝุ่นมันเกาะอยู่ตามพื้นผิวต่าง ๆ มันเกิดจากแสง เจอกับฝุ่น แล้วสะท้อน ทำให้เราเห็นฝุ่น พอมันเล็กมาก ๆ บางทีเราจะเห็นได้ยากแหละ ทำให้องศาของแหล่งกำเนิดแสงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ซึ่ง Dyson เองก็คิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี เขาเลือกที่จะใส่หลอด LED มาในองศาที่พอดีทำให้เราเห็นฝุ่นได้เยอะมาก ๆ จนน่าตกใจเลย
Piezo Sensor ผนวกเข้ากับ Laser ที่ยิงหาฝุ่น มันทำให้เราสามารถทำความสะอาดบ้านของเราได้แบบมั่นใจได้ว่า มันสะอาดไม่มีฝุ่นจริง ๆ จาก Piezo Sensor ที่อ่านค่าฝุ่นที่ผ่าน และ LED สีเขียวที่ทำให้เราเห็นฝุ่นจริง ๆ เป็นเทคโนโลยี ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะ แต่ถ้าถามเรา เรามองว่า มันเป็นอะไรที่ใช้ได้จริง ดูเหมือนจะเป็น Gimmick แต่พอมาใช้จริง ๆ เลยเข้าใจ Pain ว่าทำไมต้องออกแบบเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา
ในแง่ของการใช้งาน ต้องยอมรับเลยว่า Dyson ทำเครื่องดูดฝุ่นได้ดีมาก ๆ เครื่องแรกที่เราใช้ V11 พบว่า มันเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ซื้อแล้ว จบ จริง ๆ คือ อุปกรณ์เสริมที่มาในกล่องมันสามารถทำความสะอาดได้ทุกส่วนของบ้านจริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อพวกอุปกรณ์เสริมเพิ่มเลย จ่ายเจ็บ แต่จบจริง ๆ บวกกับตัวเครื่องที่ไม่ก๋องแก๊งเลย จับแล้วแน่น มั่นคง สมกับความเป็น Dyson มาก ๆ
มาใน V12 Dyson ก็ยังคงรักษาคุณภาพตรงนี้ได้ดีมาก ๆ ที่ ยังคงความเจ็บแต่จบอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมจาก V11 คือ น้ำหนักที่เบาลง ทำให้ลดความเมื่อยล้าในการใช้งานได้ โดยเฉพาะตอนที่เราดูดผ้าม่านที่มันจะต้องยกขึ้นไปดูดบนผ้าม่านสูง ๆ ทำให้เมื่อยมาก ๆ เลยละ พอมันเบาขึ้น ช่วยได้เยอะมาก ๆ อันนี้ประทับใจ
ส่วนแรงดูดที่ลดลงจาก V11 ถามว่า มันทำให้เราเดือดร้อนอะไรมั้ย เรามองว่า ไม่นะ เพราะบ้านเราไม่ได้เลี้ยงสัตว์หรือมีพวกฝุ่นฝังแน่นอะไร เป็นบ้านที่ทำความสะอาดบ่อย ๆ เลยไม่มีปัญหาอะไรเลย กับ ขนาดของถังเก็บฝุ่นที่เล็กลงจาก V11 ก็ไม่มีปัญหาอะไรจากเหตุผลเดียวกัน
แต่เรามองว่า บ้านใครที่เลี้ยงสัตว์เช่น แมว และ สุนัขที่ขนยาวหน่อย เรื่องขนาดถังเก็บฝุ่นเราว่า น่าจะไม่โอเคเท่าไหร่ เพราะต้องเข้าใจว่า พวกขนสัตว์เลี้ยงมันฟูนะเธอออ ทำให้มันเต็มเร็วมาก ๆ เราไม่แน่ใจว่าบ้านขนาด 2 ชั้นปกติ ถ้าเป็น V12 แล้วเจอแมวสัก 2 ตัวมันจะว่ายังไง อาจจะดูดได้ชั้นนึง แล้วก็เอาไปทิ้งทีแหละ เพราะขนมันเยอะจริง ฮ่า ๆ
ภาพที่เรามองตอนงานเปิดตัว V15 และ V12 ที่ออกมาว่ามันมี Sensor สำหรับการ Detect ฝุ่น ตอนนั้นเรามองว่ามันเป็น Gimmick ของ Dyson จริง ๆ แบบว่า เห้ย Motor ใหม่มันไม่ว้าวเลยต้องออกอะไรแบบนี้มาเหรอ ถามว่าคนทั่ว ๆ ไปสนมั้ย เอาจริง ๆ ก็ไม่นะ เราว่าแม่บ้าน อะไรก็ไม่แคร์ป่ะว่า เครื่องมันจะอ่านฝุ่นได้เท่าไหร่ หรือเอาจริง ๆ คนบ้าน ๆ เลย อยู่บ้านนี่แหละ ใช้ ๆ ไป ดูด ๆ อยู่แล้วบอก เธอ ๆ นี่ดูสิ ฝุ่นมันเข้ามาเยอะมาก ๆ เลย เห้ย คนส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้นไง ฮ่า ๆ แต่พอมาใช้เข้าจริงแล้วเราก็ยังแอบคิดว่าเป็น Gimmick นะ แต่มันทำให้การทำความสะอาดบ้านมันสนุกขึ้นไปอีกนะ สนุกกับการไปหาฝุ่นทำให้เครื่องมันขึ้นนี่แหละ สุดท้าย เราก็จะขยันทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ แหละมั้งนะ ส่วนถามว่า มันทำให้บ้านสะอาดขึ้นเพราะการปรับแรงดูดเองมั้ย เราก็มองว่า เฉย ๆ เพราะสุดท้าย เราก็ดูดมันซ้ำ ๆ อยู่ดี ก็เฉย ๆ ละกัน
สำหรับใครที่ใช้ V11 อยู่แล้ว และต้องการ Upgrade ไป V12 เราจะบอกว่า เก็บเงินไว้รอ V15 มาดีกว่าที่แรงดูดสูงกว่า V11 และมี Feature Detect ฝุ่นเหมือนกัน น่าจะตอบโจทย์กว่าเยอะมาก ๆ แต่ถ้าใครที่กำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นในบ้าน เราจะบอกว่า Dyson เป็นยี่ห้อที่ตอบโจทย์การใช้งานในบ้านแทบจะทุกแบบเลย ด้วยหัวดูดที่ครบมาก ๆ รวมไปถึงเอาไปดูดรถด้วยยังได้เลย ซื้อเครื่องเดียวคุ้ม ๆ จบ ๆ จ่ายแพงหน่อย
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...