By Arnon Puitrakul - 29 สิงหาคม 2022
จั่วหัวมาโหดมากว่า เป็นลำโพงที่ดีที่สุดเลยหวะ เอาเรื่อง ! อะ โอเค งั้นรู้แล้วสินะว่า วันนี้เราจะมารีวิวลำโพงกัน (อ่านหัวเรื่องก็รู้โว้ยย) แต่ลำโพงที่เอามารีวิววันนี้มันค่อนข้างพิเศษมาก ๆ เป็นลำโพงที่หลาย ๆ คน รวมถึงเรา ฝัน ว่าอยากจะมีมัน กับ Devialet Phantom วันนี้เราจะมารีวิวกันว่า เราได้ฟังมาทั้งอาทิตย์มันเป็นยังไงบ้าง คุ้มกับเงินครึ่งแสนที่ลงไป ต่อลูก หรือไม่ กับ Devialet Phantom II
Devialet เห็นครั้งแรกคือ รู้เลยว่า ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แน่นอน ฝรั่งเศสชัวร์ ดังนั้นมันจะไม่ได้อ่านว่า ดี - เวีย - เล็ต แต่มันต้องอ่านว่า เด - เว - อา - เล อ่าาาห์ ได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาสำหรับด่าคนทำอย่างอื่นละ ฮา ๆๆๆๆๆ
นอกเรื่องละ อะ กลับมาที่ Devialet เป็นบริษัทฝรั่งเศส ก่อตั้งเมื่อปี 2007 ซึ่งตอนนั้นเขามี Product ที่โคตรเจ๋งมาก ๆ อย่าง Amplifer ในรุ่น Expert Pro และลำโพง Phantom ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Deivalet ตอนนี้คือ CEO ของ Louis Vuitton ที่เป็น Brand แฟชั่น ทำให้ Devialet เลยเป็น Brand เครื่องเสียงระดับ High-end และ ยังมีความสวยงามในตัวตามความถนัดของฝั่ง Louis Vuitton อีกด้วย
เราขยับมาพูดถึง Phantom ที่เป็นส่วนของลำโพงจาก Devialet กันบ้างดีกว่า ณ วันที่เรารีวิว Devialet Phantom มีออกมาทั้งหมด 2 รุ่นใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ Phantom I และ Phantom II ง่าย ๆ คือ II ตัวเล็ก เข้าถึงง่ายกว่า I
เมื่อก่อน ตัว Phantom เฉย ๆ จะเป็นตัวใหญ่ที่ราคาแอบแรงมาก ๆ แสนกว่าบาทเลยละ มันเข้าถึงยากไปหน่อย Devialet เลยออกรุ่นที่เป็น Phantom Reactor ออกมา เป็นตัวที่เล็กลง เหมาะกับห้องที่ขนาดเล็กลง และ ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย แต่เอาจริง ๆ คือชื่อมันแอบ งง เขาเลย เปลี่ยนใหม่เป็น Phantom I ก็จะเป็นตัวใหญ่ และ ตัวเล็กอย่าง Reactor เปลี่ยนเป็น Phantom II นั่นเอง
ความ งง เข้าไปอีกนะ คือ เขาแบ่ง 2 รุ่นใหญ่ ๆ แล้วนะ แล้วในแต่ละรุ่นเขาแบ่งอีกนะ เช่นใน Phantom I จะแบ่งเป็นรุ่น 103 และ 108 dB นั่นดอกนึงแล้วนะ แล้วถ้าเราอยากไปสุดกว่านั้น มันจะมี Phantom I 108 dB Opéra de Paris ที่เป็นสีพิเศษอีกด้วยนะ
และสำหรับ Phantom II ก็จะแบ่งเป็น 2 รุ่นใหญ่ ๆ เหมือนกัน คือรุ่น 95 และ 98 dB พร้อมกับสีพิเศษอย่าง Phantom II 98 dB Opéra de Paris เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Phantom I อีกด้วย
เพิ่มความ งง เข้าไปใหญ่ สำหรับหลาย ๆ คนเอง อาจจะเคยได้ยินหน่วย dB กันมาบ้างละ ที่เราเรียกว่า Decibel ที่เป็นหน่วยวัดความดังของเสียง ที่ Devialet ใช้เป็นตัวเลขในรุ่นเพื่อบอกค่าความดังสูงสุดของเสียงที่ลำโพงรุ่นนั้นปล่อยออกมาได้ เช่น Phantom II 95 dB ที่เราเอามารีวิวในวันนี้ ก็จะปล่อยออกมาได้สูงสุดที่ 95 dB นั่นเอง
ตัวกล่องดูขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่มากจริง ๆ แหละ แต่ แมร่งโคตรหนัก โดยเขาทำมาเป็นกล่องกระดาษปกติเลย เราว่าไม่ได้ดูพิเศษกว่ากล่องอื่น ๆ เท่าไหร่ ด้านหน้ามีเขียน Brand Devialet และรุ่น Phantom II
ด้านข้างดูผ่าน ๆ จะบอกว่าเลอะอะไรใช่ม้าา จริง ๆ ไม่ใช่โว้ยยย ตอนขนกลับบ้านคืออุ้มยังกะลูก ไม่มีอะไรได้ขูดกล่องชั้นแน่นอนค่ะ !!
ด้านหลังก็เป็นการเฉลยแล้วนะว่า ทำไมด้านข้างเป็นแบบนั้น มันคือท้องฟ้ายามค่ำคืนนั่นเอง
ด้านข้างอีกข้างจะเป็นพวก สติ๊กเกอร์ที่ระบุพวก Information ต่าง ๆ ของลำโพงตัวนี้เช่น รุ่น และ Serial Number กับเราซื้อจาก .Life ก็มีป้ายราคาแปะไว้ 47,990 บาท เอื้ออออออ.... กับด้านล่าง เราจะเห็นว่า มันรองรับ Apple AirPlay และ Spotify Connect ด้วย ไว้เรามาคุยกันในส่วนของ Connectivity
ด้านบนของกล่อง ก็ทำมาเป็นท้องฟ้าเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของกล่องเลย เราว่ามันดูมีรายละเอียดอยู่นะ ด้านอื่น ๆ เขาไม่มีเมฆเลยอะ แต่ด้านนี้มันมี เหมือนเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
การแกะ ที่ฝากล่อง เขาจะมีสติ๊กเกอร์อยู่ ถ้าอยากรักษากล่องก็เอาคัตเตอร์ค่อย ๆ กรีดสติ๊กเกอร์ซีลออกมาละกัน อย่างอันนี้คือ พี่ที่ร้าน .Life เอาเทปมาแปะ เพราะเราเปิดเช็คเครื่องที่ร้านไป
เปิดฝากล่องออกมา เราก็จะเจอกับ พวก Quick Start และ Paperwork ต่าง ๆ แน่นอนว่า โคต้าอ่านหนังสือเราเต็มละ ข้ามโว้ยยย
เมื่อเอาคู่มือขึ้นมา เราจะเห็นกับสายไฟของตัวเครื่องที่มีมาให้เรา
ตัวสาย เหมือนจะเป็นสีขาว แต่มันก็ไม่ขาว มันออกสีไข่นวล ๆ อ่อน ๆ หน่อย ทำมาจากยาง จับแล้วมันก็ไม่ลื่นอะไร เราไม่แน่ใจเรื่องคุณภาพสายเท่าไหร่เลย ถ้าเราใช้งานไปนาน ๆ เจอความร้อนในห้องอะไรพวกนั้นบ่อย ๆ มันจะเป็นยังไง
ส่วนหัวปลั๊กรุ่นที่ขายในไทยเราก็จะเป็นแบบ 2 หัวแบนนะ ไม่มีตัวแปลงอะไรมาให้ เราก็เสียบเข้ากับปลั๊กของเราได้เลย แต่เห็นว่า เขาจะเปลี่ยนไปใช้หัวกลมหมดแล้วป่ะ ?
เอาโฟมออกมา เราก็จะเจอกับน้องนอนใส่เสื้ออยู่ในกล่องเรียบร้อยเลย จะสังเกตว่า เขาใช้โฟมในการทำให้ตัวลำโพงมันอยู่เฉย ๆ นะ ผิดกับ Brand อื่น ๆ ที่ลดการใช้โฟมไปแล้ว ไปใช้พวกกระดาษแทน ซึ่งในเคสของ Phantom II เองเรามองว่า ถ้าใช้กระดาษคือ แตกแน่ เพราะน้ำหนักตัวลำโพงมันเยอะมาก ๆ กระดาษคือยับเละระหว่างการขนส่งแน่นอน
หมดละ ของมีแค่นี้เลย ลำโพงครึ่งแสน มีมาแค่นี้แหละ แต่แค่นี้ก็คือ ขาแบกจากร้านไปที่รถคือ เหนื่อยแล้วนะ....
มาดูตัวน้องกันดีกว่า ตอนยกออกจากกล่อง เราบอกเลยนะว่า แมร่ง โคตร หนัก เรากำลังคุยกับของน้ำหนัก 4.3 kg ไม่ใช่ของอะไรที่เราจะยกเล่นเดินไป เดินมาในบ้านแน่นอน ในกล่อง น้องก็มาแบบที่มีผ้าคลุมอยู่นะ
ผ้าที่เขาใช้คือ จับแล้วรู้สึกดีเหมือนกันนะ ด้านล่างของเขาทำมาเป็นยางเหมือนกางเกงเราเลย ทำให้มันสามารถสวมเข้าไปที่ตัวลำโพง เพื่อป้องกันพวกรอยขีดข่วน กับฝุ่นระหว่างการขนส่งได้ หรือ เราเองก็เก็บไว้ เวลาเราไม่อยู่บ้านนาน ๆ หรือ เราทำกิจกรรมบางอย่างที่มีฝุ่น เช่นการดูดฝุ่นพวกนั้นเราก็จะเอาผ้านี่แหละคลุมปิดไว้จะได้กันฝุ่น
ถอดผ้าออกมา อ่าาาาห์ Satisfy สุด ๆ ตัว Body ทำจากพลาสติก แต่เป็นพลาสติกที่คุณภาพสูงมาก ๆ จับแล้วจะรู้เลย ว่าไม่ใช่ของแย่ ด้านข้างก็จะเป็นเอกลักษณ์ของ Phantom เลยคือมีลูกลำโพง Bass Driver กลม ๆ เป็นเงาอยู่ อันนี้ถ้าเราเล่นเพลงที่มีเบส เราจะเห็นเลยว่า มันสั่น ยิ่งเปิดเสียงดังเบสลงหนัก ๆ สั่นหนัก พร้อมกับข้าง ๆ มีการเขียนว่า Devialet อยู่ ทั้งสองข้างเหมือนกันเป๊ะเลย ทำให้ลำโพงนี้มี Bass Driver ทั้งหมด 2 ชุดด้วยกัน
ด้านหลังของลำโพง เราจะเห็นว่า เขามีการทำเป็นซี่ ๆ มันจะเป็นส่วนของ Heatsink ในการระบายความร้อน เพราะว่าในนั้นมีภาคจ่ายไฟ, Amp และส่วนต่าง ๆ เยอะมาก ต้องมีความร้อนอยู่แล้ว
ที่ก้นของน้อง ก็จะเป็นพวก Information ต่าง ๆ ที่เราไม่อ่านแน่นอน กับ รูสีทอง ๆ นั่น จะเป็นรูสำหรับ Mount กับพวกขาตั้งของเขา ที่แน่นอนว่า เราสามารถกดมาเพิ่มได้
ที่ด้านหลัง เป็น Port สำหรับการเชื่อมต่อ แถวบนสุด ก็จะเป็นช่องสำหรับเสียบ Ethernet เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับ Network ของเราได้ และข้าง ๆ เป็นช่อง 3.5mm สำหรับรับสัญญาณ Analog เข้าไป แถวล่างด้านซ้ายจะเป็นปุ่ม Power สำหรับเปิดปิด และข้าง ๆ กัน ก็จะเป็นสายสำหรับเสียบสายไฟที่มาในกล่องเข้าไป
ที่ด้านบนของที่เชื่อมต่อทั้งหลาย จะเห็นว่า เขามีเขียนด้วยว่า ADH มันเป็นเทคโนโลยีของ Devialet เอง ย่อมาจากคำว่า Analog Digital Hybrid ที่เป็นเทคโนโลยีที่สุดยอดมาก ๆ ไว้เรามาคุยกันในสเปกอีกที
ด้านบนของลำโพง เขาจะมีปุ่มสำหรับสั่งงานอยู่ โดยจะเป็นปุ่มแบบสัมผัส โดยที่มันไม่มีไฟอะไรเลย ถ้าเราใช้งานในที่มืดคือ เกมเลย แต่เอาเข้าจริง เราก็ไม่ได้ไปกดมันเลย พวกนี้จะเป็นปุ่มพวก การเพิ่มลดเสียง Play/Pause และการเปิด Pairing Mode สำหรับ Bluetooth เป็นต้น (ทั้งหมดนี่เราทำผ่าน App Devialet ได้)
กับด้านหน้าเป็นที่อยู่ของดอกลำโพงแบบ Full Range ที่เขาทำ Gril ที่เป็นอีกเอกลักษณ์ของลำโพง Phantom เลยดีเดียว เมื่อก่อน เราก็มองนะว่า มันสวยยังไงวะ แต่พอมาเห็นของจริง เออ แมร่งสวยหวะ เฉย....
ด้านบนของดอกลำโพง Full Range ก็จะมี Badge ของ Devialet ติดอยู่
นั่นทำให้ในตัวของ Devialet Phanthom II นั้นจะมากับ Bass Driver จำนวน 2 ดอกที่ให้เสียงย่านต่ำ และ Full-Range Driver ที่ให้เสียงกลางถึงสูงอีก 1 ลูกด้วยกัน เอาจริง ๆ ดูเหมือนจะน้อย กับน้องตัวเล็กนะ แต่ตามสเปกคือ Amp ในตัวกำลัง 350W เห็นครั้งแรกคือ อีบ้าาาา ลูกเท่ามด กำลังมันเหี้ยมมาก พร้อมกับ Bandwidth ไปได้ตั้งแต่ 18Hz ไปถึง 21 kHz เลย ก็คือ Hi-Res เรื่องเล็ก ๆ สำหรับมันเลย เขาเคลมมาอีกนะว่า 0 Distortion 0 Saturation และ 0 Background Noise (เท่าที่ลอง แมร่งจริง มันไม่ได้ตอแหล !) สเปกอย่างเดือด เมื่อเทียบกับ Form Factor ของมัน
ดังนั้น เราสามารถเอามันไปตั้งที่ไหนก็ได้เลย มันก็ดูเนียนไปกับสถานที่ไปหมด ด้วยตัวที่เล็กของมัน กับ Design ที่เราว่ามันดูสวยมาก ๆ ดูไม่เหมือน Traditional Speaker เลย ที่ปกติ เราจะเจอกับพวกลำโพงที่เป็นตู้ ๆ แต่อันนี้ไม่ใช่เลย ดูเป็นของตกแต่งบ้านได้เลย เป็นของที่ Inovation meets design จริง ๆ
การที่เราจะ Pack Performance และคุณภาพเสียง ของลำโพง ใน Form Factor ที่เล็กขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ และ เรามั่นใจว่า ณ วันที่เขียน ไม่น่ามี Brand ไหนที่ทำได้ขนาดนี้ในไซส์ลำโพงขนาดนี้เลย นี่แหละคือ ผลของการวิจัยกว่า 10 ปี และ 88 สิทธิบัตรที่อยู่เบื้องหลังของลำโพง Phantom เราเรียกว่ามันเป็นอาวุธลับของ Devialet เลยดีกว่า โหดสัสมาก ๆ
เริ่มจาก ADH (Analog Digital Hybrid) ที่เราเห็นกันที่หลังของลำโพงกันก่อน ตัวเทคโนโลยีนี้ เขาทำการรวม Feature ของเทคโนโลยีที่ต่างกันสุดขั้วออย่าง Analog Amplifier และ Digital Amplifier เข้าด้วยกัน เป็นตัวเด็ดเลย เพราะปกติจริง ๆ แล้วพวก Amplifier ดี ๆ ที่นักฟังเพลงเชื่อถือกัน จะเป็นกลุ่มของ Analog ที่ให้เรื่องคุณภาพเสียงที่ดีมาก ๆ (บางคนจะเรียกว่า Class A) แต่ปัญหาของพวกนี้คือ มันใหญ่ เทอะทะ มาก ๆ ทำให้ในกลุ่มของคนใช้งานทั่ว ๆ ไป เราก็เลยไปใช้งานจำพวก Class D หรือ แบบ Digital ที่ขนาดเล็กกว่า แต่คุณภาพสู้ Class A ไม่ได้ แต่ Devialet บอกว่า แล้วทำไมเราไม่รวมข้อดีของ Class A ที่พลังกับคุณภาพ เข้ากับความกระทัดรัดของ Class D ไปเลยละ เลยออกมาเป็น ADH นั่นเอง
นี่แหละคือเบื้องหลังตัวนึงเลยที่ทำให้พลังของ Amplifier ในลำโพงของ Devialet มันดูมีกำลังที่โคตรสูง เมื่อเทียบกับขนาดของมัน กับคุณภาพ ที่ใส และ ไม่มี Noise เลย คือ เป็นเทคโนโลยีที่โหดมาก ๆ ตัวนึงเลย
Speaker Active Matching (SAM) เป็นอีกส่วนที่เอาเข้ามาใช้กับ Phantom เมื่อก่อนเขาเอามาใช้กับ Amp ของ Brand ตัวเองในกลุ่มพวก Expert Pro วิธีการของมันคือ มันจะปล่อยสัญญาณเสียงที่ Tuned มาเฉพาะกับตัวลำโพงเลย ซึ่งถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน ก็มาจาก Engineer นี่แหละ เอาเครื่องมือมาวัด แล้วทำเป็น Calibation ออกมา ทำให้ดอกลำโพงมันทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และ เหมือนกับที่ศิลปินต้องการ ซึ่ง SAM เอง ก็ไม่ได้เป็นอะไรใหม่มาก เพราะ Brand Hi-End อย่าง B&W ก็มีการเอาเรื่องพวกนี้มาใช้เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า Form Factor มันคนละเรื่องเลย
HBI (Heart Bass Implosion) เมื่อก่อน เราอาจจะเข้าใจว่า การที่ลำโพงมันให้เสียงที่ดี และ ดัง โดยเฉพาะเบส หรือเสียงย่านต่ำ ๆ เอง มันจะต้องใช้ลำโพงขนาดใหญ่ ๆ เลย แต่ด้วย HBI เรื่องนั้นกลายเป็นเรื่องโบราณไปเลย เพราะ Devialet ใช้วิธีการออกแบบส่วนของ Bass Driver ที่หันท้ายชนกัน และ Seal ปิดไว้ ทำให้เราเห็นว่าดอก Bass Driver มันเลยอยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง ทำให้เราได้เบสที่โหดมาก ๆ แน่นสุด ๆ ในขนาดที่เล็กมาก ๆ แต่มันก็มาพร้อมกับการออกแบบที่ยากขึ้นเยอะ เพราะเขาจะต้องออกแบบเพื่อให้รองรับ Accustic Pressure มหาศาลเลยทีเดียว เป็นการออกแบบที่ฉลาดมาก ๆ
ACE (Active Co-Spherical Engine) ถ้าเรามองที่ด้านหน้าของลำโพงเราจะเห็นเลยว่า มันทำมาเป็นกลม ๆ สั้น ๆ คือ ถ้าเป็นทรงกลม มันจะทำให้เสียงที่ออกมาจากทิศไหน ก็จะให้คุณภาพที่ดีเหมือนกัน ต่างจากลำโพงปกติที่เราเห็นเป็นตู้ ๆ พวกนั้น ถ้าเราไปยืนอยู่หลังลำโพง เราจะรู้สึกว่ามันทึบ ๆ แต่ไม่ใช่กับ Phantom ไม่ว่าเราจะนั่งอยู่โซฟาข้าง ๆ หรือเป็นโจรที่ยืนอยู่ข้างหลังลำโพง ก็จะได้เสียงที่มีคุณภาพเหมือนกัน
ตัวย่อ ๆ ทั้งหมดนี่แหละ เป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ Phantom มันให้เสียงที่ใส สะอาด และ ดัง มาก ๆ เมื่อเทียบกับ Form Factor ของมัน เป็นเทคโนโลยีที่พอเรามาอ่านจริง ๆ แล้วคือ มันน่าสนใจมาก ๆ
Phantom เป็นลำโพงที่ถูกออกแบบมาในยุคของการเชื่อมต่อแบบไร้สายซะเยอะ ทำให้ใน Phantom เองนั้น รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายมาก ๆ อย่าง WiFi 5 GHz และ Bluetooth บน Codec AAC และ SBC
และเพื่อการเชื่อมต่อที่เสถียรมากขึ้น และมี Bandwidth มากพอที่จะส่งสัญญาณเสียงแบบความละเอียดสูง ๆ ได้ เราสามารถใช้การเชื่อมต่อผ่าน Ethernet ได้ด้วย ซึ่งเขาให้มาเป็น Gigabit Etherent ไปเลย รองรับความเร็วระดับ 1 Gbps เร็วพอที่จะส่งเสียงบนความละเอียดสูง ๆ แบบ Digital ได้สบาย ๆ เลย
นั่นทำให้เราเชื่อมต่อผ่านพวก Spotify Connect และ AirPlay 2 ได้ด้วย ทำให้เราสามารถกด Cast ได้จากโทรศัพท์ของเราได้ตรง ๆ เลย เรียกว่าสะดวกมาก ๆ ซึ่งพวกนี้มันส่งสัญญาณมาแค่แบบ Lossless คุณภาพต่ำละ ไม่ถูกใจสาย Audiophile สักเท่าไหร่ แต่สะดวกมาก ๆ
แต่ถ้าเราอยากได้คุณภาพสูงเลย เขาก็รองรับ UPnP Renderer ด้วยที่ความละเอียดสูงสุดที่ 24bits/96kHz ซึ่งถือว่าสูงมาก ๆ แล้ว กับถ้าใครใช้ Roon ก็รองรับที่ความละเอียดเดียวกันเลย
และสุดท้าย ถ้าเรายังคงต้องการที่จะเชื่อมต่อสัญญาณเสียงผ่านสายอยู่ Phantom II ก็รองรับเป็นหัว Jack 3.5mm ที่รับความละเอียดสูงสุดที่ 24bits/96kHz เท่ากับแก๊งค์ Wireless เลย
ดังนั้น ถ้าเราต้องการที่จะส่งไฟล์เสียงแบบ Lossless และพวก Hi-Res ทั้งหลาย เราจะต้องทำผ่าน UPnP และ Room สำหรับไร้สาย และ Jack 3.5mm สำหรับการใช้สายเท่านั้น
แน่นอนว่า มันเป็นลำโพงสมัยใหม่แล้ว การเชื่อมต่อกับ App น่าจะเป็น Basic Feature ที่ต้องมีกันเลย ซึ่ง Phantom เองก็เชื่อมต่อเข้ากับ Devialet App ได้ตรง ๆ เลย โดยเฉพาะ ถ้าเราต้องการที่จะเชื่อมต่อ Phantom ผ่าน WiFi หรือปรับแต่งต่าง ๆ เราจะต้องใช้ App เลย
ใน App เอง เปิดความสามารถให้กับ Phantom หลายอย่างมาก ๆ เช่นการทำ Multi-Speaker หรือก็คือ เราสามารถต่อ Phantom 2 ตัวเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็น Stereo Pair ได้
นอกจากนั้น ถ้าเรามีหลาย ๆ ห้อง เราก็สามารถทำเป็น Multi-Room ได้อีก ทำให้เราเล่นเพลงที่เดียว เราก็สามารถเล่นมันได้หลาย ๆ ห้อง หรือล่อทั้งบ้านเลยก็ไม่หวั่น ซึ่งเขาบอกว่า สามารถเชื่อมต่อลำโพง Phantom ได้สูงสุด 24 ตัวกันไปเลย เรียกว่า บ้านสั่น โครงสร้างบ้านจะไหวใช่มั้ย ฮา ๆ
ในลำโพงแต่ละตัว เขาก็จะมี Options มาให้เราปรับหลายอย่างมาก ๆ อย่าง Volume ที่เราปรับได้ตรง ๆ เลย กับพวกการปรับเป็น Night Mode ที่จะลดกำลังเบสลง ข้างบ้าน หรือข้างห้องเราจะได้ไม่เอาไม้หน้าสามมาปาใส่บ้านเรากัน
นอกจากนั้น เรายังสามารถเลือก Source ของเสียงที่เข้าได้อีกด้วย โดยเฉพาะ ถ้าเราสลับเป็น Jack 3.5mm มันจะต้องสลับผ่าน App เท่านั้นเลย เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันไม่ทำให้ถ้ามีสัญญาณเข้ามาแล้วสลับเองเลย
และสุดท้าย เราสามารถปรับ EQ ได้ด้วย โดยที่เขาไม่ได้ให้มาละเอียดมากนะ ก็ปรับได้แค่ย่านต่ำกับสูงแค่นั้น แล้วเขาจะมี Preset มาให้เรา 2 แบบด้วยกันคือ Flat ที่เป็น Default Preset และ Voice ที่จะเน้นที่เสียงพูดเป็นหลัก เวลาเราดูหนังช่วยได้เยอะ เวลาตอนที่เสียง Effect มันดัง เสียงพูดมันจะหาย แล้วเราต้องเพิ่มเสียง นี่แหละมันแก้เรื่องนี้ได้ดีเลยละ
ซึ่งปกติ เราก็จะใช้ iPad Mini นี่แหละ เปิด App Devialet เอาไว้ เพื่อให้เราปรับลดเพิ่มเสียงได้ง่าย ๆ จริง ๆ มันไปปรับที่ลำโพงได้แหละ แต่เราไม่อยากแตะเท่าไหร่ มันเป็นเงา ๆ จับ ๆ มาก ๆ เดี๋ยวเป็นรอยไม่ไหว
เรื่องคุณภาพเสียงไม่ใช่เรื่องที่เป็นข้อกังขาของ Devialet เลย โดยรวม เป็นลำโพงที่ให้รายละเอียดเสียงสูงมาก ๆ เสียงที่ไม่เคยได้ยินจากลำโพงตัวไหน ก็ได้ยินตรงนี้แหละ เห้ย เพลงนี้มันมีชิ้นนี้เล็ก ๆ ด้วยเหรอวะ อะไรแบบนั้น
เสียงย่านต่ำที่ทำได้แบบ ถึงใจ ถึงพริกถึงขิงมาก ๆ โอเค อาจจะยังสู้กับลำโพงตัวเป็นเมตรไม่ได้ แต่ก็สูสีนะ เบสที่ได้เป็นเบสที่ไม่ได้แข็งจนน่ารำคาญ มันนวล ๆ ลงไปได้ลึก ให้ความรู้สึกที่อึก ถึงใจมาก เก็บตัวได้ดี ที่สำคัญ มันไม่ได้ออกมาแค่เสียงนะ ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ มันสัมผัสผ่านผิวหนังได้เลยว่า อากาศบริเวณนั้นมันสั่นจริง ๆ (แหงแหละ เสียงจากลำโพงถึงเรามันเดินทางผ่านอากาศ)
ตัวอย่างเพลง We Are Young ของ fun. ฟังแล้วรู้สึกมันครบมาก โดยเฉพาะเสียง Percussion ตอนแรก มันครบ มันชัด รู้สึกถึงเสียงที่เกิดหลังการตีลงไปได้ชัดเจนมาก
ที่สำคัญด้วยเทคโนโลยีของเขาทำให้เวลามันมีเบสออกมา จะทำให้ตัวลำโพงยังคงนิ่งสนิทอยู่ โดยเฉพาะ เราเองที่เอามาวางบนโต๊ะ เมื่อก่อนใช้ตัวเก่า เราจะรู้สึกเลยว่าโต๊ะมันสั่น แล้วเราวาง HDD อยู่ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ถูกใจเท่าไหร่แน่นอน แต่อันนี้ไม่มีเลย นั่นทำให้ Driver แต่ละตัวทำงานได้เป็นอิสระจากกันหมดเลย
เสียงกลาง เราไม่คิดว่ามันจะทำได้ใสขนาดนี้เลยจริง ๆ เพราะเราเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่อง 1 Driver แล้วปล่อยเสียงหลาย ๆ ย่านออกมาอย่างตัวดอก Full-Range ที่อยู่ด้านหน้า แต่เห้ย ออกมามันใสมาก ๆ คำร้อง เสียงพูดมันชัดมาก ๆ ให้มิติที่ล้อม ๆ หน่อย ๆ แต่ไม่ได้สไตล์ดูหนัง เรียกว่า ดนตรีคือ ไม่กดทับเสียงร้องเลย เด่นมาก ๆ
รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเสียงกลางมันทำได้โคตรดีมาก ๆ โดยเฉพาะเพลงในตำนานอย่าง Money อย่าง Pink Floyd เสียงหล่นของเงิน บางส่วนคิดว่าไม่เคยได้ยินส่วนนี้จากลำโพงไหนเลยนะ จนเอ๊ะว่า ชั้นคิดไปเองเหรอ เลยไปฟังเทียบ โดยใช้เพลงจาก Apple Music, DAC และสายชุดเดียวกันหมด เออหวะจริง มันมีจริง ๆ
หรืออีกเพลง Greatest Love of All ของเจ้าแม่อย่าง Whitney Houston เสียงร้องที่สูงขนาดนั้นยังถ่ายทอดออกมาได้ครบจริง ๆ มันถึงอารมณ์มาก ช๊อตตอนที่ร้องว่า Never to walk in anyone's shadows ขยี้สุด ๆ
เสียงแหลม โหยยย มันชัดมาก ๆ ลำโพงบ้าอะไรมันจะชัดได้ทุกย่านขนาดนั้นจริง ๆ เสียงมันทอดไปได้โคตรไกล ดันใสอีก ไม่เจออาการแตกแต่อย่างใด โดยเฉพาะพวกเครื่องสายคือ อือหือออออออ เต็มอิ่มครบอารมณ์มาก ๆ
และสุดท้าย เวทีเสียงใหญ่มาก ๆ จน งง ว่า เดี๋ยวนะ หนูลูกหนูตัวเท่านี้เองนะ มันโอบล้อม ขนาดแค่ตัวเดียว เครื่องดนตรีมันวางอยู่ได้เป็นระเบียบมาก ๆ เราฟัง เราพอจะเดาออกว่ามันมีอะไรบ้าง ใครอยู่ไกล ใครอยู่ใกล้บ้าง ทำออกมาได้น่าฟังสุด ๆ และที่สำคัญอย่างที่บอกในเสียงร้อง คือเหมือนนักร้องเป็น Layer ถัดขึ้นมา แยกเสียงออกได้ชัดเจนมาก ๆ
จุดเด่นของเสียงจาก Phantom II เรามองว่ามันคือ ความชัดเจน ความใส และเบสที่ดีมาก ๆ มันเป็นลำโพงที่เรามองว่า มันไม่ใช่ลำโพงที่แต่งเติมอะไรเยอะ แต่มันเป็นลำโพงที่ต้องการเปล่งเสียงที่ผู้สร้างต้องการออกมามากกว่า ทำให้มันตรง ฟิลเหมือนกินอาหารญี่ปุ่นเลย เน้นรสชาติของวัตถุดิบซะเยอะ
ดังนั้น ถ้าวัตถุดิบห่วย ถามว่า มันขนาดนั้นมั้ย เรามองว่า ถ้าคนฟังเพลง มันฟังออกจริง ๆ ว่าเสียงมันจะทึบ ๆ เรียกว่าเป็นลำโพงที่ก็ขี้ฟ้องถึงคุณภาพไฟล์พอตัวเหมือนกัน แต่เพลงที่เราฟังส่วนใหญ่ตอนนี้เท่าที่เราลองทั่ว ๆ ไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร จะมีแต่ไฟล์ที่เราแกล้งมันลดคุณภาพแล้วลองฟังเอง นั่นแหละ คือชัดเลย ๆ
ด้วยเทคโนโลยีของ Devialet เอง ที่เขาเคลมว่า 0 Distortion 0 Saturation และ 0 Background Noise ไม่ว่าเราจะเปิดเสียงที่เท่าไหร่ก็ตาม (เราลองเปิดตั้งแต่ 0 ขึ้นไปถึง 70% ห้องก็สั่นแล้ว บ้านกรูทำจากกระดาษเหรอวะ ??) คุณภาพเสียงที่ได้ก็ไม่มีลด ไม่มี Distortion ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ไม่ต่างจากการเปิด Volume ที่ต่ำกว่านี้เลย ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ผิดกับลำโพงตัวอื่น ๆ มาก ๆ ทั่ว ๆ ไปเราเปิด 50% กับลอง 70% ก็ไม่ต่างเลยนะ
ด้วยความที่เราเอามาเป็นลำโพงคอมพิวเตอร์เราไปด้วยเลย ผ่านสาย 3.5mm ที่ต่อ DAC อีกทีนึง ทำให้เราได้ลองใช้งานในหลาย ๆ รูปแบบ
รูปแบบแรกคือ การใช้งานพวก Video Call ใช่ฮ่ะ ผมเอาลำโพงตัวละ 50k มา Video Call เสียงที่ได้ พวกคำพูด เราว่าโอเคเลยนะ ชัดเจนดีมาก ๆ แค่นี้แหละ ฮา ๆ
กับเอามาดูหนังผ่านคอมบ้าง กับเชื่อมต่อกับ Apple TV ผ่าน AirPlay แล้วเปิดหนังดูผ่าน Netflix อะไรพวกนั้น เรื่องคุณภาพเสียง ไม่เป็นที่กังขาเลยละ แต่เรื่องของความโอบล้อมในแง่ของทิศทางต่าง ๆ เรามองว่า มันก็สู้ Home Theatre ไม่ได้หรอก อย่าลืมว่า เรา Setup ด้วยระบบ 1.0 เท่านั้น แต่ถามว่ามันดูได้มั้ย มันอึก ๆ แบบ เสียงเบส มันส์มาก ๆ ถึงใจ แค่เรื่องความ Surround นี่แหละ เราว่า ถ้าเราต่อในจำนวนที่มากขึ้น อาจจะสนุกกว่านี้มาก
โดยสรุปแล้ว Devialet Phantom II เป็นลำโพงตัวลูกของ Phantom I อีกที ที่ย่อส่วนลงมาให้ราคาจับต้องได้ง่ายขึ้น และ เหมาะกับห้องที่อาจจะไม่ได้ใหญ่มาก ส่วนนึงที่เราซื้อตัวเล็ก เป็นเพราะ ห้องนอนที่เราใช้งานมันเล็กอยู่แล้ว ใส่ตัวใหญ่ไปก็ไม่ได้อะไรสักเท่าไหร่เอาเงินไปลงกับ Stereo ดีกว่าเยอะ เลยลองซื้อมาตัวเดียวก่อน ก็คือ เข้ ไม่ต้องละ ดีชิบหายละ เสียงที่เกิดพลังมันไปไกลมา ไม่คิดว่า เราจะได้เห็นพลังเสียงขนาดนี้จะลำโพงตัวนิดเดียว แล้วเสียงดันดีอีกนะ ดีแบบดีชิบหาย เน้นรายละเอียดที่คมชัดสุด ๆ จนบางครั้ง เอ๊ะ ในเพลงมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ทำให้เรามองว่า ถ้าใครที่กำลังมองหาลำโพงฟังเพลงสักตัวในงบประมาณสัก 50k ไม่น่ามีตัวไหนที่ให้พลัง และ รายละเอียดได้เท่านี้อีกแล้ว ไม่มีจริง ๆ ดังนั้นเราแนะนำเลย ต้องไปโดน ไปลองสักครั้งแล้วจะสบถออกมาตลอดการฟัง
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...