By Arnon Puitrakul - 24 มิถุนายน 2024
Devialet Mania เป็นลำโพงพกพาตัวแรกจาก Devialet ที่เปิดตัวปลายปี 2022 จนเวลาผ่านไปใน Fendi Summer Collection 2024 ก็เปิด Fendi x Devialet Mania ที่เป็นความร่วมมือของแบรนด์แฟชั่นเก่าแก่เกือบศตวรรตอย่าง Fendi มาทำงานร่วมกับแบรนด์เครื่องเสียงจากฝรั่งเศสอย่าง Devialet ออกมาเป็น ลำโพง Devialet Mania รุ่นพิเศษ เท่าที่รู้คือ ณ วันที่เขียน มีเข้ามาอยู่แค่ 5 ตัวในประเทศไทยเท่านั้น และตัวที่เราซื้อมาคือตัวแรกของประเทศไทยเราสด ๆ ร้อน ๆ เลย จะเป็นยังไง แตกต่างจาก Mania ตัวปกติอย่างไร วันนี้จะมารีวิวให้อ่านกัน
อย่าคิดนะว่า เขามาเล่น ๆ แค่กล่องก็ไม่เหมือนแล้ว เป็นกล่องกระดาษดำด้าน มี Logo ของ Fendi และ Devialet ด้วยกัน
ด้านบนจะมีสติ๊กเกอร์ซีลอยู่ ซึ่งอันนี้เราแอบแกะที่ร้านไปแล้ว เลยเป็นอย่างที่เห็น
เปิดกล่องมา จะเหมือนกับรุ่นปกติคือ ให้เราดาวน์โหลด Devialet App เป็น App ตัวเดียวกับที่เราใช้งานร่วมกับลำโพงและหูฟังของ Devialet รุ่นอื่น ๆ ทั้งหมด
เปิดฝาออกมาอีก เราจะพบกับโลโก้ Fendi วางอยู่ในซองกระดาษ เอาจริง ๆ นะโลโก้ Fendi บนพื้นดำแบบนี้มันแอบดูดีไปอีกแบบ ปกติเห็นพื้นเหลือง อักษรดำมากกว่า
ถ้าเราพลิกไปด้านหลัง มันก็จะเป็น Logo ของ Devialet เหมือนตัวปกติ
ภายในซองมันจะเป็นพวก Paperwork ต่าง ๆ เช่นพวกคู่มือ
บอกตามตรง เราไม่คิดว่า เขาจะใส่ใจรายละเอียดมากขนาดนี้ เราคิดว่า เขาจะเอาพวกคู่มือและ Paperwork ทั้งหมดมาจากเล่มปกติ ไม่ต้องทำใหม่ แต่พอเราเปิดมาก็คือ แม้กระทั่งรูปลำโพง เขาก็ยังเปลี่ยนไปเป็น Fendi Edition ไม่ใช่พวกสีปกติด้วยซ้ำ
ด้านในซอง Paperwork เราเอ๊ะใจแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะด้านในมันเป็นสีขาว ถ้าเราจับดูดี ๆ ซองนี้เกิดจากการเอาซองสีขาวสอดเข้าไปในซองสีดำแล้วติดกาวเข้าไป อันนี้สงสัยเหมือนกันว่า เขาจะทำแบบนั้นทำไมหว่า...
เปิดขึ้นมาอีก เราจะพบกับ อุปกรณ์ Bundle โดยทั้งหมดจะทำมาเป็นสีออกน้ำตาล ๆ เข้ากับตัวลำโพงมาก ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ที่จะเป็นสีเทากันทั้งหมด (เราไม่แน่ใจว่ารุ่น Opéra de Paris มันให้เป็นสีอะไรนะ)
Adapter ชาร์จ คิดว่ามันคือตัวเดียวกันกับรุ่นอื่น ๆ ทั้งหมดแค่เปลี่ยน Body เป็นสีน้ำตาลเท่านั้นเอง พวกวัสดุการออกแบบต่าง ๆ เหมือนกับรุ่นปกติที่ทำจากพลาสติก จับแล้วให้ความรู้สึก Premium อยู่พอสมควร
การออกแบบค่อนข้างฉลาดมากขึ้นแล้ว จากเดิมที่ใน Phantom II และ Dione ที่ให้สายชาร์จมาพร้อมกับเต้าเสียบไปเลย เวลาจะผลิตใช้กันทั่วโลกมันแอบแพงต้นทุนสูง รอบนี้ทำ Adapter มาให้เราสามารถถอดเสียบเปลี่ยนหัวปลั๊กได้
แน่นอนว่า ตามมาตรฐานของประเทศไทยเรา ปลั๊กที่ให้มา จะเป็นหัวกลม และถ้าเราสังเกตที่ Adapter ดี ๆ เราจะเห็นสัญลักษณ์ มอก. ด้วย อันนี้แอบตกใจเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าสินค้าจากแบรนด์ต่างชาติจะสลัก ตรา มอก. ลงไปด้วย
Adapter ตัวนี้มีหัวเสียบเพียงหัวเดียวเท่านั้นเป็น USB-C และถ้าเราอ่านสเปกของ Adapter เราจะเห็นว่า Adapter ตัวนี้สามารถจ่ายไฟผ่านมาตรฐาน USB-PD ให้กำลังไฟสูงสุดที่ 30W ด้วยกัน ทำให้ในความเป็นจริง หากเราต้องการจะชาร์จ Mania เราสามารถใช้สาย USB-C และ Adapter ที่จ่ายไฟไม่น้อยกว่า 30W เสียบแล้วก็จะชาร์จได้เร็วเทียบเท่า Adapter ที่ให้มาในกล่องได้แล้ว เผื่อเราใช้งานไปนาน ๆ แล้ว Adapter มีปัญหา เราก็สามารถหาซื้อเปลี่ยนได้ง่าย ๆ เลย
ต่อไปเป็นสาย USB-C to USB-C สำหรับเสียบจาก Adapter ไปที่ลำโพงเอง หรือ แท่นชาร์จก็ได้ ตัวสายทำมาเป็นสีน้ำตาลเดียวกับ Adapter เวลาเสียบมันก็จะดูเป็นของชิ้นเดียวกันสวยดี แต่คุณภาพของสาย เราแอบกังวลหากเราใช้ไปนาน ๆ มันจะละลาย จับแล้วมัน ๆ หรือยุยลงไปมั้ย เราซื้อของราคาแสน แค่สาย USB-C ขอสายถัก หรืออะไรที่มันทนทานกว่านี้เถอะนะ
สุดท้าย แท่นชาร์จ หากใครมี แท่นชาร์จของ Mania อยู่แล้ว ก็คือเหมือนกันทุกอย่าง แค่เปลี่ยนสีจากสีเทา เป็นสีน้ำตาลเท่านั้นเอง แต่เราต้องยอมรับเลยว่า มันดูสวยมาก ๆ
และ ณ วันนี้มีเพียงแค่รุ่น Fendi กับ Opéra de Paris เท่านั้นที่จะมีแท่นชาร์จมาให้ในกล่องในรุ่น Opéra de Paris จะได้มาเป็นสีเทา ดังนั้นจะมีแค่ Fendi ตัวนี้รุ่นเดียว ที่จะได้แท่นชาร์จสีน้ำตาลเข้าเซ็ตทั้งหมด หากใครใช้รุ่นปกติแล้วอยากซื้อเพิ่ม มีขายเป็นสีเทาเหมือนที่ Bundle มาในรุ่น Opéra de Paris ก็อยู่ที่ประมาณ 4,690 บาทได้
ด้านหน้ามีโลโก้ของ Devialet อยู่ พอมันรมเป็นสีน้ำตาลมันให้อีกฟิลลิ่งนึงไปเลย เราแอบรู้สึกว่าสีนี้มันให้เรื่องความดูหรูหรามากกว่าสีเทามาก ๆ
ด้านข้างของแท่นชาร์จก็จะเป็นรูสำหรับเสียบ USB-C จ่ายไฟเข้าจาก Adapter นั่นเอง เมื่อเราลองเสียบแล้ว เห้ย มันดูคิดมาอยู่นะ สีของแท่นมันจะเข้มกว่าสาย เวลาเสียบเข้าด้วยกันแล้วรู้สึกว่ามันสวยมาก ๆ
มาถึง Highlight ของเราในวันนี้กัน มาในถุงสีดำที่เขียนว่า Devialet มา เหมือนตัวปกติ
แต่.... เดี๋ยวก่อน เมื่อเราหันอีกด้าน เราจะพบกับ Logo Fendi อยู่ด้านหลังด้วย เออ เอาสิ
เมื่อเราเปิดมา เราจะพบกับตัว Devialet Mania สิ่งแรกที่เราน่าจะเห็นได้เลยคือ ลักษณะของมันไม่ต่างจาก Mania ตัวปกติ แต่เรื่องของสี และวัสดุหุ้มต่าง ๆ เท่านั้นที่แตกต่างกัน โดยในรุ่นของ Fendi นี้ตัวผ้าที่ใช้หุ้ม Driver จะทำมาเป็นสีน้ำตาลสาย Double F อันเป็นสัญลักษณ์ของ Fendi ที่ Karl Lagerfeld ออกแบบไว้เมื่อนานมาแล้ว จริง ๆ เราก็มีสูทลายนี้เลย ใส่แล้วถือ คือเข้ากันเวอร์
ตรงกลาง เป็นดอกลำโพงเบส อันเป็นเอกลักษณ์ของลำโพงจาก Devialet ตั้งแต่ Phantom คือเมื่อเราเปิดเพลงที่มันเบสอัดเยอะ ๆ ดอกลำโพงตรงกลางมันจะสามารถสั่นได้ พร้อมกับมีโลโก้ของ Devialet เขียนอยู่
วงรอบ ๆ ทำมาเป็นสีทอง เราว่ามันเข้ากับผ้าลาย Double-F มาก ๆ เพิ่มความหรูหราเข้าไปอีก สีมันแอบคล้ายกับ Opéra de Paris ที่ใช้ทอง 24K ใส่เข้ามามาก ๆ
ที่ดอกลำโพงเบสด้านหลัง แทนที่จะไม่มีอะไรเลยในรุ่นปกติ หรือ Logo ของ Opéra de Paris ก็กลายเป็น Logo Fendi แทน ลำโพงตัวนี้ มี Driver มาให้เราทั้งหมด 6 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็น Full-Range กำลัง 25W 4 ตัว และ Woofer 38W 2 ตัว ทำให้ลำโพงตัวนี้มีกำลังขับรวม 176W สามารถให้เสียงได้สูงถึง 95 dB SPL ที่ 1 เมตร ถือว่า สูงมาก ๆ สำหรับลำโพงลูกแค่นี้
ส่วนการควบคุมแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งด้วยกัน โดยฝั่งซ้ายจะเป็นการควบคุมตัวลำโพง ไล่จากบนลงล่างคือ ปุ่มเปิด, ปุ่มการเชื่อมต่อ Bluetooth และ ปุ่ม Devialet สำหรับการเช็คสถานะ Battery
ด้านบนมีไฟสถานะของตัวเครื่อง
ด้านล่างลงมา เป็น Switch สำหรับเปิดปิด Microphone เผื่อใครกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะตัวมันสามารถใช้งานร่วมกับ Alexa ได้ (แต่ในประเทศไทยเราไม่ได้) และด้านล่างลงมาเป็นช่องเสียบ USB-C สำหรับการชาร์จโดยตรง
ด้านขวามี 3 ปุ่มเช่นเดียวกันเป็นปุ่มสำหรับการควบคุมการเล่นสื่อ ตั้งแต่ ปุ่ม Play/Pause, เพิ่มเสียง และลดเสียง
ถัดลงมา เมื่อเรากดที่ปุ่ม Devialet ไฟแสดงสถานะ Battery จะติดขึ้นมา
ด้านล่าง เขาจะมียางใส่เข้ามารอบ ๆ กันลื่นเวลาเราเอาไปวางบนโต๊ะ ถึงแม้มันจะหนัก 2 โลแล้วก็ตาม แต่การมียางกันลื่นไว้อุ่นใจกว่าเยอะ และตรงกลางสีทอง ๆ เป็นขั้ว Contact สำหรับการต่อกับแท่นชาร์จ เราจะเห็นว่า ขั้ว Contact มันไม่ได้ฟิคเป็นจุด ๆ เหมือนแท่น ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเล็งตอนวางบนแท่นชาร์จก็ชาร์จเข้าปกติได้
Devialet โฆษณา Mania ด้วยคำว่า Metamorphic Sound แปลตรงตัวคือ เสียงที่เปลี่ยนรูปร่างได้ เอ๊ะ แล้วมันเปลี่ยนรูปร่างอย่างไร คำตอบอยู่ที่เทคโนโลยีตัวนึงที่ใส่เข้ามาใน Mania นั่นคือ Active Stereo Calibation (ASC)
ASC เป็นเทคโนโลยีอีกหนึ่งตัวของ Devialet ทำหน้าที่เหมือน Adaptive EQ ในการปรับเสียงของลำโพงแต่ละดอกให้เหมาะสมกับการจัดวางลำโพงแบบ Real-time หากใครกำลัง งง ให้คิดภาพว่า มันคือ Room Calibration แบบ Real-time ผ่าน Microphone ทั้ง 4 ตัวที่ติดอยู่บน Mania หากเราเอาไปวางในพื้นที่เปิด มันจะเล่นเสียงออกมาทั้ง 360 องศา เพื่อให้ผู้ฟังที่อยู่รอบ ๆ นั้นได้รับเสียง Stereo แบบเต็ม ๆ แต่ถ้ามันสัมผัสได้ว่าตัวเองอยู่ใกล้ ๆ กับกำแพง มันจะเปล่งเสียงออกมาทางด้านข้างเป็นหลักเพื่อไปสะท้อนกับกำแพงด้านข้าง แล้วค่อยสะท้อนเข้าหูเรา ทำให้เรารู้สึกได้ว่า ทำไมมันให้เสียงแยกซ้ายขวาได้ชัดจัง และเราอยากลืมนะว่า ทั้งหมดนี่มันทำงานแบบ Real-time เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรมันเลย แตกต่างจากพวก Soundbar อย่าง Dione เอง ที่เราจะต้องทำ Room Calibration ด้วยตัวเอง
แต่ถามว่า ASC เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สุดเลยมั้ย ก็ตอบเลยว่า ไม่ เพราะจริง ๆ ยี่ห้ออื่น ๆ มีเทคโนโลยีคล้าย ๆ กันอยู่ เช่น Sonos ก็มีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว อยู่ที่แค่ว่า ใครจะทำออกมาแล้วเนียนกว่าแค่นั้นเลย แต่ถามว่า Devialet ทำได้เนียนมั้ย เราบอกเลยว่าเนียนมาก ๆ เราแทบไม่รู้สึกถึงการปรับเปลี่ยนอะไรเท่าไหร่ แต่พอนั่งฟังไปสักพัก ถึงรู้ว่าอ่อ นี่ไง ลักษณะของเสียงมันเปลี่ยนไป
และอีกตัวคือ Cross Stereo เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใส่เข้ามาใน Mania เช่นกัน เราไม่แน่ใจว่ามันทำงานอย่างไร แต่สรรคุณในหน้าเว็บ Devialet บอกว่า มันทำให้เราสามารถได้รับเสียงแบบ Stereo แยกซ้ายขวาได้ ไม่ว่าเราจะหันหน้าอยู่ตรงไหนของลำโพง
นอกจาก ASC และ Cross Stereo ตัว Mania ยังใส่เทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Brand เลยนั่นคือ SAM (Speaker Active Matching) ที่ทำให้เสียงที่ออกมานั้นเหมือนต้นฉบับมากที่สุด ไส้ในมันคือ ศิลปะของงานวิศวกรรมแบบขั้นสุดมาก ๆ
เมื่อเราพูดถึงลำโพงพกพา เราน่าจะคิดถึงลำโพงที่สามารถเชื่อมต่อได้แค่ Bluetooth เท่านั้น สำหรับเวลาเราออกไปนอกบ้าน แต่ Deivalet ใส่มาให้มากกว่านั้น เขาใส่ การเชื่อมต่อ WiFi เข้ามาด้วยเป็น WiFi 5 วิ่งบน 5 GHz พร้อมกับ รองรับ Spotify Connect เล่นเพลงตรงจาก Spotify ที่ทำให้เราได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth มาก
หรือถ้าใครเป็นสาย Apple Ecosystem ยังสามารถเชื่อมต่อผ่าน AirPlay 2 ได้ด้วยละ นั่นแปลว่า ถ้าเราอยู่บ้าน เราก็สามารถใช้เจ้า Mania เป็น Smart Speaker ในบ้านได้ด้วย แต่ตัวมันไม่ได้รองรับ UPnP และ Roon ทำให้เราไม่สามารถ Stream Hi-Res Audio เข้า Mania โดยตรงได้
และขาดไม่ได้เลย คือการเชื่อมต่อกับ Devialet App บนโทรศัพท์ ทำให้เราสามารถเข้าไปตั้งค่าการทำงานของ Mania ของเราได้อย่างละเอียดมาก ๆ พร้อมกับบอกสถานะแบตเตอรี่อย่างละเอียด
อีกข้อสังเกตคือ หากเราไม่ได้เสียบชาร์จ Mania แล้วไม่ได้เล่นเพลงอะไรไปสักพัก ตัวเครื่องจะเข้า Standby Mode และจะทำให้เราไม่สามารถสั่งเล่นเพลงจาก Spotify Connect และ Apple AirPlay 2 ได้ เราจะต้องไปกดปุ่มใดก็ได้ที่เครื่อง มันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเราถึงจะเชื่อมต่อเข้าไปได้ แต่ถ้าเราเสียบชาร์จทิ้งไว้ มันจะไม่เข้า Standby Mode เปิดให้เราเชื่อมต่อได้ทุกเวลา ดังนั้น หากเราไม่ใช้ลำโพง เราแนะนำให้เสียบชาร์จทิ้งไว้เลยก็ได้ เวลาเราต้องการใช้ เราจะได้เชื่อมต่อมันได้ทันที
เรื่องนี้ต้องพูดเยอะอีกมั้ยอะ คุณภาพเสียงของ Devialet ไม่เป็นที่กังขาสำหรับเราเลยแม้แต่นิดเดียว ทุก ๆ ครั้งที่เราลองลำโพงของ Devialet รุ่นใหม่ เราจะต้องทึ่งกับความสามารถของมันทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราต้องตะลึ่งกับความสามารถของมัน เพราะเสียงที่มันให้ออกมา เก็บห้องขนาดกลางได้สบาย ๆ ทั้งในเรื่องของความดัง ที่เราไม่ต้องเปิดเยอะมากแค่ 55% ก็แทบจะล้นห้องแล้ว ต้องอย่าลืมนะว่า ตัวแค่นี้กำลังขับมันคือ 95 dB หรือเทียบเท่า Phantom II ตัวเล็กที่เราใช้บนโต๊ะทำงานตัวนึงได้เลยละ และด้วย ASC ที่ปรับเสียงให้เข้ากับห้องที่ใช้งาน ทำให้เราได้ Stereo ที่เหมือนจริงมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
เสียงที่ให้ออกมา ย่านต่ำ เบส ตามสไตล์ของ Devialet คือ มาเป็นลูก ๆ สัมผัสได้แบบจัง ๆ ไม่บาดหู เก็บตัวดี ลงลึก นุ่มนวล ย่านกลางทำได้ดีมาก เสียงใส ได้ยินรายละเอียดเสียงของนักร้องได้ชัดเจนมาก ๆ ตอนแรกคิดว่ามันน่าจะโดนย่านต่ำกินในเพลง Rap จังหวะดีด ๆ หน่อย อย่าง ANTLV ของ AUTTA กลายเป็นว่า ฟังรู้เรื่องหมด ไม่คิดว่าลำโพงพกพามันจะทำอะไรแบบนี้ และสุดท้ายย่านเสียงสูง ทอดยาวไปสุดมากเกินความคาดหมายไปมาก ๆ ไม่บาดหู เราคิดว่า มันแอบจูนมาให้ออกนวล ๆ มากกว่า แอบรู้สึกว่านวลกว่าพวก Phantom พอสมควรเลย
อีกเพลงที่เออเห้ยย สนุกเฉยเลยหวะ คือเพลง คนนี้คนไทย ของพี่ตั้ง TangBadVoice เพลงนี้มีการใส่ Sound Effect หลาย ๆ อย่างเข้ามา เช่น เสียงเครื่องบิน และ เสียงไซเรน ซึ่งมันเป็นเสียงที่ใส่เข้ามาข้างหลังมาก ๆ ลำโพงบางตัว มันทำหายไปเลยก็มี โดยเฉพาะลำโพงตัวเล็ก ๆ พกพาได้ แต่ไม่ใช่กับ Mania เสียงข้างหลัง ๆๆๆ พวกนี้มันเข้ามาหมด ลำโพงสามารถถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างเนียน เหมือนลำโพงตัวใหญ่ ๆ ได้เลย
และอีกตัวอย่างคือ รักรออยู่ไม่ไกล ของ Purpeech หลาย ๆ ครั้งที่เราไปฟังเพลงของ Purpeech ตามที่ต่าง ๆ เรารู้สึกว่า เสียงร้อง มันชอบ Fade หายไปอยู่ข้างหลัง ส่วนหนึ่งเกิดจากการ Mix และเนื้อเสียงของนักร้องเองที่แอบนิ่ม ๆ นิด ๆ (แต่ฟังแล้วอบอุ่นนะแกร ชั้นชอบ) แต่เราไม่คิดว่าลำโพงตัวแค่นี้มันสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ชัดเจนมาก มันแยกย่านต่าง ๆ ออกมาเป็นชิ้น ๆ แล้วประกอบรวมกันออกมาเนียนหูอย่างไม่น่าเชื่อ
จุดที่เราอยากยกให้คือ Sound Stage หรือเวทีเสียง ทำออกมาได้ดีมาก รู้สึกถึงระยะห่างของเครื่องดนตรีได้ เสียงร้องอยู่ข้างหน้า เครื่องดนตรีอื่น ๆ อยู่ข้างหลัง และเราสามารถสัมผัสแบบนี้ได้ไม่ว่าเราจะหันอยู่ทิศไหนก็ตาม
หากให้มองที่อารมณ์ของเสียง เราคิดว่าหากเทียบกับ Phantom เสียงของ Mania มันจะออกนวล ๆ อุ่น ๆ ความแหลมคมน้อยกว่า เราไม่แน่ใจว่า มันเกิดจาก ASC หรือไม่ หรือเป็นที่การ Setup ตัวลำโพงเอง แต่เราคิดว่า มันเหมาะกับการเอาไปฟังนอกบ้าน เปิดข้างนอก เช่นใน Pool Villa มาก ๆ พอเสียงมันไม่แหลมมาก โอกาสโดนตะหริวโยนข้ามมา น่าจะน้อยลงมั้ง
ในสเปกบอกว่า Devialet Mania มี Battery ความจุ 3,200 mAh สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 10 ชั่วโมง และชาร์จเสร็จภายใน 3 ชั่วโมง โดยใช้สายชาร์จและ Adapter ที่ให้มาในกล่อง ไฟจะเข้าที่ 12V 2.5A
แนะนำให้ใช้ Adapter และสายที่เขาให้มาในกล่อง หรือใช้ Adapter ที่มีกำลัง 30W ขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าเราจะชาร์จไปเปิดเพลงไปด้วย เพราะกำลังไฟที่ Adapter จ่ายให้อาจจะไม่เพียงพอกับไฟที่ตัวลำโพงใช้ทำให้ใช้ ๆ ไปชาร์จไป แบตลดเฉยเลย และถ้าเราทำแบบนี้บ่อย ๆ เรากลัวว่าแบตจะพังไวขึ้น
แต่เอาเข้าจริง เท่าที่ทดลองมา ระยะเวลาที่ลำโพงจะทำงานได้ ขึ้นกับระดับเสียงที่เปิดพอสมควรเลยทีเดียว ตอนที่นั่งฟังเสียงเพื่อจะเขียนรีวิวนี้ เปิดเสียงอยู่ระดับ 55 แล้วเปิดเพลงไปเรื่อย ๆ แล้วไปนอน เช้ามาเปิดต่ออีก รวม ๆ กันคิดว่าน่าจะมี 4-5 ชั่วโมง จากแบต 80% นิด ๆ เหลือ 0% จนดับไปเลย ดังนั้น คิดว่า ถ้าจะเอาไปใช้ในพื้นที่เปิด ใช้ระดับเสียง 60% ขึ้นไป เราอยากให้บริหารความคาดหวังไว้ที่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงแถว ๆ นี้จะดีกว่า หรือไม่ก็เสียบสายทิ้งไว้เลยก็ได้
มีคนถามเหมือนกันนะว่า ถ้าเกิดเราเอา Mania มาใช้แทน Phantom II 95 dB ได้มั้ย ประหยัดไปหมื่นนึงเลยนะ ถ้าเอาในแง่ของการฟังเพลงผ่านพวก Spotify Connect และ Apple AirPlay 2 เราคิดว่า มันก็ได้แหละ แต่สุดท้ายแล้ว เอาเข้าจริง เรามองว่ามันเป็นของคนละอย่างกัน Phantom เป็นลำโพงที่ออกแบบมาให้เราใช้งานบนโต๊ะมากกว่า แต่ Mania เป็นลำโพงพกพาที่มีแบตในตัว และกันน้ำ ดังนั้นคุณภาพเสียงบางอย่างมันจะต้องโดน Compromise เพื่อให้ยัดดอกลำโพง ยัดพลังเข้าไปในพื้นที่เล็ก ๆ น้ำหนักเบากว่าให้ได้ เราคิดว่า เหมือนกับเราบอกว่า นี่ไง เราซื้อ Dione ที่เป็น Soundbar แล้วให้มันทำหน้าที่ทุกอย่างได้มั้ย คำตอบก็คือได้ แต่มันก็อาจจะไม่เหมาะทั้งในเรื่องของเสียง และการใช้งานนั่นเอง
จากที่ได้ทดสอบแต่ละเพลงที่เราฟัง ทั้งในห้อง และในที่โล่งแจ้ง เราบอกเลยว่า Devialet Mania เป็นลำโพงพกพาขนาดกลางที่น่าสนใจมาก ๆ ตัวนึงเลย ทั้งในเรื่องความสวยงามที่ Devialet เป็นแบรนด์ลูกของ LVMH อยู่แล้ว ตั้งอยู่ตรงไหนของบ้านก็สวย (ไม่นับไอ้เก้าอี้ไม้ผู้ใหญ่ นั่นไม่ไหวจริง) และ คุณภาพเสียงตามแบบฉบับของ Devialet เน้นในความสมจริงของเสียงมากที่สุดด้วยเทคโนโลยี SAM และปรับเสียงให้เข้ากับตำแหน่งที่วางอัตโนมัติด้วย ASC ทำให้ไม่ว่าเราจะยกไปวางในงานปาร์ตี้ หรือ ใช้งานในบ้านเอง เราก็จะได้เสียงที่สมจริงตามที่ผู้ประพันธ์ทำมามากที่สุด พร้อมกับการใช้งานต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ชั่วโมงตามสเปกใช้จริงสัก 4-5 ชั่วโมง สำหรับการเปิดเสียงดังมาก ๆ เราคิดว่าเพียงพอกับการใช้งานมาก ๆ แล้ว พร้อมกับมาตรฐาน IPX4 ป้องกันละอองน้ำได้อีก โดยรวมทั้งในเรื่องการออกแบบ และ คุณภาพเสียงที่ได้ ตัวรุ่นปกติในราคา 33k นิด ๆ และ 42k สำหรับรุ่น Opéra de Paris ถือว่าเป็นลำโพงที่เราอยากจะแนะนำให้ไปลองสักครั้ง มันดีมากจริง ๆ
และสำหรับใน Collection พิเศษนี้ เกิดจากความร่วมมือของ Fendi x Devialet ครั้งนี้เป็นอะไรที่เราปลื้มมาก ๆ เพราะมันเป็นการร่วมกันของ 2 แบรนด์ที่เรารักและใช้งานจริงอยู่ทั้งคู่อยู่แล้ว มีการปรับเปลี่ยน Design ภายนอก ทำออกมาให้สะท้อนความเป็น Fendi ด้วยลายผ้า Double F อันเป็นสัญลักษณ์ของ Fendi ภายใต้ตัว Body ของ Devialet ทำให้เราได้ลำโพงที่ทั้งสวย และ คุณภาพเสียงยอดเยี่ยม ในเวลาเดียวกัน กลายเป็นลำโพงที่เราถูกใจมาก ๆ ตัวนึงเลย
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...