By Arnon Puitrakul - 15 สิงหาคม 2023
หลังจากรอบก่อน เราพา Devialet Phantom II เข้าบ้านไปแล้ว และมันก็เรียกเพื่อนมันมา วันนี้ มันไม่เรียกเพื่อนมัน แต่มันเรียกพี่มันเข้าบ้านเรา ด้วย Sound Bar ตัวแรกของ Devialet เลย นั่นคือ Devialet Dione วันนี้เรามารีวิวให้อ่านกันว่า Sound Bar ราคา 95,990 มันให้อะไรกับเราบ้าง
เรามาแกะกล่องกันดีกว่า ตัวกล่องของ Dione เขาจะมาในแนวรักษ์โลกมากกว่า Phantom Series มาก ๆ ให้มาเป็นกล่องกระดาษเหมือนพวก Recycle เลย ก็เข้าใจได้นะว่า พวกนี้อาจจะเน้นทิ้งแหละ เก็บยาก ด้านหน้าเขาก็จะปริ้นมาเป็นลายสวยงามมาก ๆ มี ORB อยู่ตรงกลาง และเขียนบอกรุ่นให้เสร็จคือ Devialet Dione
ด้านข้างกล่อง เขาจะมี Sticker บอกพวก ข้อมูลต่าง ๆ เช่น Model Number และ Serial Number ที่เราขอเบลอไว้เนอะ อ่าาา นี่ไง ด้านมุมขวาบน เขาบอกว่า กล่องทำมาจากวัสดุที่ Recycle ได้
พลิกมันออกมาหน่อย เราจะเจอกับที่จับสำหรับยก ใช่ฮ่ะ เขาทำมาเผื่อให้เรายกตอนขนกลับบ้านนี่แหละ ดูเหมือนกล่องมันไม่มีอะไร แต่ Dione อย่างเดียว มันหนักประมาณ 11-12 โลแล้วนะ รวมกล่องเข้าไปทั้งหมด เราว่าน่าจะมี 13 โล แล้วเราต้องมาถือกับ Handle อันนี้บอกเลยว่า สาหัสแน่นอน แนะนำว่า ถ้าใครไปซื้อขากลับนะ อย่ายกคนเดียวด้วย Handle นี้เลย น่ากลัว และ หนักมาก ๆ
มาที่ซีลกล่องกันเลย ในรูปนี้คือ เราแอบแกะที่ร้านสำหรับเช็คเครื่องก่อนแล้ว เขาแปะเทปใส่เข้าไปให้แทน แต่จริง ๆ แล้ว มันจะเป็น Sticker ขาว ๆ ที่เราเห็นเลย แล้วเขาจะมีแถบสำหรับดึง ทำให้เราไม่ต้องใช้พวกคัตเตอร์ในการกรีดก็ได้
เปิดกล่องออกมา เราจะพบกับกระดาษที่พิมพ์ว่า Devialet Dione และเขียนด้านล่างว่า Watch your senses หรือ ระวังสัมผัสของเรา น่าจะเป็นการบอกว่า ลำโพงนี้มันให้เสียงที่เหมือนจริงจนเราต้องตกใจแน่ ๆ แหละ จริง ๆ แล้วแผ่นกระดาษนี้ มันเป็นแผ่น Guide การเจาะสำหรับการติดตั้งแบบ Wall-Mount นะ
ยกกระดาษแผ่นเมื่อกี้ออกมา เราจะเจอกับ Compartment ด้านใน 3 ช่องด้วยกัน เราแอบชอบการวางมาก ๆ คือ เราจะเห็นว่า เขาวางคำว่า Hello เอาไว้ต้อนรับเรา
ที่ภายในกล่อง เขาจะมีพวก คู่มือและ Paperwork ต่าง ๆ มาให้เรา เราชอบเพราะ เขาสร้าง Flow ในการ Unbox กับอุปกรณ์ที่ต้องการการ Setup ได้ดีมาก ๆ คือพยายามทำให้เรารู้ว่า เราต้องหยิบอันนี้ก่อนนะ ซึ่งในกล่องแรกที่ให้หยิบมันจะมีคู่มือสำหรับการ Setup ให้พร้อมแล้ว และเขาจะบอกเลยว่ามันต้องทำยังไง ใช้อะไรที่อยู่ในกล่อง
ทำให้เราไปที่กล่องด้านซ้ายก่อน เขาเขียนว่า Wall Mount Guide อ่านแล้วเข้าใจไม่ยากเลยน่าจะเป็นส่วนของการยึดติดกำแพง
ใช่แล้ว เปิดออกมา มันก็จะเป็นพวกอุปกรณ์สำหรับการยึด Dione เข้ากับกำแพง พร้อมกับคู่มือให้เราพร้อมเลย แต่อันนี้เราไม่ได้ยึดกับกำแพงเราขอข้ามไปละกันนะ
ไปที่กล่องทางด้านขวา อันนี้แหละ เราต้องใช้แน่นอน Cable หรือสายสำหรับเชื่อมต่อต่าง ๆ
ภายในกล่อง เขาก็จะมีพวกสายสำหรับเชื่อมต่อต่าง ๆ มาให้เรา และห่อพลาสติกมาอย่างดีเลยนะ ไม่ใช่แบบม้วน ๆ ใส่กล่องมาเฉย ๆ
สายแรกที่สำคัญมาก ๆ คือ สาย Power สำหรับการจ่ายไฟเข้า อันนี้เราไม่ได้วัดนะว่ามันยาวเท่าไหร่ แต่เราเดาขำ ๆ คิดว่าไม่น่าจะเกิน 3m เลย ดังนั้น เวลาเราจะเลือกจุดวาง ให้เราวางแผนหน่อยว่าสายไฟมันถึงที่เสียบมั้ยด้วย และปลั๊กที่เสียบก็ยังเป็น 2 ขาแบนอยู่
เส้นต่อไป อาจจะเป็นสายที่หลาย ๆ คนไม่คุ้นเคย นั่นคือ TOSLINK เป็น Fibre Optics สำหรับเชื่อมต่อกับพวกทีวีรุ่นเก่า ๆ หน่อย
และสุดท้ายคือสาย HDMI สายที่เขาให้มา เราชอบมาก ๆ เขาจะมีแปะไว้ที่สายเลยนะว่า ให้เราเสียบกับช่อง HDMI ที่เขียนว่า ARC หรือ eARC เท่านั้นนะ ห้ามไปเสียบช่องปกตินะ ไม่งั้นเสียงไม่ออกจริง ๆ เด้อ กับคุณภาพของสาย เราว่าไม่แย่เลย เป็นสายปกตินี่แหละ แต่จับแล้ว Solid ดีใช้งานได้เลย
เมื่อเราเอา Compartment พวกกล่องทั้งหลายออกมาแล้ว เราจะเจอ Devialet Dione ห่อผ้าสำหรับกันรอยระหว่างการขนส่ง นอนอยู่ในกล่องอย่างสวยงามเลย
ลองสังเกตในรูปดู เราจะเห็นว่า เขามี Sticker ที่เป็นรูปมือเขียว ๆ อยู่ คือ เขาบอกว่า เวลาเราจะยกมันขึ้นมา ให้เราสอดมือไปที่ตำแหน่งตาม Sticker แล้วยกขึ้นมา คือแบบ เหยยย เขาใส่ใจในการติดตั้งขนาดนี้เลยเหรอวะ
ส่วนพวกผ้า เขาก็จะใช้ Sticker ขาวแบบเดียวกับที่ติดอยู่หน้ากล่องแปะเอาไว้ เราก็แค่แกะออกมาก็จบแล้ว การแกะกล่องก็มีเท่านี้เลย ในกล่องไม่ได้มีอะไรมาก มีแต่ของที่เราจำเป็นต้องใช้ และ TOSLINK ที่เขาอาจจะเข้าใจว่ามันหาซื้อยากมั้งเลยแถมมาให้ด้วย จะได้ไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม
จากการแกะกล่อง เราชอบมาก ๆ ถึงกล่องเขาจะไม่ได้อลังการ หรือสีสันสวยงามเหมือน Phantom Spekaer มาในแนวรักษ์โลก เอากระดาษ Recycle มาใช้แทน แต่วิธีการออกแบบ Packaging ที่ค่อย ๆ พาเราแกะไปเรื่อย ๆ Setup ด้วยวิธีที่ถูกต้อง มันทำมาได้ดีมาก ๆ เราให้เลยจริง ๆ เป็น Packaging ที่ดีต่อใจสำหรับเรามาก ๆ
มาที่ตัว Sound Bar กันบ้าง เราต้องบอกเลยว่า Devialet ก็คือ Devialet วันยันค่ำ อยู่ใต้ร่ม LVMS ดังนั้น เรื่อง Design ของ Devialet Dione ก็คือสวยมาก ๆ ตั้งอยู่ในห้อง ห้องไหนมันก็ดูหรูหราหมาเห่ามาก ๆ ตัวที่เรากดมาเป็นตัวปกติ ด้านบนเขาจะทำจาก Anodised Aluminum ที่มองดูยังไง มันก็ดูหรูหรามาก ๆ ทุกครั้งที่มอง แต่.... เราว่าน่าจะติดที่การดูแลรักษา เพราะมัน Fingerprint Magnet มาก ๆ แนะนำว่า อย่าจับ ใช้ผ้าเช็ดเอา และเขายังทำด้านหน้าให้มันเป็นทรงลงไป
เพื่อให้มันรองรับกับสิ่งที่ Devialet เรียกว่า ORB ลูกกลม ๆ นี้ ทำหน้าที่เป็น Centre Speaker ตัวใหญ่เลย โดยเราจะเห็นว่ามันเป็นรู ๆ เพื่อให้เสียงออกมา และยังมีการพิมพ์ Logo ของ Devialet ติดเอาไว้ด้วย อีกความพิเศษของ ORB คือ เขาคิดมาแล้ว ถ้าเราวางไว้บนโต๊ะ เราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
แต่ถ้าเราแขวนกับพนัง เราก็สามารถจับ ORB หมุน เพื่อให้เข้ากับการวางบนพนังได้ด้วย เรียกว่า วางยังไงก็สวยค่าาา สวยจริง ๆ มองกี่ครั้งก็ยังสวย
ทางด้านขวาของลำโพง ก็จะมีการ Print ชื่อ Devialet ติดไว้ เราไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมันดูดีได้ขนาดนี้
และด้านซ้าย เพื่อให้สมดุลกัน แทนที่จะพิมพ์ Devialet เอาไว้ ก็เปลี่ยนเป็นปุ่มแบบสัมผัสแทน ไล่ตั้งแต่ด้านบนจะเป็นไฟแสดงสถานะการ Mute Microphone สำหรับการทำ Room Calibration ถ้าขึ้นแดง คือ เราสั่ง Mute เอาไว้ สามารถปรับได้โดยการกดที่ปุ่มถัดลงมา ถัดลงไปอีกเป็น Bluetooth Pairing สำหรับการสั่ง Pair เข้ากับอุปกรณ์เพื่อเล่นเสียงผ่าน Bluetooth ที่เหลือคือ พวกการเพิ่มลดเสียง และ การควบคุม Media ต่าง ๆ สุดท้าย เป็นไฟแสดงสถานะการทำงาน อย่างสีเขียวคือ เมื่อเราเปิดมาครั้งแรก มันบอกว่า มันพร้อมให้เรา Setup และถ้าเป็นปกติ มันจะเป็นไฟขาวนิ่ง ๆ
ส่วนด้านข้าง และ หน้า ที่เหลือทั้งหมด เขาจะหุ้มมาด้วยผ้าอย่างดีเลย แล้วเขาเหมือนกับใช้ผ้าที่มันละเอียดมาก ๆ ทำให้มันเข้ากับ Anodised Aluminum มาก ๆ ถึงมากที่สุดจริง ๆ อันนี้คือ ยอมใจเลยจริง ๆ
ด้านหลังเลย มันก็จะเป็นผ้าเหมือนกับด้านหน้าเลย ไม่มีอะไร แต่ตรงกลางจะมีการเขียนไว้อยู่ว่า ADH หรือก็คือ Sound Bar ตัวนี้ ใช้เทคโนโลยีตัวเด็ดของ Devialet อย่าง Analog Digital Hybrid มาด้วยนั่นเอง
สำหรับ Port การเขื่อมต่อ เขามาง่าย ๆ เลยคือ Ethernet สำหรับการเชื่อมต่อกับ Network บ้านของเรา ลงมาเป็น Optical สำหรับการเชื่อมต่อกับทีวีรุ่นเก่า ๆ หน่อย ขึ้นไปขวามือเป็น ARC/eARC สำหรับต่อกับทีวีรุ่นใหม่ ๆ และสุดท้ายเป็น AC Power สำหรับต่อไฟเลี้ยงเข้าไป
สุดท้ายที่ใต้สำหรับวาง เราคิดว่าเขาทำจากพลาสติกนะ แต่ไม่ได้อะไร เพราะมันเป็นส่วนที่เราไม่เห็นอยู่ละ ทำมาเป็นเรียบ ๆ เลย แต่เขาจะมีการเจาะรูไว้ทั้งสองข้างใหญ่ ๆ สำหรับการแขวนยึดกับกำแพงนั่นเอง
และที่ข้างทั้งสองข้าง เขาทำเป็นขามาไว้ด้วย คิดว่าเป็นยางกันลื่น สำหรับวางบนโต๊ะ จะได้ไม่ลื่นไปลื่นมาบนโต๊ะ
เมื่อเราเอามาวางบนโต๊ะ เราต้องบอกว่า มันใหญ่มาก ๆ ขนาดเราวางอยู่เทียบกับทีวีขนาด 55 นิ้ว ขนาดของ Dione เกือบเท่าความยาวของทีวี 55 นิ้วเลยก็ว่าได้ ดังนั้น เราแนะนำว่า ควรใช้กับทีวีสัก 65 นิ้ว ถือว่ากำลังสวยเลย
และความสูง 77mm และ เมื่อรวม ORB มันจะสูงเป็น 88mm เราแนะนำให้เช็คกับทีวีของเราก่อน ถ้าเกิดเราจะวางใต้ทีวี เพราะทีวีบางรุ่นขาเขาจะทำมาเตี้ยมาก ๆ และ Dione มันไม่สนใจ ฮ่า ๆ มันทำมาสูงอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับพวก Flagship Soundbar หลาย ๆ Brand เลย
โดยรวมแล้ว เราต้องบอกเลยว่า Devialet Dione เป็น Soundbar ที่สวยมาก ๆ ตัวนึง ออกแบบมาได้สวย จากที่ Sound Bar เคยเป็นปรปักษ์กับการออกแบบของบ้าน แต่อันนี้ไม่เลยห่างไกลมาก ๆ มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทำให้โคตรสวย และ มี Dynamic มาก ๆ ถ้าเราไปเทียบกับ Soundbar เจ้าอื่น ๆ เราไม่เคยเห็นเจ้าไหนออกแบบได้มีส่วนโค้งสวยได้ขนาดนี้ และเราคิดว่าที่เจ้าอื่น ๆ เขาไม่ทำกัน เพราะส่วนโค้งพวกนี้ มันทำยาก ราคาแพง แต่... Devialet เป็น Brand ระดับ Luxury อยู่แล้ว เขาไม่สนใจเรื่องผลิต Mass ยากหรอก เน้นสวยแบบ No Compromise แน่นอน ทำให้เรามองยังไง มันสวยจริง ๆ
แต่ความสวย ก็มาพร้อมกับการออกแบบที่สุดยอดเช่นกัน เพราะ เขามาพร้อมกับลำโพงทั้งหมด 17 ลูกด้วยกันให้ Setup แบบ 5.1.2 ตอบสนองได้ครบทุกย่านตั้งแต่ 24Hz - 21kHz ด้วยกำลังถึง 950W RMS ทำให้ขับเสียงออกมาได้สูงสุดที่ 101 dB เลยทีเดียว เรียกว่า เสียงดังใช้ได้เลยละ ดังนั้นบอกเลยว่า นี่ไม่ใช่ของเล่นเด็ก มันคือผลงานทางวิศวกรรมที่ทั้งสวย และ สุดยอดมาก ๆ ตัวนึงเลยก็ว่าได้
ในแง่ของ Technology รองรับ การถอดรหัสเสียงหลากหลายประเภทมาก ๆ กับยังรองรับมาตรฐานเสียงยอดนิยมอย่าง Dolby เช่น Dolby Atmos ที่ให้เสียงรอบตัวแบบสุดยอดมาก ๆ แต่ติดอย่างเดียว อาจจะไม่ได้รองรับมาตรฐานจากฝั่ง DTS ทั้งหมด ที่ส่วนใหญ่ เราอาจจะไม่ได้เจอในพวก Streaming แต่เราสามารถเจอได้กับพวก Blu-ray ทั้งหลายมากกว่า ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่า การที่มันไม่รองรับฝั่ง DTS จะเป็นปัญหาเลย เว้นแต่เราเน้นดูพวก Blu-ray เยอะ ๆ นั่นอีกเรื่อง
Devialet Dione เขาก็ถือว่าเป็นเครื่องเสียงในสมัยใหม่เหมือนกัน คือ มันรองรับการเชื่อมต่อในปัจจุบันเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ Spotify Connect, Apple AirPlay 2, UPnP และ Roon ในการเชื่อมต่อได้เหมือนกับ Phantom Speaker ทุกประการ โดยเราสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านทั้ง Ethernet เสียบสาย หรือจะเป็น WiFi แบบไร้สายได้ทั้ง 2.4 และ 5 GHz
ส่วนการเชื่อมต่อกับระบบ Home Theatre เราสามารถเชื่อมต่อผ่านสาย Fibre Optics บนหัว TOSLINK ก็ได้ หรือ เราสามารถเสียบผ่าน HDMI บนช่อง ARC หรือ eARC ระหว่าง Dione กับทีวีของเราได้เลย
และมันยังรองรับ HDMI-CEC ที่ถ้าเราเสียบกับทีวีที่รองรับ และ เปิดการใช้งาน มันจะทำให้เราสามารถควบคุม Dione จาก Remote ทีวีอันเดิมของเราได้เลย ไม่ต้องไปหาทำซื้อ Remote เขามาเพิ่ม ให้งอกรกอะไรเลย อันนี้ชอบมาก ๆ และมันเข้ากับทีวีเราได้แบบไม่มีปัญหาเลย
ในการ Setup ของเรา เราจะเชื่อมต่อตัว TV คือ Sony X90H ซึ่งถ้าเราไปดูที่คู่มือ มันจะบอกว่าช่อง eARC อยู่ที่ช่อง HDMI3 เราก็เสียบเข้ากับ Dione จริง ๆ เท่านี้ ก็เรียบร้อยแล้ว แต่เรามีการใช้กล่องอย่าง Nvidia Shield เราก็เลยเสียบเข้ากับทีวีช่อง HDMI4 แล้วก็เสียบสายไฟเข้ากับ Dione และสาย Ethernet เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับ Network ของบ้านเรา ก็เป็นอันเสร็จ ใช้เวลาไม่น่าเกิน 5 นาที แต่จะนานตรงรื้อโต๊ะเดิมออกมากกว่า ฮ่า ๆ
เมื่อเราเปิดเครื่องมา เราก็จะทำการเชื่อมต่อกับระบบ Network ของเรา ด้วยการใช้ App Devialet ถ้าเข้ามา สำหรับเราเอง เรามี Phantom Speaker อยู่แล้วเลยมี List ของลำโพง
เมื่อเรากดเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ มันก็จะมีให้เราเลือกว่า เราจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ตัวไหน เราก็เลือกไปเลย Dione โกกก
จากนั้นมันก็จะทำการค้นหาตัวอุปกรณ์ ให้เรามั่นใจนะว่า เราเสียบปลั๊กแล้วนะ มันก็จะเจออุปกรณ์ของเรา ก็จิ้ม Configure Now ได้เลย
มันจะถามเราว่า เราวางในลักษณะของตั้งโต๊ะปกติใช่มั้ย อันนี้มันเป็นความฉลาดของ Dione มาก ๆ คือ มันสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า มันถูกวางอยู่ในลักษณะแบบไหน แบบตั้งโต๊ะ หรือ แขวนพนัง จากภาพก็จะเห็นว่า มัน Detect ถูกละ เราก็ Confirm ได้เลย
สุดท้าย มันก็จะทำการ Config ตัว Dione ของเรา พวกเรื่องของการเชื่อมต่อ WiFi ถ้าเราไม่ได้เสียบ Ethernet มันก็จะอ่านจากเครื่องของเราเลย ทำให้เราไม่ต้องมานั่งเลือก WiFi และ ใส่รหัสผ่านอะไรให้ยุ่งยาก และสุดท้าย มันก็จะจบเสร็จเรียบร้อย พร้อมใช้งานแล้ว
จะเห็นว่า การ Setup มันง่ายมาก ๆ ตั้งแต่ การแกะออกจากกล่อง จนไปถึงการ Setup และเชื่อมต่อเข้ากับทีวีของเรา ทั้งหมด เราคิดว่าใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 10 นาทีเลย เป็น Soundbar ที่การติดตั้งมัน Seamless มาก ๆ ตัวนึงสำหรับเราเลย
ในการใช้งาน ถ้าเราเล่นทั่ว ๆ ไป มันจะให้เราเลือกโหมดได้ โดยจะมีทั้งหมด 3 Mode ด้วยกันคือ Music สำหรับการฟังเพลง เขาจะให้เสียง Stereo ที่เดือด ๆ ใช้ได้, Voice สำหรับการ Focus กับเสียงพูดทั้งหลาย เราเอามาฟัง Podcast ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเลย หรือฟังข่าวอะไรพวกนั้นได้เลยนะและสุดท้าย Spatial ในโหมดนี้ มันจะใช้เทคโนโลยีในการ Upscale เสียงให้กลายเป็นแบบ 5.1 ให้เราเองเลย
แต่ ๆ ถ้าเราเล่นพวก Dolby ทั้งหลาย เช่น เราลองเล่น Source ที่เป็น Dolby Atmos มันจะขึ้นมาให้เลยว่า เป็น Dolby Atmos
ซึ่งมันจะไม่แยกให้เรานะว่า เป็น Dolby Atmos DD+ หรือเป็น TrueHD แต่มันเล่นได้จริง ๆ นะ อันนี้เราเล่นผ่าน Plex ออกจาก Nvidia Sheild เลย มันก็ออกเป็น Atmos TrueHD แบบ Original เลย
ปัญหาที่เราจะเจอได้เมื่อ Content ของเราเป็นพวก DTS ทั้งหลาย ซึ่ง Dione อ่านไม่ได้ ถ้า App มันพยายามจะ Passthrough ออกไปให้ Dione สิ่งที่เราจะเจอก็คือ มันจะไม่มีเสียงออกมาเลย วิธีการแก้คือ เราจะต้องปิด Passthrough และให้ทีวีเป็นคนถอดรหัสแทน แล้วพอเราจะกลับมาเล่น Dolby TrueHD อีกครั้ง เราก็กลับมาเปิด Passthrough เหมือนเดิม
ถ้าได้อ่านรีวิว Devialet Phantom เราก่อนหน้านี้ เราเล่าไปแล้วว่า Devialet เขามี Technology อะไรที่ทำให้เสียงมันเหนือความคาดหมายของเราได้ขนาดนี้ เช่น ADH (Analog Digital Hybrid) ที่เป็นการรวมข้อดีของ Digital Amplifier ที่ขนาดเล็กกะทัดรัด และ Analog Amplifier ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีสุด ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เราได้คุณภาพเสียงที่ดีมาก ๆ ในขนาดที่เล็กกว่าเดิมสุด ๆ แน่นอนว่า Devialet Dione ก็ใส่ ADH เข้ามาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ อัดเข้ามาให้เราอีก
SPACE เป็น Technology การทำการ Upscale เสียงในรูปแบบ Mono หรือ Stereo ให้กลายเป็นเสียงในช่อง 5.1.2 ได้ ทำให้เราได้ประสบการณ์ การรับชม ที่ดีกว่าเดิมมาก ๆ
Adaptive Volume Level (AVL) เป็นตัวที่เราชอบมาก ๆ มันจะทำหน้าที่เป็น Dynamic Equaliser ในการปรับแต่งเสียง เพื่อให้เสียงในแต่ละย่านมันเท่ากันให้มากที่สุด สิ่งที่เราจะรู้สึกได้จากมันคือ รายละเอียดของเสียงที่เยอะกว่าเดิมมาก ๆ เพราะมันจะเร่งส่วนที่เล็ก ๆ ให้ออกมาชัดเจนมากขึ้น หรืออีกมุมนึง เราว่า หลาย ๆ คนที่ดูหนัง น่าจะเคยเจออาการที่ว่า เสียง Effect ต่าง ๆ มันดังมาก ๆ แล้วพอเจอเสียง Dialog มันจะเบามาก ๆ เราต้องเร่ง ๆ ลด ๆ เสียงอยู่นั่นแหละ AVL มันจะเข้ามาแก้ปัญหานี้ให้เราได้แบบหมดจดเลย
โดยรวมแล้วพวกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเมื่อเทียบกับลำโพงใน Phantom Series คือ พวก Feature สำหรับการทำงานกับพวก Multichannel Sound ทั้งนั้น เพราะ Soundbar เราเอาไว้ดูหนังเป็นหลัก แล้วพวกนี้มักจะทำเป็น Multichannel มาหมด ดังนั้น มันก็จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์การดูหนังที่ Immersive มากขึ้นไปอีก
มาที่เรื่องสำคัญของ Sound Bar อย่างคุณภาพเสียงกันบ้างดีกว่า ต้องบอกเลยว่า คุณภาพเสียงมันใช้ได้เลย มาในโทนเหมือนกับพวก Phantom Speaker แค่เพิ่มความ Surround เข้ามา เราลองไปดูที่ทีละย่านกัน
เริ่มจากย่านต่ำก่อน เป็น Advantage ของ Devialet ในทุก ๆ ตัวเลยก็ว่าได้ รวมถึงเราด้วยที่เป็นแฟนเบสของ Devialet เลย กับถึงจะไม่มี Subwoofer แยก แต่มันก็ให้เบสที่หนาตามสไตล์ของ Devialet ในห้องขนาดเล็ก ๆ เราว่านั่ง ๆ ไปตอนที่เสียงมาหนัก ๆ มีตัวสั่นได้เลย แล้วมันไม่ได้ออกมาแบบ โง่ ๆ กาก ๆ นะ แต่มันเป็นเบสที่เปิดเสียงดัง เราก็ไม่ขัด มันมีคุณภาพมาก ๆ กระหึ่มมาก ๆ ในห้องขนาดเล็ก ๆ หน่อย ถือว่าไม่เสียชื่อ Devialet ที่เรารักเลยจริง ๆ โดยเฉพาะตอนเราดู John Wick 3 Parabellum ฉากสุดท้ายที่ฟาดกันใน The Continental ตัว Dione ให้เสียงปืน เสียงเบส ของมันได้ละเอียด ไม่มีอาการบวม และ สะใจชิบหาย แต่เรื่องที่ Demonstrate เบสได้โหดสัสรัสเชียมาก ๆ คือ Jurassic World Dominion ฉากสุดท้ายที่ T-Rex, Therizinosaurus และ Giganotosaurus สู้กัน แล้วมันร้องออกมา ตัดภาพมาที่เราก็ร้อง Holy $hit!!!!!!!!!!! ไ_เยสแหม่ !!!!!!
มาที่ย่านกลาง สำหรับการดูหนังส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสียงพูด อันนี้เราต้องบอกเลยว่า ย่านต่ำของ Dione มันมากวนย่านกลางนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ นะ เราผิดหวังหน่อย ๆ สำหรับการจูนเสียงลักษณะนี้ของ Devialet แต่ ๆ เขาก็แก้เกมด้วยการใส่ AVL เข้ามาเพื่อชดเชยเรื่องนี้ได้ ทำให้เสียงพูด Dialog ต่าง ๆ ในหนังมันทำออกมาได้อุ่น ๆ เข้มข้น มาก ๆ เช่น เราลองเอา Deepwater Horizon มาเปิดดู ลำโพงอื่น ๆ เจอฉากที่แท่นกำลังพัง แล้วมี Dialog พูดไปด้วย บางครั้งมันจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องต้องเปิดซับเอา แต่ Dione ทำออกมาได้ดีมาก ๆ คือ เรายังฟัง Dialog รู้เรื่องว่าพูดอะไร แต่เสียงพวกแท่นที่กำลังพังลงมาโอเค มันเหมือนโดนขยับไปข้างหลัง แต่มันก็ยังอยู่
และสุดท้ายในย่านเสียงสูง ทำได้ใสมาก ๆ บรรยากาศทำได้แบบคมชัด เสริมอารมณ์ตามที่ผู้สร้างคิดมาได้เป็นอย่างดีมาก ๆ กลับไปที่เดิมคือ Jurassic World Dominion ตอนที่ Blue ร้องเรียกลูกตัวเอง เราว่า เราฟังเสียงนี้หลายรอบมาก ๆ กับหลาย ๆ Soundbar แต่เราก็ยังเคยเจอ Soundbar ตัวไหนที่ให้เสียงได้คมชัดแบบนี้เลย เราคิดว่า มันไม่ได้คมแบบ คมจริง มันคมแต่ง แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจอะไรมาก อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ถามเราที่ชอบดูหนังฟังเพลง ถ้าในมุมของความเป็น Soundbar เราว่า คมขึ้นคมแต่ง แต่ไม่ได้ปลอม เราว่ามันโอเค
ไปที่ความ Surround กันบ้าง เราว่า หลาย ๆ คนแอบกลัวว่า เสียงความ Surround มันจะไม่เยอะมาก เพราะมันไม่มีลำโพง Surround อยู่ข้างหลังเรา สำหรับห้องขนาดใหญ่ ๆ หน่อยเราแอบกังวลอยู่นะ อาจจะเพราะเราไม่ได้ลองจริงเลยทำให้เราไม่กล้าพูดเยอะ แต่สำหรับในห้องขนาดเล็กหน่อย เราคิดว่า มันเอาอยู่เลยถึงจะไม่มีลำโพง Surround มาให้ เสียงความ Atmos ทำได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ เราก็ไม่เชื่อหูตัวเองเลยเหมือนกัน กับหนังที่เราไม่คิดว่ามันจะทำ Atmos ได้ดีอย่าง No Time To Die ภาคสั่งลาของ Daniel Craig ฉากตอนไล่ล่าคือสุดยอดมาก ๆ เราใช้ Blu-Ray ที่เล่นเสียงแบบ Dolby Atmos TrueHD 7.1 เสียงกระสุนที่ยิงผ่านไป Dione จำลองมันออกมาได้เหมือนจริงมาก ๆ หรือในฉากแรก ๆ ตอนที่เข้าเมือง Matera ของอิตาลีเพลงเขาก็ทำมาได้แบบ ดีมาก ๆ เหมือนกับเราอยู่ใน Orchestra แว่บนึงเลย โดยรวม เราบอกเลยว่า ไม่ผิดหวังเลย
แน่นอนว่า เป็นลำโพง มันต้องเล่นเพลงได้ด้วย ใช่มะ ความคิดคนทั่วไป อะ เรามาลองเล่นกันดีกว่า เข้าในโหมด Music ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ เลยนะ เมื่อเราพูดว่ามันคือ Sound Bar น่ะ โดยรวม มันเล่นเพลงออกมาได้ใช้ได้เลย เครื่องดนตรีต่าง ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ถามว่า สู้ Phantom II 2 ตัวทำ Stereo กันได้มั้ยก็ต้องตอบเลยว่า ไม่ และ Phantom II 2 ตัวทำ Stereo ก็ยังสู้ Dione เมื่อเอามาดูหนังไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าถามเราว่า มันเอามาฟังเพลงได้มั้ย เราก็ต้องตอบเลยว่า ได้สบาย ๆ เลย อาจจะไม่ได้ดีมากเมื่อเทียบกับราคาแต่ถือว่าดีเมื่อเทียบกับลำโพงอื่น ๆ ในท้องตลาด
ก่อนหน้าที่เราจะมาเลือก Devialet Dione เรานั่งดู Soundbar หลายตัวมาก ๆ โดยเราตั้งโจทย์ว่า มันจะต้องเป็น Top of the line ของแต่ละ Brand เลยทำให้เราไปดูตัว Flagship ของแต่ละยี่ห้อออกมา พร้อมกับตั้งงบไว้ประมาณ 1 แสนบาท น่าจะทำให้เราได้ Soundbar ตัวจบ แบบจบสัส ๆ ได้แล้ว
ตัวแรกที่เราเข้าไปดู ด้วยความที่ทีวีเป็นของ Sony อยู่แล้ว ก็ต้องเป็น Flagship Soundbar จาก Sony เองคือ Sony HT-A7000 ที่ Sony เดี๋ยวนี้เริ่มฉลาดมากขึ้น ทำตามเจ้าอื่นมากขึ้นคือ ขาย Subwoofer และลำโพงเสริมแยกออกไปเลย เผื่อบางคนไม่ได้ใช้ แต่ถึงจะซื้อครบชุดเลยจริง ๆ มันจะโดนอยู่ 75k++ เลย และเมื่อใช้กับทีวี Sony เอง มันทำให้เราสามารถใช้ทีวีเป็น Centre Channel Speaker ได้ด้วย พร้อมกับการเชื่อมต่อที่ง่ายเสถียรมาก ๆ แต่เสียงที่ได้ แอบยังไม่ถูกใจเราเท่าไหร่ มันแอบแห้ง ๆ แปลก ๆ เหมือนกับ Sound Bar รุ่นอื่น ๆ ของ Sony เลย
ก่อนหน้านี้เราเคยไปดูตัวโหด ๆ ที่หลาย ๆ คนยกให้เป็น The best soundbar เลยคือ Klipsch Cinema 1200 ก็อยู่ในราคา 75k เหมือนกัน แถม Klipsch เองก็เป็นลำโพงที่ใช้ในโรงหนังเยอะมาก ๆ ยี่ห้อนึงเลย พอได้ไปลอง เออ เสียงมัน Spicy มาก ๆ สร้างอรรถรสของหนังได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะพวกหนัง Action เราแอบชอบมาก ๆ แต่ฟัง ๆ ไป เรารู้สึกว่า มันจะเบื่อได้ อันนี้จากความรู้สึกเราเองนะ แรก ๆ มันอาจจะโห้ เชี้ย ว้าวววว แต่นาน ๆ ไป มันอื้ม ๆ เฉย ๆ ละ มันมีรสมีชาติเผ็ดจัดจ้าน แต่ไม่ใช่ของที่จะกินทุกวัน เหมาะกับการนานทีกินที เลยทำให้เวลาเราไปดูหนังมันจัดจ้าน รู้สึกดี เราไม่ได้เข้าโรงหนังทุกวันเนอะ
ไหน ๆ ดู Klipsch ไปแล้ว อีกเจ้าในวงการลำโพงที่ดังไม่แพ้กันคือ Sennheiser เลยไปแอบลองฟัง Sennheiser AMBEO 7.1 มาก่อน ตัวนี้อยู่ในเรทราคาประมาณ 93k ใกล้ ๆ กับ Dione เลย ได้ข้อดีของการน้อยชิ้น ไม่ต้องมี Subwoofer และเสียงที่ให้ เราขอยกให้เป็น Soundbar ที่ให้เสียงได้ ตรงมาก ๆ เมื่อเทียบกับเสียงที่คนทำหนังอยากจะให้ เหมือนไม่ได้ปรับแต่งอะไรเลย ทำหน้าที่เป็น Presenter ได้ดีมาก ๆ ถ้าใครที่ชอบเสียงที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งอะไรมากมาย ตัวลำโพงสามารถถ่ายทอดทุก ๆ ย่านออกมาได้ดี พร้อมกับลำโพงแบบ 7.1.4 ทำให้ได้ Atmos แบบสุด ๆ ไปเลย แต่สุดท้ายแล้ว มันไปตกที่ รสชาติเหมือนเดิม เรามองว่า อันนี้มันแอบจืดชืดไปหน่อย สุดท้าย เราก็จะเบื่อเหมือนเดิม เรายอมรับว่า เราเป็นคนที่ชอบคุณภาพเสียงดี ๆ แต่บางทีเราก็ไม่ได้อยากได้เสียงที่มันเที่ยงตรงมากเกินไป เราคิดว่า เราดูหนังเพื่อ Entertainment ดังนั้น เราเลยอยากได้อะไรที่จัดจ้านขึ้นกว่านี้หน่อย....
งั้นไปฝั่ง Brand ที่ออกแนว Smart หน่อย คือ Sonos เจ้านี้ เขาขึ้นชื่อเรื่อง ความเลือกได้ ความฉลาดของ Software หนักมาก ๆ ตัว Flagship ของเขาคือ Sonos Arc อันนี้อยู่ในเรทราคาประมาณ 43k และ ถ้าเราบวกพวก Subwoofer และลำโพง Surround เข้าไปเพิ่มอีก 2 ตัว เอาตัว Flagship เท่านั้นเลยนะคือ Era300 รวมทั้งหมดมันจะอยู่ประมาณ 127k บอกเลยว่า เซ็ตนี้คือ Dream Set สำหรับหลาย ๆ คนเลยละ ซึ่งบอกเลยว่า เสียงคือ No Compromise เลย แต่ถ้าว่าออกรสออกชาติเยอะมั้ยเราคิดว่า ไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่เยอะกว่า Sennheiser เยอะเลยแหละ แต่ก็เหมือนเดิม เราว่า มันเป็นรสชาติที่ดีเมื่อเราไม่ได้กินบ่อย ๆ เหมือนเดิม
จนสุดท้าย เราเลยกลับมาที่เดิมคือ Devialet Dione เพราะเราพิสูจน์มาจากตอนที่เราใช้ Devialet Phantom มาก่อนแล้ว มันเป็นลำโพงที่อยู่บนโต๊ะทำงานเรา เราฟังทุกวัน ทุกวันที่เราฟัง เราต้องทุบโต๊ะและพูดว่า เชี้ยยยย มันต้องงี้สิวะ มันไม่เคยเบื่อเสียงสไตล์นี้เลย เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เสียงของ Devialet มันมีองค์ประกอบอะไรที่ทำให้เราชอบเหมือนกัน แต่มันอยู่ในนั้นทุกอนูเลย เป็นเสียงดังที่ดีแบบดีจริง ๆ มีความสุข กับสนุกแบบไม่เบื่อ หน้าตาระดับ Devialet แล้วสวยเ_ย ๆ อยู่แล้ว พร้อมกับ งบ ก็ยังไม่เกิน 100k ที่ตั้งไว้ อ่านมายาวมากสรุปคือ กูชอบเสียงของ Devialet จบนะ !
แน่นอนว่า ของทุกอย่าง มีข้อดีข้อเสียหมด สำหรับคนที่จะซื้อ เราอยากให้อ่านจุดนี้มาก ๆ ถ้าเกิดรับข้อเสียมันไม่ได้ เราไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้
อย่างแรกคือ ตัว Dione ไม่มีช่อง HDMI Passthrough ทำให้ ถ้าทีวีของเราไม่รองรับการทำ Sound Passthough หรือช่อง eARC น่าจะกำหมัดพอสมควร คือ ถ้าเกิดทีวี เราไม่รองรับ Sound Passthrough เราจะไม่สามารถส่งพวก Sound Codec บางประเภทที่ทีวีไม่รองรับได้เช่น Dolby TrueHD หรือ ถ้าเราไม่มีช่อง eARC เราก็จะไม่สามารถส่งพวก Dolby Atmos กลับมาได้
เรื่องต่อไปคือ Dione เขาคิดว่า เรารู้ดีที่สุดแล้ว เลยไม่ใส่ Equaliser เข้ามาให้เรา ทำให้เสียงเขาปรับจูนมายังไงจากโรงงาน อยู่บ้านเรามันก็จะเป็นแบบนั้นเลย โอเคแหละ เราอาจจะมี Room Calibration แล้วแต่ถามว่า ความ Customisable เราว่ามันไม่ดีเท่าไหร่เลย เน้นเป็น Soundbar ง่าย ๆ ไปหน่อย
Devialet มันเก่งเรื่อง Bass มาก ๆ มันเป็น Bass ที่ดีจริง ๆ แต่บางที มันแอบเยอะเกินไปสำหรับบางคน และ บางครั้ง เรารู้สึกว่า มันไปกลบเสียงในย่านเกือบ ๆ ตรงกลาง บางคนอาจจะไม่ชอบใจกับลักษณะของโทนเสียงลักษณะนี้เท่าไหร่ อาจจะต้องลองไปฟังพิจารณาดูอีกที
ท้ายสุด เมื่อเทียบกับ Brand Flagship อื่น ๆ เขามักจะให้ Setup ของลำโพงในรูปแบบของ 7.1.2 หรือ 7.1.4 เลยทีเดียว แต่ Devialet กลับให้มาแค่ 5.1.2 และ Content บางตัวในระดับแผ่น Blu-Ray เขาจะมาเป็นแบบ 7.1 ทำให้มันเล่นได้ไม่เต็มต้องผ่านการประมวลผลนิดหน่อย แอบเสียดาย ไหน ๆ ก็ราคาขนาดนี้แล้ว น่าจะให้ 7.1 มาเลยจบ ๆ แต่เอาจริง ๆ นะ ถามว่า มันเดือดร้อนมั้ย เรามองว่า ไม่ค่อยรู้สึก โดยเฉพาะในเรื่องของระดับเสียง เพราะถึงจะให้ Channel ปกติมาแค่ 5 ตัว แต่ มันเป็นดอกใหญ่กำลังเสียงไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เรา Raise ประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะความเป็นหนังนี่แหละ
Devialet Dione เป็นลำโพง Sound Bar ตัวแรกจาก Brand เครื่องเสียงฝรั่งเศสอย่าง Devialet แน่นอนว่า เขายังรักษาความเป็นตัวเองได้ด้วยการสร้างพลังเสียงกับขนาดของ Packaging ที่สวนทางได้น่าตกใจเหมือนเดิม โทนเสียงต่าง ๆ เขาก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ตัวเองเลย มาในเสียงที่แน่น ๆ แล้วพอเราเอามาดูหนัง มันยิ่งทำให้ฟิลความกระหึ่มมันรุนแรงมาก ๆ และการรองรับเสียง Dolby Atmos ที่ทำออกมาได้แบบดีมาก ๆ ในห้องขนาดที่ไม่ใหญ่มาก กระสุนวิ่งผ่านในหนังคือ เสียวหลังจริง ทำให้ลำโพงชุดนี้ มันเป็นลำโพงที่ให้ฟิลเหมือนกับคนพูดเติมพริกเติมเรื่องราว เน้นการ Amplified อารมณ์ โทน ต่าง ๆ ของหนังโดยที่สิ่งที่คนทำหนังต้องการมันยังอยู่ แค่ทำให้มันจัดจ้านขึ้นเท่านั้น เลยคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที่ดูหนังอยู่บ้าน (แมร่งบ้าปะ ดู Youtube กูยังสนุกได้) แต่ไม่น่าเหมาะกับคนที่ชอบดูหนังจริง ๆ ที่ต้องการความแม่นยำของเสียงมาก ๆ เหมือนกับที่คนทำหนังสร้างออกมาเป๊ะ ๆ อันนี้ไม่ใช่คำตอบเลย นอกจากเรื่องเสียง อีกเรื่องที่ Dione ทำได้ดีมาก ๆ และเราคิดว่า มันทำได้ดีที่สุดใน Soundbar บ้านคือ Design มันทำออกมาได้สวยมาก ๆ วางห้องไหน มันก็ดูหรูขึ้นมาล้านเท่าจริง ๆ เราชอบสุด ๆ อวยมาขนาดนี้ ข้อเสียก็มีเช่นกันคือ พวกการควบคุมเสียงเองอย่าง EQ ก็ไม่มีให้ ไม่รองรับเสียงระบบ DTS เรื่องใหญ่สำหรับคนดูผ่านแผ่น Blu-ray และพวก Port HDMI In สำหรับการ Passthrough ก็ไม่มีมาให้ เมื่อทั้งหมดมันมารวมกัน เมื่อมันอยู่ในช่วงราคา 95k บาท เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ Feature ครบครันกว่า ทำให้ในมุมของคนรีวิว เราให้อยู่ 7/10 คะแนน จาก Character เสียงที่ไม่ค่อยเหมือนใคร แต่มุมของเราที่ชอบเสียงของ Devialet เรา Workaround ข้อจำกัด และ รับข้อจำกัดพวกนี้ได้ เราให้ 9.5/10 ไปเลย หักแค่เรื่องราคาที่บ้าไปนิดหน่อย แต่ก็นะ Devialet แหละ
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...