By Arnon Puitrakul - 13 กุมภาพันธ์ 2020
หลังจากเมื่อปีก่อน เราก็เปลี่ยน Smart Watch ไปใช้ของ Fossil แต่พอ Apple Watch Series 5 ออกมาเท่านั้นแหละ ความอยากได้มันก็กระหายมากมายเกินจะทน จนเมื่อสิ้นปีไปญี่ปุ่นมา เลยจัดมาตัวนึง ตอนนี้ใช้มาจะ 2 เดือนละ เอามารีวิวถึงประสบการณ์การใช้งานด้วยเลย
เรามาแกะกล่องกันก่อนดีกว่า ตัวกล่องของ Apple Watch ไม่ต่างจาก Generation ก่อน ๆ หน้ากล่องจะเป็นกล่องสีขาว มีปั้มคำว่า Apple Watch อยู่คือ ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกได้ถึงความสวย
ด้านหลังกล่องจะมีการบอกรายละเอียดของตัว Apple Watch อย่างตัวที่เราซื้อมา จะเป็น Apple Watch Series 5 ตัวเรือนเป็น Titanium สี Space Black ด้านล่าง ก็ยังมีการบอกเลข IEMI ที่เราปิดไว้ฮ่า ๆ และ ด้านข้างทั้ง 2 จะเป็น สลักสำหรับเปิดกล่อง
จะเปิดก็ดึงสลักเมื่อกี้ออกมาได้เลย
เมื่อเปิดมา เราจะเจอกับ กล่องที่มีรูปตัวเรือนอยู่ข้างในสวย ๆ
ในกล่องนี้ มันจะมี 2 กล่องย่อย ๆ อยู่ คือ กล่องของตัวเรือน กับกล่องของสาย ซึ่ง ทั้งตัวเรือน และ สาย เราสามารถ Custom ได้ตามที่เราต้องการได้เลย ใน Apple Store และ Apple Online Store
สำหรับกล่องของตัวเรือน ด้านหน้า ก็จะเหมือนที่เราเห็นก่อนหน้านี้คือ มีรูปตัวเรือนสีดำ
ด้านหลังของกล่อง จะเป็นรายละเอียดของตัวเรือนที่ซื้อมา พร้อมเลข IEMI ที่แน่นอนว่า เราจะเบลอมัน และ แน่นอนว่าด้านบน มันก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะเราซื้อจากญี่ปุ่น
ด้านข้างนึงของกล่อง ก็จะมีเขียนบอกไว้เลยว่า เป็น Apple Watch Edition Series 5 ขนาด 44mm ตัวเรือนเป็น Titanium สี Space Black
ด้านตรงข้าม ก็จะไม่มีอะไร วาง ๆ ขาว ๆ ไป
ด้านข้าง ๆ ยาว ก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน โล่ง ๆ ขาว ๆ
เมื่อเปิดกล่องออกมา เราก็จะเจอกับ ตัวเรือน และกล่อง Paperwork ต่าง ๆ วางอยู่
สำหรับตัวเรือน จะใส่มาในวัสดุเหมือนกับผ้า Microfibre นิ่ม ๆ น่าจะไว้ป้องกันรอยระหว่างการขนส่งมากกว่า
ที่ด้านหลัง ก็จะมีการเขียนไว้ด้วยว่า 44mm หรือก็คือ เป็นที่ใส่ของตัวเรือน 44mm นั่นเอง ในรูปอาจจะไม่มีตัวเรือนนะ เพราะเราแกะมาตั้งแต่ที่ร้านแล้ว
ในถาด Paperwork เมื่อเราหยิบออกมา แผ่นแรกเลย เราจะเจอกับด้านหน้าที่เขียนบอกเลยว่า Apple Watch Edition ย้ำคำว่า Edition เข้าไปอี๊กกก
ด้านในถาด Paperwork มันก็จะมีคู่มือ และ ใบเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานอะไรก็ว่ากันไป แน่นอนว่า มันเกิน 8 บรรทัด เลยไม่ได้อ่าน ฮ่า ๆ
ตัวคู่มือ ก็คือ เรียบง่าย ถ้าเราซื้อที่ไทย ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นภาษาไทยมั้ย แต่นี่ซื้อที่ญี่ปุ่น ดังนั้น มันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่คู่มือ เป็นภาษาญี่ปุ่น
ของอีกชิ้นที่อยู่ในถาด Paperwork คือ สายนาฬิกา ที่ทำจากยาง เหมือนเอามาเป็นสำรอง หรือเอาไว้ออกกำลังกายมั่ง ซึ่งมันหาซื้อแยกได้ มีหลายสีเลยละ แต่อันที่แถมเพิ่มมา จะเป็นสีดำ เข้าใจว่า มันน่าจะแถมสีเดียวกับตัวเรือนเพื่อให้มันเข้ากันละมั่ง แต่เราก็ไม่ได้ใช้อะไร
เมื่อเอาถาด Paperwork ออกมา เราจะเจอกับ สายชาร์จ (ที่เราหยิบออกไปแล้ว) และ Adapter สำหรับชาร์จกับ Wall Plug
สำหรับตัว Wall Plug นั้นมีขนาดเล็กมาก ๆ น่าจะเล็กที่สุดที่ Apple ทำแล้วละ
การเชื่อมต่อ จะเป็น USB-A ทั่ว ๆ ไปไม่ได้เป็น USB-C อะไร
ตัวสายชาร์จที่ให้มา จะด้านนึงจะเป็นหัวแบบ USB-A ที่เราใช้เสียบกับ Adapter ได้ และปลายอีกด้านจะเป็นหัวชาร์จของ Apple Watch เอง ที่ด้านนึงมันจะเหมือนปั้ม ๆ บุ๋ม ๆ ลงไป เพื่อให้มันรับกับตัวเรือนได้
และด้านหลังของหัว มันจะเป็นเหล็กเงา ที่ต้องบอกเลยว่า เวลาเราใช้ ๆ ไปแล้วเราเก็บสายชาร์จ รวมกับสายอื่นละก็มันจะเป็นเหมือนในรูปเลยคือ รอยเพียบ ดังนั้น ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้เก็บดี ๆ นะ
สำหรับตัวเครื่องญี่ปุ่น ก็จะได้ปลั๊กออกมาเป็น 2 หัวแบน ที่เราสามารถใช้ที่ไทยได้เลย ไม่ต้องเล่นเกมแปลงสาร ใด ๆ ตัว Adapter จะมีกำลังอยู่ที่ 5 Watts เท่านั้น ก็คือ เอาไปชาร์จอย่างอื่น นี่น่าจะยาก กำลังน้อยไปหน่อย แต่ก็แหละ จะเอา Adapter ใหญ่ ๆ มาชาร์จนาาฬิกาที่ใช้กำลังไฟน้อย ๆ เพื่ออะไร
ไปที่อีกกล่อง เป็นสายนาฬิกานั่นเอง สายที่เราซื้อพร้อมกับตัวเรือนจะเป็น Sport Loop สีดำ ที่หน้ากล่องมาเรียบ ๆ คือ มีแค่หน้าตาของตัวสายเท่านั้นเลย
ที่ด้านหลัง จะเป็นรายละเอียดของตัวสายต่าง ๆ ในหลาย ๆ ภาษาา แถมมีป้ายเขียนอยู่ด้วยว่า 4800 Yen (1300 กว่าบาทไทย) เข้าใจว่า ถ้าเราซื้อใน Apple Store ที่บอกว่ามัน Custom ได้ ก็น่าจะเป็นการที่ ร้านไปเอาเครื่อง กับกล่องสายที่ขายมา แล้วก็เอามาห่อใส่กล่องเดียวกันนั่นแหละ มันเลยมีราคาเขียนอยู่
ที่ด้านท้ายของกล่อง จะมีการเขียนว่าเป็นสาย Sport Loop สีเทาอยู่ด้วย
ในกล่องก็ไม่มีอะไรมาก เมื่อเอาของในกล่องออกมา เราจะเจอเหมือนกับโลโก้ของ Apple Watch สีดำพิมพ์อย่างสวยงาม
เมื่อเปิดออกมา เราจะเจอกับ ตัวสายที่วางไว้อยู่ พร้อมกับ วิธีการใส่สายเข้ากับตัวเรือน
และสายอีก 2 แบบที่ซื้อมาคือ สายแบบ Milanese Loop ที่หลาย ๆ คนชอบนั่นเอง รวมถึงเราด้วย จริง ๆ จะซื้อพร้อมตัวเรือนแหละ แต่ไปที่ร้านแล้วหมดเลย ทุกสีเลยต้องไปซื้อแยกที่ Apple อีกสาขานึง หลัก ๆ แกะออกมา การออกแบบ Packaging ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับตัว Sport Loop เลย
สำหรับกล่องที่พึ่งแกะไปเมื่อครู่จะเป็น Apple Watch Edition Series 5 ซึ่งมันจะเป็นตัวเรือนแบบ Titanium และ Ceramic เท่านั้น ส่วนที่เหลือคือ Aluminium และ Stainless Steel จะเป็น Apple Watch Series 5 ธรรมดา เท่าที่ลองแกะดู ก็พบว่า มันมีความแตกต่างกันเล็กน้อย อย่างเรื่องแรก ถ้าดูจากรูป ก็น่าจะเดาได้แล้วว่า ต่างที่การพิมพ์โลโก้ Apple Watch ที่หน้ากล่อง ถ้าเป็น Edition จะปั้มโลโก้แล้วใส่สีดำลงไปด้วย เพิ่มความ Premium แต่ถ้าเป็นตัวปกติ ก็จะปั้มเฉย ๆ ไม่ได้พิมพ์ดำลงไปด้วย
นอกจากนั้น ความสูงของกล่อง ด้านซ้ายจะเป็น Apple Watch Series 5 ตัว Stainless Steel และ ด้านขวา เป็นกล่องของ Apple Watch Edition Series 5 จะเห็นว่าตัวที่เป็น Edition จะมีความสูงมากกว่าตัวปกติเล็กน้อย ส่วนเพราะอะไรนั้น รอดูได้เลย
นอกจากนั้น เมื่อเราแกะออกมา ตอนที่เป็น Edition พื้นหลังของกระดาษห่อ มันจะเป็นสีดำ กับลายมันจะเป็นรูปนาฬิกาสีขาว แต่ถ้าเป็นตัวปกติ มันจะเป็นพื้นขาว และนาฬิกาก็จะมีสี คือมันก็สวยกันคนละแบบจริง ๆ ถือว่า สนุกนะ ในการสร้างประสบการณ์ของการแกะกล่องที่แตกต่างกัน
ภายในกล่อง ตรงคู่มือ ที่มีเขียน Apple Watch Edition ก็จะหายไป ในตัวปกติ ก็จะเป็นคู่มือที่พิมพ์ด้วยกระดาษอ่อน ๆ ธรรมดา
และเรื่องสุดท้ายที่ต่าง และ เป็นสาเหตุที่ทำให้ความหน้าของกล่องไม่เท่ากันคือ สาย Sport Band ที่จะไม่แถมมาในตัวธรรมดา ทำให้กล่องมันบางกว่านั่นเอง ถ้าอยากได้ ก็คือ ต้องไปซื้อแยกเพิ่มเอาสำหรับใครที่อยากใช้เป็นอีกสาย
เริ่มที่ตัวเรือนกันต่อเลย ตัวเรือนที่เราซื้อมาใช้ จะเป็นตัวเรือนขนาด 44mm ทำจาก Titanium ที่ได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแรง และ นำ้หนักที่เบามาก ด้านหน้าจะเป็นจอแบบ LTOP OLED Retina Display พร้อมกับ Force Touch (น่าจะเป็นอุปกรณ์จาก Apple ตัวสุดท้ายแล้วมั่งที่ยังมี Force Touch อยู่) ความสว่าง 1000 nits ที่สู้แดดได้สบาย ๆ เลย และอีก Feature ของจอที่ทำให้หลาย ๆ คนอยากเปลี่ยนมาใช้ Series 5 เลยคือ การมี Always-On Display หรือ หน้าจอที่ติดตลอดเวลานั่นเอง
ที่ด้านข้างขวาของตัวเรือน จะมีของอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ Digital Crown หรือที่บ้านเราเรียก เม็ดมะยม นั่นเอง ที่จะมีสีแดงอยู่ที่ขอบด้วย ถ้าเราเห็นบางคนที่ไม่มีขอบแดงคือ อาจจะซื้อเป็น Aluminium ที่ไม่ได้มี Cellular ขอบแดง ๆ คือ การบอกว่า ตัวนี้รองรับ Cellular นั่นเอง และ อีก Feature ของ Digital Crown คือการวัด ECG แต่ ณ ตอนที่เขียน Feature นี้ยังไม่เปิดให้ใช้งานในประเทศไทย รูที่อยู่ถัดลงมาคือ Microphone และ สุดท้ายคือ ปุ่มปกติเลยที่ถ้ากดปกติมันจะเป็นเข้าหน้าสำหรับปิด App ต่าง ๆ กับถ้ากดค้าง มันจะเป็นปุ่ม Power นั่นเอง
อีกด้าน เราจะเห็นเป็นรูอยู่ 2 รู ด้วยกันคือ ลำโพง เมื่อกี้มี Microphone ไปแล้ว มีลำโพงอีก ใช่แล้ว มันทำให้เราคุยโทรศัพท์จากนาฬิกาได้เลย
ที่ด้านหลัง ก็จะเป็น Sensor วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และ ที่ชาร์จด้วย เวลาชาร์จคือ เราต้องเอาที่ชาร์จมาวางทาบที่ด้านหลังนี่แหละ มันจะเป็นแม่เหล็กติดเข้าไปเอง รอบ ๆ ตัวเครื่องจะมีเท่านี้เลย เรียบ ๆ การออกแบบ เราว่ามันเรียบดี
ด้านในตัวเรือน ก็จะทำงานด้วย CPU S5 ที่ Apple เคลมว่า สามารถทำงานได้เร็วกว่า S3 ถึง 2 เท่าไปเลย และ ที่มาใหม่ใน Series นี้คือ การมีเข็มทิศ สำหรับการนำทางได้ดีขึ้นไปอีก แน่นอนว่า ยังสามารถกันน้ำได้เหมือนเดิม ใส่ว่ายน้ำได้
สำหรับผิว Titanium บอกเลยว่า ชอบมาก เพราะจับแล้วรู้สึกแข็งแรง ความเงาก็ไม่ได้เงามากเท่ากับตัว Stainless Steel แต่ก็พอเงา ๆ นิดหน่อยเท่านั้น พร้อมกับการขัดยิ่งทำให้มันดู Classic เข้าไปอีก ส่วนเมื่อเราจับตัวเรือนแล้ว ไม่ค่อยมีรอยนิ้วมือติดเท่าไหร่ ยกเว้น เราจะไปจับตอนที่มือมีเหงื่อเยอะ ๆ เท่านั้นแหละ
สำหรับสาย Milanese Loop หรือ ที่เราชอบเรียกมันว่า เหล็กถัก เป็นสายที่เราชอบมาก ๆ เพราะมันดูเรียบ และ Classic มาก ๆ ตัวสายก็คือเป็นโลหะแน่นอน ด้วยความเป็นโลหะ มันก็จะทำให้ มันมีความไวต่ออุณหภูมิเหมือนโลหะทั่ว ๆ ไปคือ ถ้าเราทิ้งไว้ในห้องแอร์ แล้วเรามาใส่ มันต้องมีสะดุ้งกันบ้างแหละ ฮ่า ๆ
ถ้าเราดูที่สายใกล้ ๆ มันจะเหมือนกับเอาเหล็กชิ้นเล็ก ๆ มาสานกันเลย ก็คือดูสวยมาก ๆ
ปัญหาที่เจอจากลักษณะของสายแบบนี้คือ บางทีสายมันเหมือนกับย่น เพราะเหล็กชิ้นเล็ก ๆ ที่ประกอบเข้าด้วยกัน มันอาจจะ ไปติดกับอีกชิ้นอะไรแบบนั้น มันเลยทำให้เหมือนกับสายย่น การแก้ไขคือแค่ ขยับสายตรงนั้นสัก 2-3 ทีก็หายละ
สำหรับการใส่ จะเหมือนกับสายอื่น ๆ ของ Apple เลยคือ เราสวมนาฬิกาเข้าไป ดึงสายเพื่อปรับความแน่น และ แปะลงไปที่สายก็จะติด โดยสายตัวนี้กลไกการทำให้สายที่ปรับติดคือ การใช้แม่เหล็ก เราจะเห็นว่าที่ปลาย มันจะมีเหล็กอยู่ตัวนึง นั่นแหละ มันจะเป็นแม่เหล็กที่ยังไ ง ๆ ก็ไม่น่าหลุดละนะ แน่นมาก
ปัญหาหลัก ๆ ของเจ้าสายนี้เลยคือ แมร่ง ติด ไป เรื่อย ด้วยความที่มันเป็นโลหะ ทำให้มันติดหมดแหละ ที่เป็นแม่เหล็ก แม้แต่สายชาร์จมันยังไม่เว้น ต้องมาเอามันออกตลอด อีกปัญหาคือ ด้วยความที่มันเป็นโลหะอีกเช่นกัน ทำให้เวลาเราใช้คอม เราจะกลัวมากว่า เวลาเราใช้คอม เราต้องเอามือไปทางที่ Keyboard โดยเฉพาะ Macbook Pro มันอาจจะทำให้ตรงที่พักมือเป็นรอยได้ แต่ส่วนใหญ่เราใส่เสื้อ Shirt แขนยาว ซึ่งมันก็ช่วยปิดไปหน่อยแหละ กับตรงข้ามกัน บางที เราก็จะกลัวโลหะตรงปลายแหละ ที่บางที ถ้าเราเอามือไปวางในที่ ๆ อาจจะขรุขระหน่อย ก็อาจจะทำให้ปลายมันเป็นรอยได้ ปัญหานี้คือ แม่ของตัวเองนี่แหละเจอมาเลย ซื้อมาแปบเดียวก็ได้รอยตรงนั้นเลย และปัญหามันจะเกิดเมื่อเราออกกำลังกายบางทีวิ่ง ๆ ไปอ้าว มันสไลด์ไปที่ข้อมือซะงั้น
สำหรับคนที่อยากได้ สายตัวนี้จะมี 2 สีคือ สีดำ และ สีเทา ให้เราเลือกตามใจชอบเลย สีเทาก็จะดู Classic ไปอีกแบบเหมือนกัน
สำหรับสายที่เราซื้อมาพร้อมเครื่องคือสาย Sport Loop อย่างที่บอกว่า ตอนแรก ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อสายนี้หรอก จะเอาแค่ Milanese Loop เท่านั้นแหละ แต่พอได้มาลองใส่ อ้าวดีเฉยเว้ย ตัวสายวัสดุทำจากผ้า ใส่แล้วสบายมาก ๆ ถึงออกกำลังกาย เหงื่อออก มันก็ยังระบายเหงื่อได้ดีเลยละ
ที่ด้านหลัง มันก็จะมีเหมือนตีนตุ๊กแกอยู่ โดยกลไกในการติดจะต่างจากสาย Milanese Loop ที่เป็นแม่เหล็ก แต่ Sport Loop จะเป็นตีนตุ๊กแก แทน ซึ่งความแน่นก็จะแน่นเหมือนกัน เผลอ ๆ จะแน่นกว่าด้วย เพราะสายตัวนี้ เวลาเราเอาไปออกกำลังกายบอกเลยว่า มันไม่สไลด์ออกมาที่ข้อมือเลยนะ กับใส่แล้วมันนุ่มสบาย
ในแง่ของการใช้งาน เราต้องบอกก่อนเลยว่า เราเป็นคนที่ย้ายมาจากการใช้ Android Wear การใช้งานต่าง ๆ ยอมรับเลยว่า มันค่อนข้างต่างมาก ๆ
เอาที่เรื่องของการใส่ก่อนดีกว่า ด้วยความที่ตัวเรือนเป็น Titanium ข้อดีของมันคือ เบามาก เบาจริง ๆ เบาจน ถ้าเราใส่กับ Sport Loop คือเบาเหมือนไม่ได้ใส่เลย ถ้าโดนขโมยก็คือ ไม่รู้แน่ ๆ มันไม่ได้รู้สึกเหมือนใส่นาฬิกาอยู่เลย ไม่อึดอัดเลย ทำให้คนที่อาจจะไม่ชอบใส่นาฬิกาเพราะรู้สึกอึดอัด เราว่า Combination ของตัวเรือน Titanium และ สาย Sport Loop คือดีมาก
แต่ปัญหาที่เราเจอคือ เราว่าหน้าจอของ Apple Watch มันแอบอ่อนไปหน่อย หมายความว่า การทนรอยขูดขีด มันสู้พวกนาฬิกาดี ๆ ไม่ได้เลย อย่างเรือนก่อนเราเป็นยี่ห้อ Fossil อันนั้นคือ หน้าจอทำยังไงก็ไม่มีรอยขนแมว แต่ Apple Watch เราใช้ไม่นานเลย หน้าจอแอบมีรอยขนแมวตั้ง 2 เส้น จากการสะพายกระเป๋าของเราเองแหละ ที่ตัวปรับสายมันอาจจะไปขูดกับหน้าจอ ทำให้เกิดรอยเล็กมาก ๆ ถ้าไม่ได้สะท้อนกับแสงเยอะ ๆ ก็ไม่เห็นหรอก แค่เสียดายที่ซื้อมาไม่นาน อ้าว ได้รอยแล้ว บ้าจริง
การใช้งานที่สัมผัสได้ชัด ๆ เลยคือ ความลื่นไหลในการใช้งาน ตีบวกขึ้นแบบรัว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไปเลย กดเปิดอะไรก็คือไม่ต้องรอเลย
App ที่ให้เราใช้งานก็คือ เยอะมาก ๆ และ มันใช้ได้จริงด้วย ถ้าเทียบกับ Android Wear เราต้องบอกว่า เอาจริง ๆ เลยคือ บาง App มันก็ไม่โอเคในเรื่องของการ Design ที่ใช้ได้ยากกับหน้าจอเล็ก ๆ แต่อันนี้คือ หลาย ๆ App Design มาดีมาก ๆ อย่าง App ที่เราว่ายากคือ เครื่องคิดเลข อันนี้ติดมากับตัวเครื่องเลยคือ เห้ย มันใช้ได้หว่ะ กดไม่ยาก ถึงหน้าจอจะเล็กก็เถอะ
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาของ Smart Watch เลยคือ Battery ที่อาจจะใช้งานได้ไม่นาน คือเราว่าใช้ได้ทั้งวัน วันเดียวเราก็พอใจละ ซึ่ง Apple Watch Series 5 ก็สามารถทำได้ ออกจากบ้านตอนเช้า กลับมาบ้านตอนมืดแบตก็ยังไม่หมด ถ้าเป็นตัวอื่น ๆ ที่เคยใช้มา บางทีแหม่ ตอนเย็นมาละ จะเปิด Low Power Mode มั้ย ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆ
ด้วยความที่มันมี Sensor หลายตัวมาก ๆ และ มี Cellular ทำให้มันสามารถตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ได้ด้วย ถ้ามันเจอว่าเราล้มลง มันจะแจ้งเตือนขึ้นมา และ จะโทรหาฉุกเฉินของประเทศที่กำลังอยู่ตอนนั้นได้เลย โดยที่เราไม่ต้องลงทะเบียน eSIM เลย อย่างสมมุติว่าเราล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ และ กำลังใส่นาฬิกาอยู่ มันก็จะขึ้นมาเลย ว่าถ้าเราไม่รูดปิด ผ่านไปไม่กี่วินาที มันจะโทร 191 ทันที อะไรแบบนั้น
เอาในแง่ของการ ออกกำลังกาย บ้าง น่าจะเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนให้ความสำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะคนที่ใช้ Smart Watch เราว่า Apple Watch น่าจะเป็น Smart Watch ที่มีการ Track Workout ที่โคตรดี ดีมาก ๆ อย่างเวลาเราจะออกกำลังกาย มันจะมีตัวเลือกเยอะมาก เอาที่เราใช้เลย มันมีหมดอะ ถ้าเป็นตัวก่อนหน้านี้ที่เราใช้ มันไม่มีไง อย่างช่วงนี้ เราออกกำลังกายด้วยการเล่นเกม Just Dance ที่เป็นเกมให้เราเต้น ในเมนู Dancing มันก็มีให้เราเลือกไง
ส่วนเรื่องของ Fitness Tracking ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องยอมรับว่า Apple ทำดีมาก เพราะมันสามารถแสดงข้อมูลได้หลายอย่างมาก ๆ ความดีงามของมันน่าจะเป็น HealthKit ที่เป็น API ของ Apple ที่อนุญาติให้นักพัฒนา สามารถที่จะเรียก หรือ บันทึกค่า ทางสุขภาพของเราได้ ทำให้จริง ๆ แล้ว Apple ไม่จำเป็นต้องทำทุก Tracking หรอก เหนื่อยตาย แต่แค่เปิด API และใช้ Ecosystem ให้เป็นประโยชน์ก็จะได้ Tracking ที่มีข้อมูลครอบคลุมหลายส่วนของสุขภาพมาก ๆ
ที่เราว่า มันแปลกที่สุด น่าจะเป็น เรื่องของ เสียง เราไม่เคยเจอ Fitness Tracker ตัวไหนเลยนะ ที่มานั่งฟังเสียงที่เราได้ยิน แล้วเตือนด้วยว่า นี่นะดังไป คือ ชอบมาก ๆ แล้วมันยังมีการบอกเป็น Statistics อีกมากมายใน App
เรื่องที่ทำให้ Fitness Tracking มันโดดเด่นออกจากของเจ้าอื่นคือ Apple เติมความ Gamification เข้ามา ทำให้การออกกำลังกายมันสนุกมากขึ้น เช่น การที่เราออกกำลังกายไปถึงจุดนึง เราก็จะได้เหรียญ ไม่รู้เอาไปทำอะไร แต่เราได้ มันก็ทำให้เราอยากได้อีก เราก็จะออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ แหละ แต่ที่เราว่า มันล่อลวงให้คนออกกำลังกายได้มากที่สุด น่าจะเป็น การท้าเพื่อน ของเราแข่งนี่แหละ อันนี้เราว่า น่าจะสร้างแรงจูงใจในการออกกำลังกายได้อย่างรุนแรง เพราะคนเรายังไง ๆ มันก็ชอบแข่งขันอยู่แล้ว อยากเอาชนะอยู่แล้ว
กระโดดไปที่เรื่องของการใช้งานแบบแยกชิ้นกับโทรศัพท์กันบ้าง ปกติ Smart Watch ตัวอื่น ๆ ที่เราใช้งานมา อยู่ห่างโทรศัพท์คือ หมาหง่อยเลยนะ บอกเวลากับใช้ App เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นแหละ แต่ Apple Watch โนจ๊ะ นางทำอะไรได้เยอะมาก ๆ ถึงจะอยู่ห่างจากโทรศัพท์ และ ไม่มี Cellular เข้าใจว่า เพราะการออกแบบ App นี่แหละ ทำให้บางอย่างเราต้องยอมรับเลยว่า มันทำงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ มันสามารถประมวลผลข้อมูลเล็ก ๆ ได้เร็วมาก ๆ ทำให้เปิดโอกาสทำให้นักพัฒนาสามารถทำ App ที่มี Feature เยอะขึ้นมาลงในนาฬิกาได้
อย่าง Feature ที่ไม่ค่อยมีกันคือ การที่เราสามารถต่อ หูฟัง แล้วเล่นเพลงอะไรพวกนี้ลงไปได้ เราไม่ค่อยเจอนะ จนมา Apple Watch นี่แหละ ถ้าเราไม่มี Cellular เราสามารถโหลด Offline จาก Apple Music ลงไป แล้วก็ต่อกับหูฟัง แล้วออกไปออกกำลังกายฟังเพลงได้เลย หรือถ้ามี Cellular นี่ยิ่งสบายใหญ่เลย เพราะเราสามารถ Stream เพลงจาก Apple Music และ Spotify ก็ได้ และ ถ้าเราไปออกกำลังกาย เราก็จะไม่พลาดทุกการติดต่อ เพราะนาฬิกาทำให้เรารับโทรศัพท์ และตอบข้อความได้เลย มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาเราจะไปออกกำลังกายอย่างการปั่นจักรยาน
สาเหตุนึงที่เรายอมมาใช้ Apple Watch เลยคือ Always-On Display ที่ต้องยอมรับเลยว่า มันเป็น Always-On Display ที่ดีที่สุดใน Smart Watch เลย Smart Watch ตัวก่อน ๆ ที่เราใช้มา ไม่ว่าจะเป็น Moto 360 2nd Generation และ Fossil Explorist HR Gen 4 การมี Always-On Display คือแค่ เปิดหน้าจอไว้เฉย ๆ แต่ปัญหาของอุปกรณ์พวกนี้คือ มันเล็ก ส่งผลให้ Battery มันก็เล็กตาม และการเปิดหน้าจอทิ้งไว้ แน่นอนว่า กินพลังงานมหาศาล แต่ด้วยเทคโนโลยีของจอแบบ LTOP ทำให้มันกินพลังงานน้อยลง และ Chip ของ Apple เองที่เข้ามาควบคุม Refresh Rate ของหน้าจอทำให้ Always-Display ของ Apple Watch Series 5 กินพลังงานน้อยมาก ๆ ทำให้การใช้งานมันทำได้นานขึ้นอย่างเหลือเชื่อเลย แค่หน้าจอยังมี Story ง่อววววว
ปัญหาที่น่าจะมาพร้อมกับ Always-On Display คือ ความขี้เผือกของมนุษย์รอบข้าง ต้องยอมรับว่า คนขี้เผือก มันมีอยู่ในทุกสังคม แม้กระทั่งอีนี่เองก็คือ เป็นนักเผือกชั้นดีเลยทีเดียว บางที มันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมอง อะไรที่มันเคลื่อนไหว อย่าง Notification ของโทรศัพท์คนข้าง ๆ อะไรแบบนั้น หรืออะไรที่มันอยู่บนหน้าจอ Apple เองก็รู้เรื่องนี้ดี เลยมีการทำพวกตัวเลือกสำหรับการซ่อนข้อมูลสำคัญไว้ พอเราเปิด ตอนที่มันอยู่ใน Standby Mode มันจะซ่อนข้อมูลสำคัญ ๆ ของเราออกไปเป็นว่าง ๆ และจะกลับมาแสดงผลเมื่อเรายกนาฬิกาขึ้นมามอง ซึ่งก็ทำเพื่อป้องกันคนขี้เผือกนั่นเอง
ถามว่า แล้วทำไมเราต้องยึดติดกับ Always-On Display อะไรขนาดนั้นนนน เราเป็นคนนึงที่ประชุมโน้นนี่นั่นเยอะมาก แล้วบางที ถ้าเรานั่งประชุมอยู่ จะยกนาฬิกาขึ้นมาดูนี่มันก็น่าจะเสียมารยาทอยู่นะ ไม่ต้องแค่ดูเวลาแหละ เราใช้ Smart Watch เพื่อจะดู Notification คุย ๆ งานอยู่แกจะยกขึ้นมามันก็แปลก ๆ มั้ยอะ เหมือนเป็นการบอกคนที่นั่งคุยกับเราว่า “เลิกเหอะอะ เบื่อละ” หรือแม้กระทั่ง หรือทำกิจกรรมที่มือไม่ว่าง จะยกมาดูมันก็ไม่ได้เหมือนกัน แล้ววันนึง เรามี Moment แบบนี้เยอะมาก ทำให้เราบอกเลยว่า Smart Watch ที่เราใช้ ต้องมี Always-On Display ไม่งั้นไม่ใช้โว้ยยย
ถ้าเราได้มาลองใช้ตัวที่มี Cellular หรือก็คือเชื่อมต่อ 4G ได้นั่นเอง โดย SIM ที่ใช้จะเป็น eSIM ซึ่งเราจะต้องไปที่ศูนย์บริการของเครือข่ายที่เราใช้งานอยู่ และขอเปิด eSIM สำหรับ Apple Watch ซึ่งมันอาจจะมีค่าใช้จ่าย อย่างของเรา AIS ค่ายเขียวเลย ถ้าเปิดมันจะมีค่าใช้จ่ายเป็นร้อยต่อเดือนเลยมั่ง จำไม่ได้
ทำให้เรากลับมาคิดว่า เอ๋... ชั้นจะเสียเงินเพิ่มเดือนละหลายร้อย เพื่อการเปิด Cellular ในนาฬิกามันจะคุ้มมั้ยหว่าาาา สุดท้าย เราก็ไม่เปิด ไม่น่าคุ้ม ก็คือ เชื่อมกับโทรศัพท์ปกติเลย
งั้นถามว่า แล้วใครละที่น่าจะต้องใช้ Cellular เราว่าคำถามที่ต้องถามคือ เราอยู่ห่างจากโทรศัพท์บ่อยแค่ไหน เช่นเราบอกว่า เราออกไปออกกำลังกายทุกวัน และเราไม่พกโทรศัพท์ไป แต่อยากฟังเพลง หรือ ต้องรับโทรศัพท์ตลอดเวลา อันนี้เราว่ามันน่าจะคุ้มนะ
สำหรับเรา ที่เมื่อก่อนเราชอบใช้ Smart Watch จาก Brand ที่ทำนาฬิกา เพราะการ Design ของมันที่เหมือนนาฬิกามากกว่า แต่พอมาใช้ Apple Watch มันไม่ใช่อะ ถึงจะพยายามทำเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่า Apple ไม่ใช่บริษัทนาฬิกาไง การ Design ต่าง ๆ มันจะไม่ Classic เท่า อีกอย่างคือ ทรงของทุกรุ่นเหมือนกันหมด ทำให้มันเหมาะกับเสื้อผ้า และ ลักษณะของแต่ละบุคคลได้ค่อนข้างแคบ เมื่อเทียบกับนาฬิกาเข็ม
แต่ Apple ก็ชดเฉยข้อจำกัดนี้ด้วยการออกตัวเรือนที่ทำจากหลายวัสดุ และ เปลี่ยนสายได้เรื่อย ๆ ก็ช่วยได้เยอะเลย และ การเปลี่ยนสายของ Apple Watch คือ มันทำได้ง่ายมาก ๆ จนสามารถเปลี่ยนได้แบบ Daily เลยยังได้ แบบ วันนี้แต่งตัวแบบนี้ เราก็ใช้สายแบบนี้อะไรแบบนั้น
เราเอง ถ้าเราไปเรียน เราก็จะใช้สาย Milanese Loop เพราะมัน Formal กว่าเยอะ แต่ถ้าวันไหน Casual Style หน่อย เราก็จะใช้ Sport Loop เพื่อให้มันดูชิว และ กระฉับกระเฉงมากขึ้นนั่นเอง เพราะจริง ๆ แล้วนาฬิกา มันก็เป็นเครื่องประดับ ที่มันต้องใส่ให้เข้ากับเสื้อผ้า และงานที่เราต้องไปด้วยนะ การที่เปลี่ยนสไตล์ได้เรื่อย ๆ ถือว่าทำให้ความเป็นนาฬิกากลับมาหน่อยนึง
เมื่อเราย้อนกลับมาที่หน้าที่ของนาฬิกาคือ การบอกเวลา Apple Watch คือ เราว่ามันเป็นนาฬิกาที่ไม่ใช่นาฬิกาสักเท่าไหร่ เราว่ามันเป็นเหมือนอุปกรณ์ที่ทำได้หลายอย่างมาก ๆ รวมไปถึง การบอกเวลา มันตรงข้ามกับนาฬิกาไง ที่โอเค มันเป็นเครื่องบอกเวลาที่อาจจะจับเวลา หรือเตือนอะไรเราได้ แต่หน้าที่หลักของมันคือการบอกเวลา เราเลยรู้สึกว่า มันเป็นนาฬิกาที่ไม่ใช่นาฬิกาซะทีเดียว แต่เอาจริง ๆ ถามว่า ในสมัยนี้ คนเราต้องการเครื่องบอกเวลาจริงเหรอ ไปดูเอาในโทรศัพท์ก็ได้มั้ย ฮ่า ๆ คนเราสมัยนี้พกโทรศัพท์กันตลอดอยู่แล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เป็นโทรศัพท์บ้าน ทำให้นาฬิกามันกลายเป็น Accessory มากขึ้นในปัจจุบันนั่นเอง
สำหรับ Apple Watch Series 5 ถ้าเราจะไปซื้อ มันจะมีตัวเรือนให้เราเลือกอยู่ 4 แบบด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ตัวถูกสุดคือ Aluminium เท่าที่ถือมา ก็ถือว่าแข็งแรงดีเหมือนกัน ลักษณะพื้นผิวก็ถือว่าจับแล้วดูดีเลยละ
อัพราคาขึ้นไปอีก จะเป็นตัวเรือน Stainless Steel อันนี้เราว่าค่อนข้างเหมาะกับคนที่ใช้ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max และ ไม่ใส่เคส เพราะวัสดุมันจะเข้ากันพอดีเลย มันจะมีความเงา และ หนักกว่า Aluminium นิดหน่อย
หรือจะให้ขึ้นไปอีก ก็จะเป็น Apple Watch Series 5 Edition โดยใน Edition ก็จะมีตัวเรือน Titanium ที่เป็นตัวใหม่ใน Series 5 และ Ceramic ที่เป็นตัวท๊อปสุด วัสดุทั้ง 2 อย่างจะเน้นเรื่องความแข็งแรง แต่ น้ำหนักเบา
ในการซื้อ ถ้าเราไปซื้อใน Apple Store หรือ Apple Online Store เราสามารถ Custom ตัวเรือนและสายได้หมดเลย เช่นเราอยากได้ตัวเรือน Titanium กับสายหนัง ถึง Apple จะไม่ได้จัดแพคนี้มา แต่เราสามารถที่จะ Custom ถ้าเราไปซื้อที่ 2 ที่นั้นได้ Apple เรียกว่า Apple Watch Studio
นอกจากนั้น ก็ยังมีอันที่เป็น Nike และ Hermès อีกด้วย โดย 2 ตัวนี้จะเหมือนเป็นตัวพิเศษอะไรแบบนั้นเลย ที่จะมีสายเฉพาะที่หาซื้อแยกไม่ได้ และ มี Watch Face ที่ตัวอื่นไม่มี ถ้าชอบก็ลองไปหาดูได้
โดยสรุปแล้ว เรายกให้ Apple Watch Edition Series 5 เป็น Smart Watch ที่โคตรดีเลย ทำให้ประสบการณ์การใช้งานเมื่อเทียบกับตัวเก่ามันดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ด้วย WatchOS 6 ที่เสริมสร้างประสบการณ์การใช้งานได้ลื่นไหล และ Function การใช้งานที่ต้องบอกเลยว่า จัดว่าดีย์ ตัวเรือนเองก็ทำออกมาได้มีน้ำหนักเบา (สำหรับตัวเรือนแบบ Titanium) และยังสร้างความเป็น Fashion ให้กับนาฬิกาด้วย การที่ออกแบบมาให้มันเปลี่ยนสายได้ง่าย ทำให้เราสามารถเปลี่ยนสายได้ตามโอกาสอย่างง่ายดาย และ รวดเร็วมาก ๆ ข้อเสียที่เราอาจจะไม่ชอบน่าจะเป็นเรื่องของ การ Design ตัวเรือนซะมากกว่า จริง ๆ มันก็ไม่ได้ผิดขนาดนั้นหรอก แค่ติดภาพว่า ตัวเรือนนาฬิกามันควรจะเป็นกลม ๆ แต่นี่มันเหลี่ยม ๆ ประกอบกับคนใส่เยอะมาก มันหน้าตาคล้ายกันไปหมด เลยแอบรู้สึกโหล ๆ ไปหน่อย แต่รวม ๆ แล้วมีเสน่ยเหลือเกิน หากใครกำลังหา Smart Watch ดี ๆ และ เรียบหรูสักตัวเราแนะนำ Apple Watch Edition Series 5
เวลามันผ่านไปเร็วมาก ๆ เรายังจำวันที่ Macbook Pro M1 Max ของเรามาส่งที่บ้านได้อยู่เลยว่า เรารู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เวลาผ่านไป 3 ปี หมดประกันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า สภาพตอนนี้มันเป็นอย่างไร และยังจะสามารถใช้ได้อีกนานหรือไม่...
ไหน ๆ Apple Watch เข้าเลขสองหลักกันแล้ว มีหรือเราจะพลาด เพื่อเป็นการฉลองก็เลยจัดมาเลยเรือนนึง เป็น Apple Watch เรือนที่ 3 ของเราละ ผ่านมา 10 Series จะมีอะไรใหม่ ใส่แล้วเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมารีวิวเล่าให้อ่านกัน...
จาก Part ที่แล้วเราเล่าไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังขาดประเด็นสำคัญนั่นคือ Performance ของ M4 Max ว่า มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน หรือทำให้การทำงานของเราเร็วขึ้นได้อย่างไร วันนี้จะเน้น Benchmark และพยายามมาหาสาเหตุกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกัน...
หลังจาก Apple Transition ไปสู่ Apple Silicon มาจนถึงจุดที่การเปลี่ยนผ่านเสร็จสิ้น เราก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับ Apple Silicon อีกเลย จนกระทั่งตอนที่ M4 ออกนี่แหละ ที่เราคิดว่า มันถึงจุดที่ใช่ละ ฤกษ์มันมาแล้ว ก็จัดเลยสิครับ มาดูกันว่าฤกษ์มันจะตรงอย่างที่เราคิดหรือไม่...