By Arnon Puitrakul - 28 มิถุนายน 2018
จริง ๆ มัน AirPods มันก็ออกมาเป็นปีแล้วละ แต่ก็พึ่งซื้อมาใช้ ถถถถ จากตอนแรกที่มันกลายเป็นสินค้าที่หายากโคตร ๆ พร้อมกับราคาค่าตัวที่ออกมาเหมือนกับจะมารูดทรัพย์ในราคา 6900 บาท ตอนที่มันเปิดตัว ผมก็บอกว่ามันน่าเกลียดมาก ใส่แล้วเหมือนใส่ Apple Earpods โดนตัดสาย พร้อมกับสงสัยนะว่า มันจะตกหายมั้ยเนี่ย
Apple AirPods มาพร้อมกับกล่องขนาดเล็ก กระทัดรัด รักสิ่งแวดล้อมสไตล์รักโลก แน่น ๆ ซีลพลาสติกมาอย่างดี หน้ากล่องก็จะมีรูปของ AirPods ทั้ง 2 ข้างอยู่
เปิดกล่องมาก็จะเจอกล่องใส่ Paper Work ใส่คู่มือและไม่มีสติ๊กเกอร์ Apple 🍎 พอเราเอาออกมา เราก็จะพบ AirPods นอนอยู่อย่างสวยงาม
ถัดลงจากตัว AirPods ไปก็จะมีสาย USB-to-Lighting ความยาว 1.5m มาให้สำหรับชาร์จตัว AirPods สรุปสุทธิแล้ว ในกล่องราคา 6900 ได้ของมา 3 ชิ้นคือ Paper Work, AirPods และสาย Lighting Cable 1.5m
สัมผัสแรกที่ได้ลองจับแค่ตัวกล่อง แว่บแรกที่คิดคือไหมขัดฟันแน่นอน ตัวกล่องจะเป็นสีขาวเงาวับ เสี่ยงต่อการเกิดรอยขนแมวอย่างรุนแรง คำแนะนำคือ อย่าเอามันไปวางบนพื้นแข็ง ๆ และใส่กระเป๋าอย่ารวมกับของอย่างอื่นโดยเฉพาะเศษเหรียญ ด้านหน้าถ้าดูในรูปมันจะมีร่องสำหรับเอานิ้วงัดเพื่อเปิดฝาออกมาใช้
การเปิดฝาทำได้ง่ายมาก สามารถเปิดได้ด้วยมือเดียว ถ้าสังเกตการออกแบบ Product ของ Apple มักจะใช้แม่เหล็ก AirPods ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เลยทำให้เปิดได้ด้วยมือเดียว กับเวลาจะปิดมันก็ปิดดัง แป๊ะ!!! เปิดปิดมันสนุกดี
ด้านหลังของตัวกล่องก็จะมีปุ่มเล็ก ๆ อยู่ ปุ่มนั้นเป็นปุ่มเหมือนกับ WPS ใน Wifi สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องใหม่
ด้านล่างของมันก็จะมีรูสำหรับเสียบชาร์จเคสอยู่ผ่านสาย Lighting ที่ในกล่องให้มา หรือถ้าใครใช้ Apple Device อยู่แล้วก็ใช้สายของมันก็ได้เหมือนกัน
เราสามารถหยิบออกมาได้อย่างง่ายดาย พอเราเปิดฝามันก็จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ล่าสุดที่เราเชื่อมต่อไว้ก่อนหน้านี้ทันที และพอเวลาใส่คืนก็มันเป็นแม่เหล็ก มันก็จะดูดลงไปเลย คว่ำก็ไม่หล่นด้วย ปิดฝามันก็จะตัดการเชื่อมต่อเองเพื่อประหยัดพลังงาน
เมื่อเราเปิดฝามา เราจะเห็นจุดอยู่ด้านบนตรงกลางระหว่างหูฟังทั้ง 2 ข้าง จุดตรงนั้นเป็นไฟแสดงสถานะ เมื่อเราเปิดมามันก็จะเป็นไฟสีเขียวแสดงสถานะของ Battery
เมื่อเราใช้เสร็จใส่ลงไปมันก็จะขึ้นเป็นไฟสีส้มบอกว่าชาร์จอยู่
หรือถ้าใช้ iOS ถ้าเราลาก Notification ลงมาแล้วเลื่อนซ้ายไปดู Battery Widget ดูเราก็จะเห็นว่ามันจะมี AirPods ของเราขึ้นมาพร้อมทั้งบอกสถานะของ Battery ออกมาเลย นอกจากที่มันขึ้นตอนที่เราเชื่อมต่อกับมันแล้ว มันก็ยังแสดงสถานะตอนที่มันเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นได้อีกด้วย คือเวลาผมใช้งาน ผมจะใช้ต่อกับ Google Pixel 2 XL แล้วเวลามันวางอยู่ไกล ๆ กัน พอผมเปิดฝา AirPods ปุ๊บ ในหน้าจอของ iPad ก็จะขึ้นสถานะของ Battery มาบนหน้าจอทันที โดยที่ตัวเสียงมันออกไปที่ Google Pixel 2
ตัวหูฟังมี 2 ข้าง (แหงแหละ มันจะมา 3 ข้างไม่ได้แน่นอน) ลักษณะจะเหมือน EarPods ทุกประการเลยจนเหมือน EarPods โดนตัดสาย แต่มันจะมีหลาย ๆ จุดเพิ่มมาด้านหน้าก็มีรูหูฟัง และเซ็นเซอร์สำหรับการจับว่าตัวหูฟังมันอยู่ที่หูเรารึเปล่า
ด้านหลังก็จะมีเซ็นเซอร์อีกสำหรับจับหูเรา และอีกรูเล็ก ๆ คือเซ็นเซอร์ที่จะทำให้เราสามารถเคาะเพื่อเรียกคำสั่งต่าง ๆ ได้เช่นเรียก Siri หรือ Pause เพลงเป็นต้น
ด้านล่างของแต่ละข้างก็จะมีตัวหนังสือบอกว่านี่คือข้างไหน Left หรือ Right และก็มีไมค์สำหรับโทรศัพท์ ข้อดีของ EarPods คือมันมีไมค์ทั้ง 2 ข้างเลย
การที่มันมีเซ็นเซอร์มาหลาย ๆ ตัวขนาดนี้มันไม่ได้มาเล่น ๆ เพราะมันเอามาจับว่า หูฟังแต่ละข้างมันอยู่ที่หูเราหรือไม่ ถ้าเราเอามาใช้บน Apple Device (iOS และ macOS) มันก็จะมีลูกเล่นของมันเช่น การที่เราใส่อยู่แล้วเอาออกข้างนึงมันก็จะ Pause Media ที่เรากำลังเล่นอยู่ไว้ พอเราใส่กลับมันก็จะเล่นต่อ มันคือเคสเวลาเราออกไปข้างนอก ใส่หูฟังอยู่ แล้วต้องซื้อของหรือคุยกับคนอื่น เราก็จะเอาหูฟังออกข้างนึงเพื่อฟังคนที่กำลังคุยด้วย มันก็สะดวกดีนะ ปกติเราต้องเอาออกแล้วกด Pause เองตอนนี้คือ แค่เอาออกมันก็หยุดให้ พอเสร็จใส่ใหม่มันก็เล่นต่อเอง หรือจะเป็นการจิ้มค้างไว้เป็นการเรียก Siri (ถ้าเอาไปใช้กับ Android ก็จะเรียก Google Assistant ไม่ได้นะ) หรือสุดท้ายคือถ้าเป็นใน Apple Device เราสามารถเซ็ตได้ว่าถ้าเราเคาะ 2 ครั้งจะให้มันทำอะไร เช่น หยุดเพลง หรือจะเป็นการเล่นเพลงต่อไปหรือก่อนหน้า เป็นต้น
นอกจากนี้ เวลาเราหยิบหูฟังออกมาจากเคสแล้วใส่แค่ข้างเดียวมันก็จะใช้ได้เหมือนกันนะ แต่ว่าเสียงที่มันออกมามันจะเป็น Mono เองได้ด้วย ต่างจากเจ้าอื่นที่มันจะยังเล่นเสียงเป็น Stereo แล้วเราก็จะไม่ได้ยินเสียงที่มันกำลังเล่นอยู่อีกข้างอยู่ ผมได้ทดสอบระยะห่างไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดหนึ่งที่ใส่ 2 ข้างแล้วเริ่มกระตุกแล้ว ผมลองเอาออกข้างนึง เสียงจาก Stereo มันก็จะไปเล่นเสียง Mono แทนจากที่กระตุกอยู่ก็ลื่นเลย
การเชื่อมต่อทำได้ง่ายมากใน iOS เพราะมันมีชิพ W1 เหมือนที่ใส่ลงไปใน Beat รุ่นใหม่ ๆ โดยเราแค่เปิดฝาแล้วกดปุ่มด้านหลัง พอกดแล้วมันก็จะมีไฟสีขวากระพริบขึ้นเป็นการแสดงว่า พร้อมจะเชื่อมต่อแล้ว
ในจอของ iOS มันก็จะขึ้นมาให้เราเชื่อมต่อได้ทันที ไม่ต้องเข้า Settings แล้วมานั่ง Pair เองโน้นนี่นั่น เพียงแค่เปิดเรา Bluetooth แล้วเปิดฝาก็เชื่อมต่อได้ละ นอกจากนั้นหลังจากที่เราเชื่อมต่อใน Apple Device ไปแล้วมันจะมีตัว Device ไปโผล่ในเครื่องที่ Login iCloud เดียวกัน เช่นใน macOS ผมก็จะขึ้นมาใน Bluetooth พร้อมให้เราเชื่อมต่อโดยที่กด Connect เหมือนเมาส์ได้เลย
แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ iOS จะยากกว่าใน iOS หน่อย คือเราต้องกดปุ่ม WPS จนขึ้นไฟสีขาวกระพริบ แล้วในเครื่องก็เข้าไปเปิด Bluetooth และ Pair มันเหมือนหูฟัง Bluetooth เครื่องอื่น ๆ ก็พร้อมใช้งานแล้ว
แต่ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะแย่งสัญญาณเราไป เพราะถ้าไม่ใช่อุปกรณ์ที่มันเคยเชื่อมต่อมันก็จะต่อไม่ได้ ถ้าจะต่อก็คือเราต้องกดปุ่มด้านหลังเพื่อเชื่อมต่อเหมือนกับที่เราต่อครั้งแรกนั่นเอง
หน้าจริงมันไม่ได้เนียนขนาดเน้ !! ขอบคุณ Google Pixel 2 XL ที่ทำให้เนียนได้โดยที่ไม่ต้องแต่ง
ในเรื่องของการใช้งาน รู้สึกว่ามันเป็นหูฟังที่ค่อนข้างสะดวกมาก เวลาจะใช้เราก็แค่หยิบมันออกมามันก็จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของเราเลย
เวลาใส่เดินไปมา ปั่นจักรยานมันก็ไม่หลุดนะ แต่ก็แอบเสียว ๆ เวลาปั่นจักรยานหรือขึ้นพี่วินเพราะลมมันพัดแรงเดี๋ยวมันปลิวหายไป โดยปกติแล้วผมจะเป็นคนที่ใช้หูฟัง In-Ear เพราะเวลาใส่แล้วมันก็รู้สึกแน่นและไม่ค่อยหลุดออกมา ก่อนหน้านั้นก็เคยใส่ EarPods แล้วก็รู้สึกเจ็บหูหน่อย ๆ และไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แถมชอบหลุดด้วย แต่พอมาใส่ AirPods ก็ฟิลลิ่งคล้าย ๆ กัน แต่ไม่หลุดบ่อยเท่ากับ EarPods จริง ๆ แล้วมันใส่พอดีกว่าที่คิดซะอีก
เดินไปเดินมาก็ยังไม่หลุดเลย จะกลัวก็ตอนที่แอบหลับบนรถแล้วเอียงคอไปมา มันอาจจะไปโดนหูแล้วก็หลุดหล่นลงไปในซอกหลืบของรถแล้วหายไปตลอดกาลก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาขึ้นรถแล้วจะแอบหลับก็จะไปใส่หูฟังที่มีสายแทน
อาการกระตุกก็ไม่ค่อยเกิดนะ (เว้นแต่จะอยู่ห่างพอสมควร) เคยลองใช้ของยี่ห้ออื่นบางทีมันก็กระตุกแล้ว บางรุ่นดีหน่อยเดินเฉย ๆ ไม่กระตุกอะไร แต่พอไปเจอห้างเท่านั้นแหละพัง พัง พัง เพราะหูฟังพวกนี้มันใช้ Bluetooth ในการเชื่อมต่อ ซึ่ง Bluetooth มันใช้ความถี่ที่ 2.4 GHz และ WiFi ก็ใช้ความถี่ที่ 2.4 GHz เช่นกัน ทำให้เวลาพวกหูฟัง Wireless เวลาไปเจอที่ที่มี WiFi เยอะ ๆ แล้วมันก็จะกระตุก เพราะสัญญาณรบกวนเยอะนั่นเอง
เวลาใส่แล้วจะเก็บจะรู้สึกว่ามันมัน ๆ ขี้หูเรามาก ทำให้เวลาเราหยิบหรือเก็บตัวหูฟังมันก็จะรู้สึกมัน ๆ ที่มือหน่อย ๆ ก็จะไม่ชอบ ยิ่งเวลาเหงื่อออกมันก็จะมัน ๆ ลื่น ๆ หนักกว่าเดิมอีก
ตัว AirPods มาพร้อม Microphone ทั้ง 2 ข้าง ทำให้เราใส่ข้างไหนก็ใช้ได้ โดยเราสามารถใช้คุยโทรศัพท์ คุย Video Call ได้สบายเลย ไม่ต้องตะโกน เห็น Apple บอกว่ามันใช้ Technology Beam Forming ที่ทำให้มันลดเสียงรบกวน และทำให้ตัว Microphone รับเสียงที่เราพูดได้ดีขึ้น ซึ่งจากการลองใช้จริงแล้วมันก็ทำให้เสียงดีขึ้นเยอะเลย ชัดและคมขึ้นมากกว่าเสียงที่ได้จาก Microphone ของโทรศัพท์และตัว Macbook Pro เอง
แต่อีกข้อสังเกตนึงคือมันไม่สามารถเพิ่มลดเสียงได้จากตัวหูฟัง วิธีนึงคือกดข้างเพื่อเรียก Siri ขึ้นมาแล้วบอกให้เพิ่มลดเสียง แต่ถามว่า เราจะยืนอยู่บน Platform ของ BTS แล้วบอกว่า Set Volume to 70% ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีแน่นอน วิธีที่ดีกว่านั้นคือเราก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเอาเองน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
Battery จัดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องนึงเหมือนกัน โดย Apple เคลมว่าสามารถใช้ได้นานสุดต่อการชาร์จ 1 ครั้งราว ๆ 5 ชั่วโมง และการชาร์จในเคสเพียง 15 นาที ก็จะใช้ฟังได้ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว รวม ๆ แล้วมันก็จะใช้งานราว ๆ 24 ชั่วโมงต่อการชาร์จเคส 1 ครั้ง
จากการใช้งานจริง ถ้าเอามาฟังเพลงเฉย ๆ มันก็จะได้อายุราว ๆ ที่ Apple เคลมไว้แหละ แต่ถ้าเอามาคุยโทรศัพท์ยาว ๆ มันก็จะใช้ได้ไม่นานขนาดนั้น ราว ๆ 3-4 ชั่วโมงก็จะหมด 1 ครั้งซะแล้ว สงสัยเป็นเพราะ Beamforming Microphone แน่ ๆ เลยฮ่า ๆ
ในเรื่องของคุณภาพเสียง ถ้าถามผมก็คงจะบอกว่า รู้สึกแย่ ! ฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดเบา ๆ แต่ถ้าถามว่าเทียบกับ EarPods แล้ว AirPods ดีกว่าเยอะเลยด้วยมิติเสียงที่ดีขึ้น Stage ก็กว้างกว่าหน่อย ๆ และ Bass ที่แน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ถ้าเทียบกับ Sony XBA-N1AP ที่ใช้อยู่ก็ อื้ม... ต่างอยู่แล้วละ ต่างกันฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้ ทั้งเรื่องของความละเอียด ความกว้างของ Stage และ Bass ที่นุ่มนวล มาเป็นลูก ๆ ฟังได้มันส์กว่าเยอะ
ในเรื่องของความตัดเสียงภายนอกของ AirPods จัดว่ามันไม่น่าจะกันเสียงได้เลย ถ้าเราใส่เดินริมถนนเสียงรถนี่คือดังมาก ดังจนแทบไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย (หรือเพราะว่ามันไม่ค่อยพอดีกับหูเราสักเท่าไหร่) ต้องเปิดดังมากกว่าจะได้ยินเสียงเพลงที่เปิด แต่ถ้าเป็น Sony ที่ใช้อยู่เปิดนิดเดียวก็ได้ยินหมดละ อาจจะเป็นเพราะหูฟัง In-Ear มันซีลเสียงได้ดีกว่า ตัว In-Ear มันเลยกันเสียงภายนอกได้ดีกว่า
สรุปในเรื่องของคุณภาพเสียงแล้วละก็ AirPods ไม่ได้เป็นหูฟังที่ให้เสียงได้ดีเมื่อเทียบกับค่าตัวของมัน แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นอยู่ในระดับที่ก็.............. (ยาวมาก) พอรับได้มั่ง
จากทั้งหมดที่ใช้ถือว่า Apple AirPods สร้างความประทับใจในการใช้งานเพราะการเชื่อมต่อที่โคตรง่ายสะดวกสบาย แรก ๆ ก็เห่อหน่อย ๆ ใช้ตลอดแม้กระทั่งตอนอยู่หน้าคอมก็ต้องกดสลับไปใช้ AirPods แทน ถามว่าแล้ว AirPods มันเหมาะกับใคร
ก็คงต้องตอบว่า ถ้าใครใช้ Apple Device เช่น Macbook, iPad และ iPhone ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพราะเราสามารถเชื่อมต่อได้ง่าย สลับไปมาได้ง่าย หรือถ้าอยากได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่อยากได้ความสะดวกในการเชื่อมต่อแล้วก็ Beat ที่มาพร้อมกับชิพ W1 ก็เป็นอีกตัวเลือกนึง
ส่วนผู้ใช้ Android ก็จัดว่าเป็นหูฟังที่ดีตัวนึง ถ้าเราลองไปดูหูฟังที่เป็น Truly Wireless อื่น ๆ แล้ว Apple AirPods ก็กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเฉยเลย ด้วยเรื่องของความเสถียรในการต่อ ใช้แล้วไม่กระตุก ไม่หลุด คือดีย์มาก แค่ติดอย่างเดียวคือคุณภาพเสียงกากไปหน่อยเมื่อเทียบกับค่าตัวของมัน
Apple AirPods เป็นหูฟังที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ เหมือนตอนนี้เป็นยุคเริ่มต้นของหูฟัง Truly Wireless ที่ตอนแรกมันอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับหูฟังสายในปัจจุบัน แต่ในอนาคตก็อาจจะดีขึ้น ทั้งเรื่องของความสะดวกและคุณภาพเสียง เจ้าตัว AirPods กินขาดไปเลยในเรื่องของความสะดวกสบาย เป็นหูฟังตัวนึงที่เชื่อมต่อได้ง่ายแสนง่าย พร้อมกับเคสที่พกพาสะดวก (น่าจะสะดวกที่สุดเท่าที่ดูมาในช่วงนี้แล้ว) ถ้าใครอยากจะซื้อก็แนะนำเลยมันดีย์ (ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ฟังเพลงจัด) ในราคาค่าตัวแสนโหดที่ 6900 บาท
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...