By Arnon Puitrakul - 12 กรกฎาคม 2020
หูฟังถือว่าเป็นของที่เราขาดไม่ได้เลยเวลาจะออกไปข้างนอก อันก่อน เรารีวิว Sony WF-1000XM3 ที่เป็นหูฟัง Truly Wireless ตัวล่าสุดจาก Sony ที่ต้องบอกเลยว่า ดีย์ เสียงนางคือดีย์มาก กับก่อนหน้านี้เรารีวีว Apple Airpods ตัวแรกไป ตอนนั้นเราบอกเลยว่าเสียงมันงั้น ๆ แหละ วันนี้เราซื้อ Apple Airpods Pro มาดูกันดีกว่าว่า การเติมคำว่า Pro และ การอัพราคาสูงถึง 9,400 บาท จะคุ้มค่ากับการซื้อมาใช้งานมั้ย
TLDR; บอกเลยว่า กำหมัด !
เรามาเริ่มจากตัวกล่องเช่นเคย ที่กล่องก็จะมีการซีลพลาสติกมาตามสไตล์ของ Apple เลย ด้านหน้ากล่องจะโล่ง ๆ มีเพียงรูปของตัวหูฟังเท่านั้น
สำหรับด้านข้างของกล่อง จะเป็นโลโก้ Apple พิมพ์ปกติเรียบ ๆ ไปกับกล่อง พร้อมกับ มีแถบให้เราดึงแกะ แถบนี้แหละ เราทำให้เราชอบการแกะ Product ของ Apple ในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานี้เลย
อีกข้างของกล่องก็จะเป็นการบอกว่า เราเป็น Airpods Pro นะ กับตัว Case เป็น Wireless Charging Case ด้วยนะ ตอนที่เห็นพิมพ์แบบนี้ครั้งแรกคือ ของปลอมป่ะนิ ทำไม Font มันดูไม่สวยเลย แต่พอไปดูรีวิวเจ้าอื่นก็มี เห้อออ โล่ง
ที่ก้นกล่องก็จะเป็นพวกรายละเอียดต่าง ๆ รวมไปถึง Serial Number ของตัวหูฟังด้วย ที่แน่นอนว่า เราปิดเอาไว้นะ เดี๋ยวเราจะมาสอนดูด้วยว่าอันนี้ของจริงจาก Apple มั้ย
และสุดท้ายด้านหลังเป็นรูปของ AirPods Pro พร้อมกับชื่อในภาษาต่าง ๆ สำหรับขาย International มั่งนะ
ได้เวลาอันสมควรแล้ว มาแกะกันเลยดีกว่า อย่างที่เราได้บอกไปว่า เราชอบการแกะซีลของมันมาก เราว่า ซีล แบบนี้ Apple เขาคิดมาแล้วว่า มันต้องทำให้แกะง่าย ต่างจากซีลยี่ห้ออื่นที่ต้องใช้กรรไกรช่วยไม่งั้นแกะลำบาก อันนี้ดึงแล้วออกมาเลย สะดวกมาก ๆ ชม ๆ
อีกความสวยงามในการ Unboxing Apple Product คือ การดึงฝาออกมา เขาทำมาได้ฟินมาก ไม่ว่าจะสินค้าตัวไหนก็ฟินหมดทุกกล่อง
ตอนดึงกล่องออกมา เหมือนในการ์ตูนเลย ที่พอเปิดกล่องขุมทรัพย์ออกมาแล้วมีแสงออกมา วาบบบบบ ใช่ฮ่ะ ตอนเปิดฝาออกมาคือ รู้สึกแบบนั้นเลย
เมื่อเราเปิดฝาออกมาแล้ว เราจะพบกับกล่องสำหรับใส่ Paper Work ต่าง ๆ แน่นอนว่า ความ Apple ก็ต้องมีการเขียนไว้ด้วยว่า Designed by Apple in California คนที่ใช้ของ Apple มาหลาย ๆ ชิ้นก็น่าจะเคยเห็นอยู่บ่อย ๆ เพราะมีทุกกล่อง
ในซอง Paper Work แน่นอนว่ามีพวกคู่มือการใช้งาน คู่อมือความปลอดภัยต่าง ๆ และ การรับประกัน ที่แน่นอนว่า ไม่เคยอ่าน ข้ามมมมม
เมื่อเอาซอง Paper Work ออกมา เราก็จะพบกับพระเอกของเราในวันนี้คือ Apple Airpods Pro วางอยู่อย่างสวยงามตามสไตล์ Apple เมื่อเราหยิบ Airpods Pro ออก เราก็จะเป็นช่องโล่ง ๆ เลย
ถ้าไม่ดูดี ๆ เราว่า น่าจะมีปิดกล่อง จบละ มีแค่นี้แหละในกล่องอะไรแบบนั้น เอาจริง ๆ มันก็คิดแบบนั้นได้นะ เพราะ Apple ก็ไม่ค่อยชอบแถมหรือ Bundle ของมาในกล่องเยอะแยะอยู่แล้ว จะคิดว่ามีแค่ Paperwork กับหูฟังแล้วจบก็คิดได้นะ แต่ถ้าเราดูดี ๆ มันจะมีลูกศรสีเขียว ๆ เล็ก ๆ ให้เราดึงขึ้นอยู่ ตอนที่เราดึงขึ้นมา มันก็ขึ้นมาทั้งฝาเลย เปิดมาเราก็จะเจอกับสายสำหรับชาร์จ
สายที่ให้มา เป็นสายแบบ Lighting to USB-C เลย อันนี้เราก็ไม่คิดเลยว่าา Apple จะแถมแบบที่เป็น USB-C ให้ ถือว่าใจปล้ำสุดแล้วสำหรับ Apple ยิ่งถ้าใครที่ใช้ iPhone หรือ iPad รุ่นที่แถมมาแค่สายแบบ USB-A มานี่ยิ้มเลย เหลือแค่ไปซื้อ Adapter ที่เป็น USB-C กับ Fast Charge มาก็ใช้งาน Fast Charge ได้แล้ว
ฮั่นแน่คิดว่าจะลืมอันนี้ละสิ จากที่เมื่อกี้บอกว่ามันยกขึ้นมาทั้งฝา มันแยกชิ้นนี้ออกมาได้ ทำจากกระดาษทั่ว ๆ ไปเลย ที่ด้านหน้ามีรูปบอกว่า มันคือ จุกยาง สำหรับเปลี่ยนที่ตัวหูฟัง
ด้านหลัง ไม่มีอะไรเลยโล่ง ๆ เรียบ ๆ เราว่าที่ทำให้ชิ้นนี้ดูแพง มันคือ ขอบ ที่สังเกตุจากในรูป เราจะเห็นว่า ตรงขอบมันจะบางกว่าตรงกลาง ตอนแรกคิดว่าเขาเอากระดาษที่ชิ้นเล็กกว่ามาติดเพิ่ม พอดูดี ๆ มันเหมือนชิ้นเดียวกันมากกว่า อันนี้ชอบ ๆ
เปิดมา เราจะเจอกับ จุกยาง สำหรับใส่หูฟังทั้งหมด 4 อัน หรือก็คือ 2 คู่นั่นเอง โดยในกล่องนี้จะมีขนาด S และ L ส่วนขนาด M จะใส่มาในหูฟังแล้ว อันนี้จะช่วยปรับสำหรับคนที่รูหูเล็ก หรือใหญ่ ก็ต้องปรับให้พอดีกับหูเรา
กลับมาดูที่ตัว Airpods Pro กันดีกว่า ก็จะมีการซีลพลาสติกมาเหมือนกับ Product อื่น ๆ ของ Apple เลย พอแกะของ Apple มาเยอะ ๆ คือ ฟินกับพลาสติกที่ห่อของทุกครั้งเลย จับแล้วมันฟินมาก
ตัว Airpods Pro ก็ยังมาในขนาดที่เล็กเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับหูฟังจาก Brand อื่น ๆ และยังคงความเป็น Airpods ได้ด้วยการ Design และ วัสดุที่เป็นสีขาวเงา และ มีร่องสำหรับเปิดเหมือนเดิม ทำให้การเปิดมันทำได้สะดวกมาก ๆ พร้อมกับไฟแสดงสถานะอันเล็ก ๆๆๆๆ ที่จะแสดงสถานะการชาร์จ หรือสถานะของ Battery
ด้านหลัง จะเป็นบานพับที่ทำจากโลหะ ถัดลงมา จะมีการพิมพ์เป็นตัวเล็ก ๆ สีเทาว่า มันถูก Design ใน Apple California และ ประกอบที่จีนนน ฮ่า ๆๆๆๆ และลงไปอีกก็จะเป็นปุ่มกลม ๆ สำหรับกดเพื่อเข้า Pairing Mode สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ iOS และยังเป็นปุ่มกดสำหรับการ Reset เมื่อมีปัญหาอีกด้วย
ข้างใต้ก็ยังคงมาสไตล์เดิมคือ เป็นหัวสำหรับเสียบชาร์จผ่านสายที่มีหัวแบบ Lighting เช่นเดียวกับ iPhone และ iPad (ทุกรุ่นที่ไม่ใช่ Pro) ซึ่งอย่างที่แกะกล่องไป สายมีมาให้เราในกล่องแล้ว
เสียงการปิดฝากล่องก็ยังสร้างความ Satistify ให้เราได้เป็นอย่างดี เราว่าเสียงมันต่างจาก Airpods ตัวธรรมดานิดหน่อย อันนี้เสียงมันฟังแล้วแหลมน้อยลง และ เบาลง นิดหน่อย
เปิดฝามา เราก็จะเจอกับตัวหูฟังเสียบอยู่ในกล่องอย่างเรียบร้อย สัมผัสแรกของการเอาหูฟังออกมาคือ เราว่ามันเอาออกยากกว่าตัว Airpods ธรรมดาเยอะเลย ยิ่งถ้ามันผ่านการใส่มาอย่างน้อยครั้งนึง มันจะมัน ๆ จาก Wax ในหูเราอีก ยิ่งทำให้หยิบยากขึ้นไปอีก
ตอนที่เปิดฝาออกมา ไฟแสดงสถานะก็จะขึ้นมา ในที่นี้มันขึ้นมาเป็นสีส้มก็คือมันน่าจะกำลังชาร์จไฟเข้าตัวหูฟัง ไม่ก็ Battery ต่ำถึงจุดนึงมันจะขึ้นสีส้ม แต่สีเขียวก็คือ Battery เต็มพร้อมใช้งาน
เมื่อเราเอาตัวหูฟังออกไป เราจะเห็นโลหะสีทอง ๆ ตรงนั้นเป็นขั้วสำหรับชาร์จไฟเข้าตัวหูฟังเมื่อเราเสียบลงไปนั่นเอง ตอนเสียบลงไป ถ้าเป็น AirPods ธรรมดาพอเสียบกลับเข้ากล่องมันจะมีเสียงกระทบ แต่อันนี้มันไม่ได้ดังเลย แล้วมันจะต้องมามองว่าเสียบเข้ายังหว่าอะไรแบบนั้นมากกว่า ที่เสียบแล้วมีเสียงคือ อ่ออ เข้าแน่นอน ทำให้เสียเวลาในการมานั่งดูว่า มันเข้ายัง แต่ไม่ได้แปลว่า แม่เหล็กมันไม่แน่นนะ คว่ำลงแล้วเขย่า ๆ ก็ยังไม่หลุด สบายใจได้
ไปที่ตัวหูฟังกันบ้าง ใน Airpods Pro เป็นหูฟังแบบ In-Ear หรือที่มันต้องเสียบเข้าไปในหูต่างจาก Airpods ตัวปกติที่ไม่ต้องเสียบเข้าไปในหู ข้อดีของการเป็น In-Ear ก็คือ การป้องกันเสียงจากภายนอกได้ดีกว่านั่นเอง
ลองมาดูรายละเอียดข้างในกันดีกว่า ที่ด้านหน้า Driver ออกแบบมาคล้าย ๆ กับตัว Airpods ปกติ แต่มีจุกยางงอกออกมา กับมันจะมีแถบดำ ๆ อยู่ จะเห็นมันเป็นช่องตระแกรง ๆ ตรงนี้แหละ เป็นจุดที่เราว่า ทำให้เราชอบ AirPods Pro มาก ๆ เพราะมันเป็นช่องสำหรับระบายอากาศ ทำให้เวลาเราใส่หูฟังแล้วมันไม่ได้รู้สึกตัน ๆ ที่หู มันเกิดจากความดันอากาศที่ไม่เท่ากัน ระหว่างหู และ บรรยากาศภายนอก
ที่จุกยาง มันทำมาจากยางที่จับแล้วนิ่ม ๆ ใช้ได้เลย ความหนาแอบบางกว่าเจ้าอื่น ๆ อยู่เยอะพอควร และ แน่นอนว่า จุกยางนี้ ถ้าทำหายหมดก็ต้องซื้อจาก Apple เท่านั้นนะ ช่องเสียบเป็นของเขาเลย อีกหนึ่งความพิเศษคือที่จุกมันมีตระแกรงอีกชั้นนึงก่อนที่จะเป็นตัว Driver ทำให้พวกขี้หูมันไม่เข้าไปติดที่ตัวหูฟังเลย ถ้าเราใช้จนมัน Beyond การทำความสะอาดไปแล้ว แล้วคนอื่นเอาไปใช้ต่อก็ซื้อชุดจุกยางไปอีกชุดได้เลย
ด้านหลังของหูฟัง จะเป็นตระแกรง ๆ ตรงนี้ไม่ต้องกลัวว่า ถ้าเราเอาไปโดนฝนนิด ๆ หน่อย หรือโดนเหงื่อแล้วมันจะเข้าไปทำให้ตัว AirPods Pro เราเสียหาย เพราะมันรองรับมาตรฐานการกันน้ำระดับ IPX4 ถ้าเอาไปใช้ออกกำลังกายได้ไม่มีปัญหาชิว ๆ แต่อย่าเอาไปยืนพายุโหมกระหน่ำแบบพระเอก MV หรือ ว่ายน้ำละกัน
ที่ก้านหูฟัง ก็จะมี Pressure Sensor เพื่อให้เราสามารถ บีบ เพื่อควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ เช่น บีบ 1 ครั้ง เพื่อเล่น หยุด หรือ รับสายวางสาย โทรศัพท์ได้ บีบ 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนไปเพลงต่อไป บีบ 3 ครั้งเพื่อไปเพลงก่อนหน้า และสุดท้ายบีบค้างเพื่อเปิดปิดโหมด Noise Cancelling (เดี๋ยวเราจะเล่าด้านล่าง)
ก่อนเราจะใช้งานได้ เราจะต้องเชื่อมต่อมันเข้ากับโทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์ของเราซะก่อน แน่นอนว่า ความ AirPods มันต้องมีความง่ายโคตร ๆ เพียงแค่ เราเอา AirPods Pro เข้าไปใกล้ ๆ อุปกรณ์ของเรา แล้วเปิดฝา กด Connect ก็เรียบร้อยเลย ไม่ต้องมานั่งเปิด Pairing Mode ใส่ Pin หาอีกว่าชื่ออะไรโน้นนี่นั่น มันทำให้เราหมดเลย ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ Apple ใส่ตัว Chip H1 เหมือนกับที่ใส่ในตัว AirPods ปกติ และ PowerBeats Pro
การเชื่อมต่อทั้งหมดก็ยังคงเหมือนหูฟังอื่น ๆ ที่ใช้ Bluetooth 5.0 ในการเชื่อมต่อ ส่วนใหญ่การฟังไม่ได้พบอาการกระตุกแต่อย่างใดเลย ยกเว้นแต่เดินห้างที่บางทีก็จะมีอาการสะอึกนิดหน่อย เรื่องนี้เข้าใจได้ เพราะ Bluetooth เองทำงานบนย่านความถี่เดียวกับ WiFi ซึ่งเราก็น่าจะรู้กันดีว่า ในห้างคือมี WiFi เยอะขนาดไหน
ปัญหานึงของหูฟังไร้สายทุกชนิดคือ ความ Delay พวกนี้ดูง่าย ๆ คือ ให้เราลองเปิดหนังหรือวีดีโอ สักเรื่องนึง แล้วลองดูว่า เสียงกับปากตรงกันมั้ย บางหูฟังระบบการเชื่อมต่อไม่ค่อยดี ทำให้ ปากกับเสียงมันไม่ตรงกันเลย หรืออย่าง AirPods Pro เองถือว่าทำได้ดีเลย ไม่ว่าเราจะดู Netflix และ Youtube หรือจะเล่นเกม Online ที่มันต้อง Sync กันเดี๋ยวนั้นเองก็ถาม ก็ให้เสียงออกมาได้ ไม่มีสะดุด และมี Delay น้อยมากกกกกก ต้องมานั่งจับผิดถึงจะรู้
Feature ชูโรงของ AirPods Pro คือ การทำ Noise Cancelling หรือภาษาไทยเราเรียกว่า การตัดเสียงรบกวน เป็นระบบที่จะเอาเสียงรบกวนออกไป เพื่อให้เราสามารถฟังเสียงจากหูฟังได้ชัดเจนขึ้น
หลักการของมันคือ มันจะต้องมี Microphone อยู่ด้านนอกของหูฟังเพื่อรับเสียงว่าด้านนอกมันมีเสียงอย่างไร จากนั้นมันจะปล่อยเสียงที่อยู่ใน Phase ตรงข้ามออกมา ด้วยหลักการนี้ทำให้เสียงที่เราได้ยินจะเป็นเสียงเงียบ มนุษย์เราจะได้ยินเสียงที่มาพร้อมกับ Phase ตรงข้ามกับมันเองว่าเงียบนั่นเอง
Apple ไปไกลกว่านั้นอีก ด้วยการเติมไมค์ที่อยู่ในหูฟังอีก เพื่อเป็นการเช็คอีกครั้งว่า เสียงที่ตัดแล้ว มันออกไปจริง ๆ ถ้าไม่หมด มันจะเอาเสียงที่ได้ยินจากในหูฟัง พร้อมกับเสียงจากไมค์ด้านนอกมาคำนวณพร้อม ๆ กันเพื่อให้ตัดเสียงรบกวนได้ดีที่สุดนั่นเอง และทั้งหมดที่เราว่ามา มันคำนวณตั้ง 200 ครั้งต่อวินาทีเลยทีเดียว
และอีก Feature ที่มาด้วยกันคือ Transparency Mode ที่จะเอาไมค์ที่อยู่ด้านนอกมารับเสียงแล้วปล่อยเข้ามาพร้อมกับเพลงของเรา เพื่อทำให้เราได้ยินเสียงจากข้างนอกด้วยเช่นกัน มันใช้ได้ดีเวลาเราไปออกกำลังกาย หรือ เดิน ๆ แล้วฟังเพลงไปด้วย จะได้ไม่โดนรถเสยเข้าให้
ซึ่งในการสลับระหว่าง Noise Cancelling Mode และ Transparency Mode เราสามารถทำได้โดยการบีบที่หูฟังข้างไหนก็ได้ค้างไว้สัก 1-2 วินาที มันจะมีเสียง ตึ้งงงง ขึ้นมา แล้วเสียงก็จะเงียบลง และ ดังขึ้น อย่างน่าอัศจรรย์เลยละ
นอกจากนั้นในฝั่งของ Software จะมีส่วนที่เอาไว้ทดสอบด้วยว่า ตัวจุกยางที่เราใส่อยู่มันเข้ากับหูของเรามั้ย เพราะตัดจุกยาง มันช่วยเป็นเหมือนตัวซีลเสียงกันเสียงเข้า เพื่อให้ระบบการทำ Noise Cancelling ทำได้ดีขึ้นไปอีกนั่นเอง สำหรับคนที่ซื้อมาแล้ว ถ้ามันทดสอบไม่ผ่าน เราก็อาจจะต้อง ขยับหูฟังให้เข้าที่ หรือ อาจจะต้องลองเปลี่ยนขนาดของจุกยาง
คุณภาพของ Microphone ใน AirPods Pro ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ไม่ได้แย่ และ ไม่ได้ดีมากกกกก อะไรขนาดนั้น แต่มันพอใช้งานได้แล้วไม่หงุดหงิด ปลายสายคุยกันรู้เรื่อง กับถ้าเอาไปใช้เป็น Microphone สำหรับการ Live ก็ย่อมได้ เช่นบางที อาจจะ Live จาก Faceboook เราก็เอา AirPods Pro ต่อแล้วก็ Live จากโทรศัพท์ หรือ Tablet ได้เลย อะไรแบบนั้น
หรือที่เราใช้งานคือ เวลาเราอัดรายการที่ต้อง Video Call แทนที่เราจะเอาไมค์อีกตัวติดไป แล้วต้องมาเซ็ตอะไรยุ่งยาก ตอนนี้เราก็ใส่แค่ AirPods Pro แล้วก็จบเลย เสียงที่ได้ออกมาจะออกแนวแคบ ๆ หน่อย เสียงพูดจะชัด และ รับเสียงจากปากเราได้ดีมาก ถึงแม้ว่าขามันจะสั้นกว่า AirPods ตัวปกติ
Apple เคลมว่า AirPods Pro สามารถฟังได้ราว ๆ 4 ชั่วโมงครึ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และ สามารถใช้ได้ 24 ชั่วโมง จากการชาร์จจากเคสไปด้วย และ ชาร์จเพียง 5 นาทีก็จะฟังได้ราว ๆ 1 ชั่วโมงเลย
ส่วนการชาร์จเคส ทำได้ 2 วิธีคือ การชาร์จผ่านสายที่สามารถเสียบผ่าน Port Lighting ตรง ๆ ได้เลย ซึ่งอย่างที่เห็นจากการแกะกล่อง สายก็แถมมาในกล่องแล้ว หรือถ้าเราใช้ iPhone อยู่แล้ว ก็ใช้สายเดิมได้เลย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียบหลาย ๆ เส้นรก
อีกวิธีคือ การชาร์จแบบไร้สาย หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า Wireless Charging นั่นเอง เราสามารถวางลงไปบนแท่น Wireless Charging ที่รองรับมาตรฐาน Qi ได้เช่นเดียวกับ iPhone ที่รองรับ แต่ข้อสังเกตุที่เราไม่แน่ใจว่า มันเป็นของเราคนเดียวมั้ยคือ เหมือนมันจะชาร์จ ๆ หยุด ๆ เพราะไฟแสดงสถานะที่แท่นชาร์จมันติดอยู่แปบนึง แล้วก็ดับไปแปบนึง แล้วก็กลับมาติดใหม่ งงมาก
วิธีการชาร์จที่เราว่าโอเคที่สุดแล้วในแง่ของความสะดวก เราว่าน่าจะเป็นการใช้ Wireless Charging นี่แหละ ถ้าเรามีพวกแท่นชาร์จ Wireless อยู่แล้วยิ่งง่ายเลย กลับบ้านมาจับวาง พอจะออกก็คว้าไปได้เลย ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่า แบตเราไม่หมดกลางวันแน่นอน เพราะเราชาร์จทุกวัน
การใช้งานจริง ก็พบว่า แบตมันก็ได้ราว 4 ชั่วโมงครึ่งจริง ๆ อย่างที่ Apple เคลมเลย และการชาร์จที่ต้องบอกเลยว่า มันชาร์จได้ช้ามาก ๆ โดยเฉพาะเวลาเราจะชาร์จไฟกลับเข้าไปในเคส ตอนครั้งแรกที่ชาร์จนึกว่าที่ชาร์จพังซะแล้ว แต่โทรศัพท์มันก็ชาร์จเข้านะ เลยเออ น่าจะมันช้าแหละ ถ้าเอาชาร์จเร็ว ๆ ดี ๆ เราว่า เสียบสายไปเลย แต่ถ้าไม่รีบ ทิ้งไว้ทั้งคืนก็เชิญ Wireless Charging ก็ได้สะดวกดีเหมือนกัน
เราเป็นคนที่ให้ค่าเรื่องของคุณภาพเสียงเยอะมาก ๆ จริงจังเรื่องนี้โคตร ๆ และต้องพูดเลยว่า เสียงมันห่วยแตกมาก เมื่อเทียบกับค่าตัวของมัน ถ้าให้เราตีค่าให้มันเมื่อเทียบกับคุณภาพเสียงอยู่ที่ไม่เกิน 4 พันบาทเท่านั้น ด้วย Sound Stage ที่ฟังแล้วรู้สึกอึดอัดแปลก ๆ โดยเฉพาะถ้าหูฟังตัวก่อนเป็น Sony WF-1000XM3 นึกภาพง่าย ๆ คือ ตอนเราฟังจาก Sony เหมือนเรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นใหญ่ ๆ ในบ้าน มีวงดนตรีมาเล่นห่างจากเราสัก 2 เมตร ชี้ซ้ายอ่อ นี่ไงเครื่องเป่า นี่ไง Percussion แต่พอมาเป็น AirPods Pro เรารู้สึกเหมือนนั่งอึ 💩 ห้องน้ำสาธารณะเลย แล้วทุกคนเบียด ๆ เล่นดนตรีให้เราฟัง มันแหม่ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้
รายละเอียดเนื้อเสียง ไม่ได้ถือว่าทำออกมาได้ละเอียดมาก อยู่ในระดับที่พอจะรับได้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความละเอียดมาก อาจจะเพราะย่านต่ำมันเด่นไปหน่อยด้วยมั่ง
สำหรับในย่านต่ำ ทำได้ดีกว่า AirPods Gen 1 แน่นอนอันนี้ Confirm เลย ด้วยเสียงเบสที่มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้น แต่ไม่ได้แน่นจนทำให้ปวดหู มันออกนวล ๆ มากกว่า แต่ ๆๆๆๆ มันเหมือนกับมันนวลไปหน่อยอะ เหมือนเราใช้ Filter หน้าเนียนเยอะไปหน่อย จนหน้ามันดูปลอม ๆ เลย ย่านเสียงกลาง ฟังออกมาแล้วรู้สึกว่า ใส และเป็นธรรมชาติมาก ๆ ส่วนเสียงสูงก็ไปได้ในระดับนึง แต่ไม่มากถ้าชอบฟังเพลงที่เสียงสูงออกเยอะก็หมดอารมณ์ไป
ด้วยเพลงนี้น่าจะทำให้เห็นตัวอย่างของการรวมเสียงหลาย ๆ ย่านเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี มีการประยุกต์เอาพวก Synthesis มาใช้ในย่านเสียงต่ำ ลงไปเติมด้วย ฟังแล้วมันจะรู้สึกแคบ ๆ จริง ๆ เสียงย่านต่ำเด่นขึ้นมามาก จนไปบังเสียงพวก Violin เกือบหมด กับช่วง Guitar Solo คือหายไปเลย ในขณะที่เสียง Bass มันมาแล้วนะ แต่มันลงไม่สุดอีก เสียง Solo ที่น่าจะดีที่สุดคือ Guzheng ที่มันมา มันมาแล้วววว เกือบแล้วววว แต่มันก็ยังไม่สุดลุ้นอยู่ แต่ก็ไม่สุด รวม ๆ หลับตาแล้วยังไม่บินอะ อย่างหัวฟังตัวก่อน Sony WF-1000XM3 เพลงนี้ฟังแล้วรู้สึกลอยเลยนะ ลอยไปในอวกาศเลย
เรื่องของคุณภาพเสียงรวม ๆ แล้ว เราว่ามันทั่วไป เกินไปหน่อย ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกพิเศษขนาดนั้น กับค่าตัวระดับนี้เราคาดหวังสูงกว่านี้มาก เราให้อยู่ที่ 4/10 คะแนนนี้อิงจากหูเรา และ ความชอบของเราเท่านั้นนะ คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกัน
ถามว่า มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่เน้นเรื่องเสียงมาก เราว่าฟังแล้วน่าจะสนุกอยู่นะ ไม่ได้แย่จนฟังไม่ได้ แต่แค่มันไม่ถูกใจเราเท่านั้นเอง
หลังจากได้ลองใส่ฟังเพลง และ คุยโทรศัพท์มาหลายวัน พบว่าเป็นหูฟังที่คุยโทรศัพท์แล้วดีมากเลย ปลายสายฟังเราได้ชัดเจน เราก็ฟังอีกฝั่งรู้เรื่อง แต่คุยอยู่ได้ ไม่เกิน 3 ชั่วโมงหน่อย ก็เดี้ยงไปแล้ว ซึ่งที ที่มา Countermeasure คือ ใช้มันทีละข้างไปเลย ฮ่า ๆๆๆ พอข้างนึงหมด ก็เอาไปชาร์จ แล้วก็เอาอีกข้างมาใช้ก็เรียบร้อยละ
สิ่งที่ได้รับจากการใช้มันนาน ๆ คือ ไม่รู้สึกล้าเท่าไหร่ ส่วนนึงน่าจะมาจากการออกแบบโพรงสำหรับปรับความดัน ทำให้ไม่รู้สึกอึก ๆ เวลาเราใส่ ยิ่งใช้นาน ๆ ยิ่งเห็นผลจากความตัน ๆ ในหูเลยเราว่ามันเป็น Game Changer สำหรับเราเลย
แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่า เราใส่ผิดหรือถูกวิธี เพราะเราใส่แล้วเจ็บหูมาก ๆ มันไม่ได้เจ็บที่ข้างในหูนะ มันเจ็บที่ขอบ ๆ รูหูที่ตัวหูฟังมันไปกดอยู่ แค่ใส่ก็เจ็บเลย ไว้ต้องลองไปถามคนอื่นก่อนว่าเขาใส่แล้วเป็นยังไง หรือจริง ๆ แล้วเราอาจจะไม่เหมาะกับหูฟังตัวนี้เท่าไหร่ก็เป็นได้ ไม่แน่ใจ
ถามว่า ใส่แล้วหลุดมั้ย บอกเลยว่าไม่หลุดเลย ไม่ว่าจะเขย่า พยักหน้า สบัดหน้า หรือขึ้นวินพี่สุชาติโดนลมพัดก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะหลุดแต่อย่างใด ยิ่งกับคนที่ใส่ AirPods ตัวปกติแล้วหลุด เราว่าตัวนนี้น่าจะใส่ได้เลยแหละ อีกอย่างมันซีลตัวจุกยางอีก ยิ่งทำให้หลุดยากเข้าไปใหญ่
Case ทำมาล่อเป้า รอยขนแมวเช่นเดิม ถ้าอยากให้ Case อยู่ในสภาพดีตลอดเวลา จงไปหาซื้อ Case มาใส่ซะ ไม่งั้น ใช้ ๆ ไปไม่กี่วันได้รอยขนแมวมาแน่นอน แต่เอาจริง มันก็สวยเพราะมันเงานี่แหละ จะบอกว่าให้ทำมาเป็นผิวด้านจะได้เป็นรอยได้ยากขึ้นมันก็ไม่สวยเท่านี้อะ ใส่ Case เถอะ จะได้เก็บผิวเนียน ๆ ของมันไว้ชื่นชมยาว
การควบคุมที่ต้อง บีบ ที่ขาของหูฟัง เราว่า ด้วยความยาวแค่นี้ กับต้องมาบีบ มันแอบยากไปหน่อย ถ้าใช้ความยาวที่ยาวกว่านี้หน่อย น่าจะดีขึ้น และ ที่ต้องชมการออกแบบ Interaction ด้วยวิธีนี้ เพราะมันยากมากที่เราจะไปบีบมันโดยบังเอิญ หรือจริง ๆ แล้วที่ทำมาสั้น ๆ ให้บีบยาก ๆ เพื่อป้องกันเรามือไปโดนรึเปล่าไม่รู้
ตอนแรกคิดว่า แล้วเราจะต้องบีบเท่าไหร่ ถึงจะใช้งานได้ ทำให้นำไปสู่คำชื่นชมอันต่อไปคือ การใส่เสียง แป๊ก เล็กน้อย ตอนเรากดเข้าไปถือว่าเป็นการสร้าง Interaction ระหว่างเราและหูฟังที่ดีมาก ทำให้เรารู้ว่าเรากดลงแล้ว และไม่ได้ไปทำลายบรรยากาศด้วยเสียงการตอบรับที่ทำให้มันเซง ๆ รบกวน
เรื่องคุณภาพเสียง ก็อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เราไม่อินด้วยเท่าไหร่ แต่ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ก็ฟังได้ฟังสนุก ฟังได้หมดทุกแนวเลย ไม่ได้เน้นไปที่แนวใดแนวหนึ่งขนาดนั้น หรือจะเป็น Feature ชูโรงอย่าง Noise Cancelling ถือว่าทำได้ดีจริง แต่ก็ยังสู้เจ้าตลาดอย่าง Sony ไม่ได้ซะทีเดียว ทั้งในเรื่องของการตัดเสียงเอง และ การตั้งค่าต่าง ๆ ที่ทำไม่ได้เลย แต่ Sony ทำออกมาได้ดีอยู่พอสมควร
อีกด้านคือ Transparency Mode ของ Apple เราว่านางทำมาดีมาก เพราะเสียงที่เอาเข้ามาในหูเรา มันขยายเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับเสียงที่เราได้ยินตอนที่เราไม่ได้ใส่หูฟังมาก ไม่ใช่รับเสียงจาก Microphone แล้ว Noise กระจาย เหมือนฟัง White Noise ผสมกับเสียงข้างนอกตลอดเวลา และเวลาเราพูดเสียงตัวเองมันเข้ามาด้วย ยิ่งทำให้เรามั่นใจที่จะพูดตอนใส่หูฟังมากขึ้นมาก
และเรื่องสุดท้าย เป็นคำชม ในเรื่องของความ Seamless ในการใช้งานมาก ๆ ตั้งแต่การ Connect ครั้งแรกที่กดเพียงปุ่มเดียว และ การเชื่อมต่อไปที่แต่ละอุปกรณ์ของ Apple ที่ทำได้ง่าย และเร็วมาก ๆ
ต้องยอมรับว่า Apple ทำการบ้านหนักขึ้นในการที่จะสร้างหูฟังที่เจ๋งออกมา จนต้องบอกเลยว่า มันดีขึ้นกว่า AirPods ตัวก่อนหน้าในเกือบทุกด้าน แต่เราว่าก็ยังไม่สามารถเรียกว่า Pro ได้อย่างเต็มปากเลย ไม่สิ อย่าเรียก Pro เลย ไม่เข้าใจเลยว่ามัน Pro ยังไงด้วยซ้ำ พร้อมกับค่าตัวเฉียดหมื่น คิดซะว่าเอามาซื้อความสะดวกและ ประสบการณ์การใช้ที่ดีมาก แต่คุณภาพเสียงสอบตก (สำหรับเรานะ) แนะนำคนที่น่าจะซื้อคือ คนที่ต้องการความสะดวก ไม่อยากวอแวอะไรมาก ไม่ได้เน้นคุณภาพเสียงระดับสูงงงง และมี Apple Device อยู่แล้ว พวกนี้เหมาะเลย ส่วนที่ไม่เหมาะน่าจะเป็นคนแบบเรานี่แหละที่เอาเรื่องเสียงมาเป็นอันดับแรก และ ถ้าใครต้องการหูฟังที่เป็น Noise Cancelling ไปหา Sony เถอะ เขาทำดีกว่าเยอะ
ปล. จริง ๆ ต้องบอกเลยว่า ที่บ่นเรื่องคุณภาพเสียงขนาดนี้ ส่วนนึงเราก็ว่ามันแย่จริง ๆ แต่อีกส่วนที่ทำให้บ่นหนักขึ้นคือ ค่าตัวมันนี่แหละ ถ้ามันถูกเท่ากับ AirPods 2 with Wireless Charging Case น่าจะทำให้เราบ่นน้อยลง
ด้วยความที่ตอนเราไปซื้อ มันมีเยอะมากใน E-Commerce หลายเจ้ามาก ๆ บ้างก็จริง บ้างก็ปลอม บ้างก็ก๊อปเกรดเอ หลายอย่างเหลือเกิน แล้วทีนี้ถ้าเราได้ของมาแล้ว เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นของแท้ ให้เรามองหา Serial Number ที่อยู่ใต้กล่อง
แล้วเอาเข้าเว็บ Apple มันจะให้เรากรอก Serial Number และ Capcha ก็กรอกเข้าไป ถ้าเป็นของแท้มือ 1 เราจะเจอแบบนี้คือ Product ถูกคือเป็น AirPods Pro with Wireless Charging Case และ Purchase Data not Validated ด้วยนะเพราะเรายังไม่ได้ Activate หรือเชื่อมต่อครั้งแรก มันจะต้องมี Serial นี้จริงแต่ยังไม่สามารถบอกวันซื้อได้
หลังจากที่เราต่อเข้าเครื่องของเราครั้งแรกแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงเรากลับมาเช็คใหม่ มันก็เข้าไปอยู่ใน Apple ID ของเราแล้ว กับ ถ้าเรากรอก Serial Number อันเดิมลงไป มันก็จะขึ้นมาแล้วว่า วันเวลาการซื้อถูกต้อง และมีการรับประกันเรียบร้อย
ถ้าเราซื้อมาพึ่งแกะยังไม่ได้ต่อเลย เอาเข้าไปเช็คแล้วเจอว่า มีประกันไปแล้ว ให้ไปถามคนขายเลยว่า แอบแกะ Activate หรือมือ 1 จริงมั้ยก่อน ยิ่งถ้าวันที่มันไกล ๆ นี่รีบถามเลยนะ หรือถ้าหาในเว็บของ Apple แล้วมันบอกว่า Serial Number มันผิดก็ให้เช็คก่อนว่าเราพิมพ์ผิดมั้ย ถ้าถูกแล้วก็ระแวงก่อนได้เลยว่า ก๊อปเกรดเอแล้วละ หรือถ้าหา Serial Number ไม่เจอเลยอันนี้ก็เหอะ ๆๆๆๆ เช็คดี ๆ ละกันเนอะ
หลังจากผ่านไป 3 ปี ในที่สุดวันที่เรารอคอยกันก็มาถึง iPad Mini ออกรุ่นใหม่แล้วแกร แต่เอ๊ะ หน้าเดิมนิ แล้วมันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อการใช้งานอย่างไรบ้าง วันนี้เราได้ทดลองใช้แล้วจะมารีวิวให้อ่านกัน...
หนึ่งใน Feature ใหม่ที่เปิดออกมาทั้งใน macOS Sequoia, iPadOS 18 และ iOS 18 คือ App ที่ชื่อว่า Password เป็น Password Manager ของ Apple วันนี้เราได้ทดลองใช้งานมันมาประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว จะมาเล่าให้อ่านกันว่าอาการมันเป็นยังไง มันทำให้ชีวิตเราเหนื่อยขึ้นได้อย่างไร...
เป็นประจำในทุก ๆ ปีที่ Apple จะเปิดตัว macOS Version ใหม่ออกมาให้ผู้ใช้ Mac ได้ Upgrade กัน ในปีนี้เอง Crack Marketing Team ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการออกไปหาชื่อใหม่ให้กับ macOS ในปีนี้ชื่อว่า macOS Sequoia จะมี Feature อะไรเด็ด ๆ บาง วันนี้เรารวมเอามาเล่าให้อ่านกัน...
หลังจาก Apple เปิดตัว iOS18 และ iPadOS18 วันนี้เราจะมาเล่าพวก Feature ต่าง ๆ ที่เราได้ทดลองใช้งานมาหลายวันพร้อมกับบอก Use Case การใช้งานต่าง ๆ ว่ามันเอามาทำอะไรได้บ้าง...