Technology

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน

By Arnon Puitrakul - 20 มกราคม 2023

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน

หลังจากที่ Apple ออก M1 Pro และ M1 Max ที่เป็น SoC สำหรับการทำงานระดับ Professional มาเมื่อปี 2021 ในที่สุดวันนี้ M2 Pro และ M2 Max ก็ได้เผยโฉมออกมาสักที ตอนที่นั่งดู ก็เป็นอยากที่คาดการณ์ไว้เลยว่า มันไม่ได้น่าตกใจอะไรขนาดนั้น วันนี้เราเลยจะมาคุยกันว่า จากสเปกที่ออกมา มันทำให้เครื่องอย่าง Macbook Pro และ Mac Mini มันน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจอย่างไรบ้าง

TLDR; สิ่งที่น่าสนใจของการเปิดตัวรอบนี้ เราว่าไม่ใช่ SoC ตัวใหม่ และ Macbook Pro ใหม่เลย แต่เป็น Mac Mini มากกว่า

Introducing M2 Pro, M2 Max

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน

สำหรับใน M2 Pro และ M2 Max ตัว Apple เองก็ยังคง Concept เดิม ๆ เลย คือ ตัว M2 Max จะดึง CPU เดียวกันกับ M2 Pro มาเลย แค่เพิ่ม GPU ขึ้นไปมากขึ้นเท่านั้น

ในแง่ของ CPU เราว่า Apple เดินเกมฉลาดมากคือ การให้ Performance Core มาเท่าเดิมคือ 8 Core ซึ่งจากการใช้งานส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงาน Production ต่าง ๆ ที่ Apple เน้นนักเน้นหนา เหมือนเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวของเขา CPU 8 Performance Core ที่อออกมา ก็ถือว่าเร็วแรงมากพอแล้ว แต่อาจจะมีการปรับปรุงเรื่อง Clock Speed หรือไม่ ทำให้มันทำงานได้เร็วขึ้น อันนี้อาจจะต้องรอขอจริงถึงมือเหล่ารีวิว แล้วเดี๋ยวรู้กัน แต่สิ่งที่ทำให้เราคิดว่า Apple ฉลาดเลือกมาก ๆ คือ การเพิ่ม Efficiency Core เข้ามาจาก 2 Core เป็น 4 Core ด้วยกัน

อีกเรื่องที่ เราว่าสายทำงานหนัก ๆ ลุกขึ้นเลยครับ คือ การเพิ่มขนาดของ Unified Memory จากเดิม M1 Pro และ M1 Max รองรับสูงสุดแค่ 32 GB และ 64 GB Unified Memory ตามลำดับ ซึ่งการทำงานบางอย่าง อาจจะยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ (สาย Dev แมร่งเปิด IDE กับรัน Container ขึ้นมา แมร่งก็อ้วกแล้วครับ) มาใน M2 Max เพิ่มขนาดสูงสุดของ Unified Memory เป็น 96 GB จุก ๆ ไปเลย แต่ใน M2 Pro ก็ยังคงขนาดเท่าเดิมคือ 32 GB Unified Memory

ส่วนที่เพิ่มมาดูอลังการงานสร้างอีกส่วนคือ GPU อันนี้แหละ เอามาทำให้ลูกค้าที่เอามาทำ Production รักโดยเฉพาะเลย M2 Pro เด้งสูงสุดจาก 16 เป็น 19 Core และ M2 Max จาก 32 เป็น 38 Core ตัวเลขดูไม่เยอะ แต่เราว่าน่าจะต้องรอดูของจริงว่า การเพิ่มมามันจะแปรผลเป็นประสิทธิภาพได้สูงขนาดไหน

การเพิ่ม Efficiency Core คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

อาจจะ งง ว่า ทำไมเราถึงมองว่า การเพิ่ม Efficiency Core คือ จุดที่ทำให้ M2 Pro และ Max มันดีขึ้น จากในรุ่นแรก เราเปรียบได้กับรถ Sport ที่เร็วแรงมาก ๆ เอาไปฟาดในสนามแข่งยังไงก็ชนะกินขาดไม่ว่าจะยังไง แต่กลับกัน เมื่อมันเอามาใช้งานทั่ว ๆ ไป อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ต้องการรอบการทำงานที่สูง เช่น บางครั้ง เราอาจจะใช้คอมเพื่อเปิดหา Graphic สำหรับไปใส่ในคลิปของเรา หรือเปิดหา Sound อะไรแค่นั้น

แต่เครื่องก็ยังพาเราเร่งรอบสูงมาก ๆ หรือก็คือ การใช้งาน Performance Core ซะเยอะ ทำให้มัน แรงจริง แต่การใช้พลังงานมันก็สูงกว่าที่มันควรจะเป็นไปเยอะมากเมื่อเทียบกับ M1 ตัวปกติกันเอง

ถ้าคนที่ใช้ M1 Pro และ M1 Max แล้วเรา Monitor CPU ของเราดู เราจะพบว่า 2 Efficiency Core ที่ Apple ให้มา หลาย ๆ ครั้ง มันไม่เพียงพอกับการทำงานทั่ว ๆ ไปเท่าไหร่เลย แค่เราเปิด Web Browser ก็น่าจะทำให้ Efficiency Core โดดไป เกิน 70% ได้แล้ว เมื่อมันรันจนมัน Utilise ไม่ได้ Scheduler มันก็ต้องจัดสรรงานบางส่วนที่หนักที่สุดไปให้ Performance Core จัดการ กลายเป็นว่า หลาย ๆ งานมันไปทำงานอยู่บน Performance Core ซะเยอะ ทำให้มันกินไฟมากขึ้น

การที่ Apple งอก Efficiency Core ออกมาเพิ่ม 2 Core มันก็เป็นการเพิ่มช่องว่าง เพื่อให้ Application ที่ไม่ได้ต้องการ การทำงานหนัก มันมาทำงานได้มากขึ้น ลดโอกาสที่ Performance Core จะลุกขึ้นมาทำงานได้ ในเวลาที่เราใช้งานไม่หนัก นั่นส่งผลถึงเรื่องของการใช้พลังงาน และระยะเวลาในการใช้งาน Battery ได้แน่ ๆ เท่าไหร่ นั่นอาจจะต้องรอดูของจริงอีกที

M2 Pro ชนะ M1 Max ใน CPU Performance

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน
Source : https://www.macrumors.com/2023/01/19/mac-mini-m2-pro-geekbench-scores/

เอาจริง ๆ นะ เราเห็นข่าวออกแล้ว น่าจะเป็นการตีข่าวเพื่อให้มันน่าอ่านไปงั้นแหละ เราขอแยกคะแนนออกมาเป็น Single Thread และ Multi-thread Performance ละกัน

ต้องเริ่มจากว่า CPU ของ M1 Pro และ Max คือตัวเดียวกัน เท่ากันหมด ดังนั้น ถ้า CPU M2 Pro ชนะ มันก็จะชนะทั้ง M1 Pro และ Max หมดนะ เลยบอกว่า อย่าไปบ้าจี้ตามข่าวเยอะอะไรขนาดนั้น

ในระดับ Single Thread ดูจากผลคะแนน ถามว่า M2 Pro และ Max เร็วกว่า M1 Pro และ Max มั้ย ก็ต้องบอกว่า จริงแน่นอน แต่คะแนนนั้น อาจจะไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ จนทำให้เห็นผลกับการใช้งานที่รู้สึกได้ แบบ รู้สึกได้จริง ๆ ขนาดนั้นเท่าไหร่มั้งนะ เราเดาว่า น่าจะมีการปรับ Clock Speed ให้สูงขึ้นอีกหน่อย ทำให้มันได้ Performance ที่ดีขึ้น

อีกเหตุผลที่น่าจะทำให้มันเร็วขึ้น คือ การเพิ่ม L2 Cache เข้าไป ต้องเข้าใจก่อนว่า Apple Silicon ที่ออกมาแต่ละตัว มันมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีมาก ๆ จนบางครั้ง เราว่า Memory มันทำงานไม่ทัน การเพิ่ม L2 Cache เข้าไปอีก ก็อาจจะทำให้ลดเวลาในการที่ CPU ต้องรอ ส่งผลเรื่องของ Performance ที่สูงขึ้นได้อีกเหมือนกัน การทำเพิ่มขนาดของ CPU Cache แบบนี้ Apple ไม่ได้เป็นเจ้าแรก แต่ AMD พิสูจน์มาแล้ว ว่ามัน Works! จริง ๆ

ส่วนในระดับ Multi-thread คือ ทุกคนตกใจอะไรกัน ก็มันเล่นมี Core งอกออกมาอีก 2 ดังนั้น ถ้าเราทดสอบแบบ Multi-thread ยังไง ๆ M2 Pro และ Max ก็ต้องสูงกว่า M1 Pro และ Max อยู่แล้ว ยิ่งบอกว่า Single Thread มันเร็วขึ้นด้วย ก็ยิ่งไปดันให้ Multi-thread สูงขึ้นไปอีก

Mac Mini M2 Pro Fill-in the GAP

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน

เมื่อตอนที่ Mac Studio ออกมา เราเคยนั่งคุยกับเพื่อนนะว่า จริง ๆ มันจะมีอยู่ Gap นึงที่ Apple ยังไม่ได้ Fill-in เข้าไปด้วย คือ ในตัวคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของ Apple จริง ๆ มันก็จะมี Mac Mini ที่สำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป เพราะมันลงมาด้วย M1 และ Mac Studio สำหรับงานระดับ Professional มาก ๆ มาด้วย M1 Max และ M1 Ultra แล้วก็จะมี All-in-one คือ iMac

ทำให้มันจะเหลือพื้นที่ตรงกลางที่ เราก็ทำงานเยอะนะ แต่เราก็ไม่ได้ต้องการ Performance ขนาด M1 Max เราก็ไม่น่าจะอยากจ่ายอะไรขนาดนั้น เป็นตรงกลางที่เราว่า มันไม่เล็กเลยนะ เลยเคยคุยกับเพื่อนอยู่ว่า ถ้า Mac Mini ออก M1 Pro มานะ มีคนกรี๊ดแน่ ๆ

สุดท้าย มาใน Mac Mini Generation ใหม่ที่ใช้ SoC M2 ก็มี Option มาให้เราปรับแต่งเป็น M2 Pro แล้ว สักที นอกจาก Gap ที่ Apple Filled มาเพิ่มแล้ว เรื่องการทำราคา เราบอกเลยว่า มันน่ารักมาก ๆ เริ่มต้นของ Mac Mini คือ 20k บาทเท่านั้น เหย ถ้าเราไปหาเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ และ ความสามารถขนาดนั้น เราไม่รู้จะหาจากไหนเลยนะ มันไม่มีเลย กลายเป็นว่า ถูก และ แรง ในเวลาเดียวกัน เลยทำให้เรามองว่า เป็นเครื่อง Mac ที่น่าเล่นที่สุดตัวนึง ณ เวลานี้เลยก็ว่าได้

Macbook Pro ไฟ Spotlight สาด สาดอะไรก่อน

M2 Pro และ M2 Max ทำไมเป็น Chip ที่น่าสนใจ และไม่น่าสนใจ ในเวลาเดียวกัน

สำหรับ SoC อย่าง M2 Pro และ Max ออกมา แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่จะได้ใช้ก่อน ก็หนีไม่พ้น Macbook Pro ทั้งหลายแน่นอน นั่นก็คือ Macbook Pro 14 และ 16 นิ้ว

ในแง่ของตัวเครื่องนอกจากที่จะได้ SoC ตัวใหม่แล้ว ที่เหลือ เราว่า ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลย ตามฉบับ Apple ในสมัยใหม่เน้นการผลิตตัวเครื่องแบบเดียวใช้ยาวๆ  แต่เพิ่มจุดเล็ก ๆ แทน ซึ่งรอบนี้ก็จะเป็นการรองรับ WiFi 6E และ HDMI 2.1

ในส่วนของ WiFi 6E ส่วนตัวเราทำงาน เราก็ไม่ได้ต้องการ WiFi มาตรฐานสูงขนาดนั้น เพราะอุปกรณ์ยังรองรับน้อย ถ้าบอกว่า เผื่ออนาคตมันก็ได้แหละ แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราต้องการ Bandwidth และความเสถียรในการเชื่อมต่อมาก ๆ เราจะเลือกเชื่อมต่อผ่านสาย Ethernet หรือ Fibre Optics ดีกว่าเยอะนะ ยิ่งเราทำงานในระดับ Professional แล้วด้วย การหาอุปกรณ์พวกนี้มา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เอางานเสร็จได้มันจบ

และ HDMI 2.1 ก็ต้องเรียกว่า มึง มา สักที มันไม่ได้เป็นของใหม่อะไรเลย จริง ๆ มันเป็นของที่ควรจะใส่มาตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าแล้ว เรียกว่า ถ้าไม่ด่า มันก็ไม่เอามาใส่แหละ ทำให้รองรับ High Refresh Rate บนความละเอียด 4K และ รองรับหน้าจอแบบ 8K ได้สักที

ทำให้โดยรวมแล้ว Macbook Pro ในแง่ของการใช้งานจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เท่าไหร่เลย นอกจาก WiFi 6E ที่ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ และ HDMI 2.1 ที่มึงควรใส่มาตั้งนานแล้ว เลยทำให้ก็เซง ๆ พอสมควร แต่เอาเถอะ มันก็สไตล์ Apple อะแหละ สุดท้ายพวกมรึงก็จ่ายมันอยู่ดี

แล้วแบบนี้ Macbook Pro น่าซื้อมั้ย

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจธรรมชาติ ของเครื่องที่เราซื้อมาทำงาน มันต่างจากเครื่องที่เราใช้งานเองตามบ้านมาก ๆ นะ เพราะพวกนี้ มันมีการคืนทุน ราคามันไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ถ้าอยู่ใน Range ที่จ่ายไหว เราเลยมองว่า คนที่คิดว่า มันแพง คือ คุณไม่ใช่ ลูกค้าของเครื่องใน Segment นี้ละ

เช่น ถ้าเราจะเอา M2 Pro และ Max มาทำงานเอกสาร อะไรแบบนั้น เราว่ามันก็ไม่ใช่เหมือนกัน เมื่อเราเอาไปเทียบกับเครื่องที่ใช้งานมันก็จะดูแพงไง แต่คนที่ใช้งานจริง ๆ มันจะมองอีกแบบนึงเลย

เมื่อเรามาดูที่ การ Upgrade ใหญ่ ๆ ของ Macbook Pro ตัวนี้เลยคือ การเปลี่ยน SoC เป็น M2 Pro และ Max ซึ่ง Apple เคลมว่า มันเร็วขึ้น 20% บน CPU และ 30% บน GPU นั่นส่งผลไปที่ เวลา ในการทำงานที่สั้นลง มีเวลาไปทำอย่างอื่นเยอะขึ้น ทำให้เรามองว่า ถ้าใครที่ยังไม่เคยใช้ Apple Silicon และ มองหาเครื่องสำหรับทำงาน เครื่องใหม่แล้ว เราว่า มันก็ยังเป็นเครื่องที่น่าซื้อมาทำงานอยู่ดี ถึงการ Upgrade มันจะสั้น แต่มันไป Upgrade ในส่วนที่สำคัญจริง ๆ คือ การซื้อเวลาอยู่ดี

แต่สำหรับคนที่มี M1 Pro และ Max อยู่แล้ว ถ้าถามเรา เราว่า ก็ยังไม่น่าไปอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเราบอกว่า เห้ย เรื่องเวลา ลดลงไป 20-30% มันเรื่องใหญ่มาก ๆ แปบเดียวมันคืนทุนแล้ว เราว่า ก็เอาสิ มันก็เป็นการลงทุนที่น่าสนใจนะ

สรุป

M2 Pro และ M2 Max เป็น Apple Silicon ใน Generation ที่ 2 ซึ่งมีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเข้ามาทั้งในส่วนของ CPU ซึ่งมีการเพิ่ม Efficiency Core เข้ามาอีก 2 Core อาจจะทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น และ GPU ก็ยังมีการเพิ่ม GPU Core เข้าไป สำหรับสายที่ใช้งาน Memory เยอะ ๆ Unified Memory ก็สามารถอัดเข้าไปได้ถึง 94 GB ไปเลย เรียกว่า เป็น Powerhouse สำหรับการทำงานได้เป็นอย่างดี และยังสามารถพกพาไปใช้งานข้างนอกได้อีก Ultimate Powerhouse ไปเลยมั้ยละ

Read Next...

Apple M4 รุ่นไหนเหมาะกับใคร

Apple M4 รุ่นไหนเหมาะกับใคร

หลังจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน Apple ออก Mac รัว ๆ ตั้งแต่ Mac Mini, iMac และ Macbook Pro ที่ใช้ M4 กันไปแล้ว มีหลายคนถามเราเข้ามาว่า เราควรจะเลือก M4 ตัวไหนดีถึงจะเหมาะกับเรา...

Cloudflare Access ของดีขนาดนี้ ฟรีได้ไงวะ

Cloudflare Access ของดีขนาดนี้ ฟรีได้ไงวะ

จากตอนก่อน เราเล่าเรื่องการ Host Website จากบ้านของเราอย่างปลอดภัยด้วย Cloudflare Tunnel ไปแล้ว แต่ Product ด้าน Zero-Trust ของนางยังไม่หมด วันนี้เราจะมาเล่าอีกหนึ่งขาที่จะช่วยปกป้อง Infrastructure และ Application ต่าง ๆ ของเราด้วย Cloudflare Access กัน...

Mainframe Computer คืออะไร ? มันยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ?

Mainframe Computer คืออะไร ? มันยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ?

ทุกคนเคยได้ยินคำว่า Mainframe Computer กันมั้ย เคยสงสัยกันมั้ยว่า มันต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันทั่ว ๆ ไปอย่างไรละ และ Mainframe ยังจำเป็นอยู่มั้ย มันได้ตายจากโลกนี้ไปหรือยัง วันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลย...

Infrastructure as Code คืออะไร ทำไมถึงสำคัญมากในปัจจุบัน

Infrastructure as Code คืออะไร ทำไมถึงสำคัญมากในปัจจุบัน

เคยมั้ยเวลา Deploy โปรแกรมสักตัว เราจะต้องมานั่ง Provision Infrastructure ไหนจะ VM และ Settings อื่น ๆ อีกมากมาย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือบางอย่างที่จะ Automate งานที่น่าเบื่อเหล่านี้ออกไป และลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Infrastructure as Code กัน...