By Arnon Puitrakul - 13 มีนาคม 2025
เมื่อหลายวันก่อน เรามีโอกาสเข้าไปเล่น Application ที่ใช้กับหูฟังของ Sony ลอง ๆ กด Equaliser เล่น ๆ ดู ปรากฏว่า มันทำให้เสียงดีขึ้น จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่าเจ้า Equaliser มันทำงานยังไง ทำไมมันถึงทำให้เสียงดีขึ้นและ เราควรจะปรับอย่างไร
ก่อนเราจะไปเข้าใจเรื่องของ Equaliser เราจะต้องมาทำความเข้าใจคำ 2 คำก่อนคือ Frequency และ Frequency Response
Frequency หรือ ความถี่ ถ้าเอานิยามเลยคือ มันคือค่าที่บอกจำนวน Cycle ต่อ 1 วินาที เช่น วัตถุสั่น 1 Hz คือ ใน 1 วินาที วัตถุนั้นจะขยับทั้งหมด 1 Cycle ถ้วน และถ้าเราเติม Prefix เข้าไปอย่าง 1 kHz คือ ใน 1 วินาที วัตถุนั้นจะสั่นทั้งหมด 1,000 ครั้งด้วยกัน
หูของมนุษย์จะสามารถรับเสียงได้ที่ความถี่ราว ๆ 20 Hz - 20 kHz ด้วยกัน เสียงที่อยู่นอกช่วงนี้ มนุษย์เราจะไม่ได้ยิน แต่ก็มีสัตว์บางชนิดที่ได้ยิน เช่น นกหวีดสุนัขที่เมื่อเราเป่าแล้วเราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่สุนัขได้ยิน เพราะนกหวีดนี้ มันไม่ได้สร้างเสียงที่อยู่ในช่วงที่คนจะได้ยิน แต่สุนัขมันได้ยินนั่นเอง
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เสียงที่อยู่ในย่านความถี่ต่ำ ๆ สิ่งที่เราได้ยินจะเป็นเหมือนเสียงเบสต่ำ ๆ และเสียงความถี่สูง ก็จะเป็นพวกเสียงวี๊ด ๆ ที่ภาษาบ้าน ๆ เราเรียกว่าเสียงสูงนั่นเอง แต่ความสนุกของมันคือ ถึงแม้ว่าเสียงนั้นมันอาจจะต่ำหรือสูงเกินว่าเราจะได้ยิน ไม่ได้แปลว่า เราจะไม่รู้สึกเลย เช่น เสียงที่มีความถี่ต่ำมาก ๆ เช่นระดับ 5 Hz ที่มนุษย์ไม่ได้ยิน แต่ถ้ามันถูกเปล่งออกมาดังพอ มันจะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้อากาศ ทำให้เราที่อยู่รอบ ๆ อากาศนั้นรู้สึกได้ หรือก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาเราเข้าไปดูหนังในโรงหนังแล้วรู้สึกว่า เหมือนตัวมันสั่นเวลาเจอฉากที่มันมีเสียงต่ำมาก ๆ นั่นเอง
การที่ลำโพงจะสามารถเปร่งเสียงได้ทุกย่านความถี่เท่า ๆ นั้น มันเป็นได้เพียงแค่ลำโพงในอุดมคติเท่านั้น ลำโพงบางตัวอาจจะเปล่งเสียงสูงได้เก่งกว่า เสียงต่ำได้แย่กว่า เราสามารถวัดความสามารถในการเปล่งเสียงในแต่ละย่านความถี่ของลำโพงได้โดยการใช้กราฟ Frequency Response
มันเป็นกราฟที่แกน X จะเป็น ย่านความถี่ตั้งแต่ต่ำไปสูง และแกน Y จะเป็น Amplitude ที่เปลี่ยนไปของเสียงเมื่อเทียบกับเสียงที่เราให้ลำโพงเปล่งออกมาในตอนที่ทดสอบ ซึ่งถ้าเป็นลำโพงในอุดมคติ มันควรที่จะเปล่งออกมาได้เหมือนกับที่เราตั้งใจไว้ 100 % ดังนั้น กราฟของมันก็จะต้องเป็นเส้นตรงที่ 0 dB นั่นเอง
แต่อย่างที่บอกว่า ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เช่นกราฟด้านบน เป็นกราฟของหูฟังตัวนึง เราจะเห็นได้ว่า ช่วงย่านความถี่ต่ำ ๆ มันทำได้เบากว่าที่ควรจะเป็นไปนิดหน่อยแล้วค่อย ๆ ดันขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงช่วงความถี่สูง ๆ ที่มันจะค่อย ๆ เบากว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะมาก แปลว่าหูฟังตัวนี้ มันทำเสียงย่านต่ำถึงกลางได้ดีมาก ๆ แต่ถ้าเสียงสูงเมื่อไหร่ มันอาจจะเปล่งออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่
ซึ่ง เราไม่ได้บอกนะว่า หูฟัง หรือลำโพงที่ทำ Frequency Response ได้ตรงตามลำโพงในอุดมคติแล้วจะดีนะ เพราะเพลงแต่ละแนวมันก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน หูฟังและลำโพงแต่ละตัวจึงมี Character ที่แตกต่างกัน และ ทำให้มันเหมาะกับการฟังเพลงคนละแนวกันได้เลย แต่ลำโพงหรือหูฟังที่เราคิดว่า มันควรจะทำ Frequency Response ได้แม่นยำที่สุด น่าจะเป็นกลุ่มของพวก Monitoring ทั้งหลายที่เราใช้งานกันใน Studio แต่สำหรับกลุ่มที่เราใช้งานกันตามบ้าน มันน่าจะต้องจูนให้ออกรสออกชาติเพื่ออรรถรสในการใช้งานสักหน่อย มันถึงจะสนุก จับใจคนฟังทั่ว ๆ ไปได้
แล้วถ้าเกิดว่า เราอยากจะจูนหูฟังให้มันมี Frequency Response ที่เราต้องการละ เราก็ไม่น่าจะไปแกะหูฟังแล้วเปลี่ยน Driver หรือจูน Driver ด้วยการเปลี่ยนวัสดุอะไรกันขนาดนั้นหรอกนะ มันเป็นขั้นตอนที่น่าปวดหัว และน่าจะเหมาะกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มันจะมีวิธีการอื่นมั้ยที่เราสามารถทำได้
ลองคิดขำ ๆ ถ้าเราฟังเสียงแล้วไม่ได้ยิน สิ่งที่เราจะทำก็คือ การเพิ่มเสียง กลับกัน ถ้าเรารู้สึกว่ามันดังเกินไป เราก็แค่ลดเสียงลงใช่มะ หลักการเดียวกันเลย แค่ว่า ถ้าเรารู้สึกว่า ย่านเสียงไหนที่มันดังไปเราก็แค่ลดลง และถ้าย่านไหนที่เรารู้สึกว่ามันเบา เราก็แค่ปรับให้มันดังขึ้นเท่านั้นเอง นี่แหละ คือหลักการของ Equaliser เลยแหละ
Equaliser มันมีให้เราใช้งานได้หลายรูปแบบมาก ๆ แต่เอาง่าย ๆ หากเราลองเปิดเมนู Equaliser ที่อยู่ในพวกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมา มันมักจะขึ้นหน้าต่างแบบด้านบน มี Slider อยู่เต็มไปหมด บางโปรแกรมคือ มี 10 กว่าอัน บางตัวมี 5 อัน ตัวอย่างของ Apple Music มีให้เราปรับได้ 10 อัน โดยแต่ละอัน เราจะเห็นว่ามันมีตัวเลขกำกับอยู่คือ ความถี่ เช่น แถวแรกคือ 32 Hz เมื่อเราดันขึ้น มันจะทำให้เสียงที่ประมาณ 32 Hz มันดังขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่าง Sony WF-1000XM4 ของเราสามารถแก้ไข Equaliser ผ่าน App ของมันได้ แต่ Sony ฉลาดกว่านั้นอีกคือ แทนที่เราจะต้องค่อย ๆ ลองปรับ Equaliser ไปเรื่อย ๆ กว่าจะหาเจอมันยาก และ Preset ที่ใส่มาบางทีมันเข้าใจยากไปอีก Sony ทำให้เข้าใจง่ายกว่านั้นอีก ด้วยการทำ UI ให้เราทดลองฟังเพลง แล้วไล่ Preset ไปเรื่อย ๆ ว่าเราชอบแบบไหนแล้วเลือกไม่ต้องบอกชื่ออะไรทั้งสิ้น ชอบอันไหนเลือกอันนั้นเลย
อ่านมาขนาดนี้แล้ว หลาย ๆ คนก็น่าจะอยากเริ่มไปปรับ Equaliser ให้กับหูฟังและลำโพงของเราแล้ว แต่อาจจะยังสงสัยว่า แล้วเราจะไปปรับอะไรตรงไหนดีละ จะให้ลองไปเรื่อย ๆ ทั้งหมด ก็ไม่น่าจะเหมาะเท่าไหร่
เป้าหมายของการปรับ Equaliser นั้นขึ้นกับการใช้งานของเรา โดยเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทการใช้งานใหญ่ ๆ คือ การต้องการความเที่ยงตรงของเสียงสูงที่สุด เช่นการนำมาใช้เป็น หูฟังหรือลำโพง Monitor ในกรณีนี้ เป้าหมายของการปรับคือ การทำให้ Frequency Response ใกล้เคียงกับค่าในอุดมคติมากที่สุด ซึ่งเสียงที่ได้ออกมามันก็จะแห้ง ๆ กัง ๆ ไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ และอีกกรณีสำหรับการใช้งานทั่วไป เน้นออกรสชาติตามความต้องการ อันนี้มันจะขึ้นกับปัจเจกละว่า เราอยากให้หูฟังเรามี Character ไปทางไหน เหมือนกับที่คนเราชอบรสหวาน รสเค็มไม่เท่ากัน
หากเป็นในกรณีแรก เราก็แค่เอา Frequency Response ของหูฟังตัวนั้น ๆ มากางดูกันเลยว่า ย่านไหนมันตกไป หรือเยอะเกิน เราก็ดันหรือลดย่านนั้น ๆ ลงไปแล้ววัด Frequency Response ใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะได้ค่าเสียงที่ใกล้เคียงค่าในอุดมคติมากที่สุดก็เป็นอันจบ (แต่ Process จริง ๆ ยุ่งยากกว่านี้นะ อันนี้คือพยายามพูดสั้น ๆ ให้เข้าใจง่าย)
แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป เน้นไปที่ความรู้สึกของเราละว่า เราชอบแบบไหน ก่อนอื่น เราจะต้องมาดูกันก่อนว่า ณ ตอนนี้หูฟัง หรือลำโพงของเรามันขาดย่านไหนอยู่ โดยทั่ว ๆ ไปให้เราคิดเป็นสามย่านง่าย ๆ ก็ได้คือ Bass, Mid และ Treble โดย Bass เรากำลังพูดถึงย่านต่ำมาก ๆ เช่นพวกเสียงกระเดือกกลอง และพวกเครื่องเบสทั้งหลาย ส่วนเสียง Mid ส่วนใหญ่เราจะพูดถึงพวกเสียงร้องซะเยอะ ฝั่ง Treble จะพูดถึงย่านเสียงสูง ๆ หน่อย เช่นเสียงไวโอลิน และเสียงร้องสูง ๆ ซะเยอะ
จากนั้น ให้เราลองเปิด Playlist ของเพลงที่เราชอบฟังบ่อย ๆ และลองดูว่า ตอนนี้มันขาดย่านไหนรสแบบไหนอยู่ ให้เราลองค่อย ๆ ปรับย่านที่เราคิดว่ามันขาดเพิ่มขึ้นไปก่อน ถ้าเราปรับถูกย่านเราจะรู้สึกว่าย่านนั้น ๆ มันจะมีความเยอะขึ้น แน่นขึ้นมา เช่นเราปรับช่วง Bass ขึ้นไปเราอาจจะได้ยินเสียงทุ่ม ๆ ลึก ๆ ขึ้นมามากขึ้น แต่มันจะนำไปสู่ปัญหาใหม่ว่าเสียงทุ้มที่เพิ่มเข้ามา มันอาจจะไปทำให้เสียงร้อง หรือเสียงสูง Drop ลงไปได้ เราก็ค่อย ๆ ปรับเสียงย่านต่าง ๆ เราก็อาจจะต้องลองปรับย่านกลาง ๆ ให้สูงขึ้นมั้ย หรืออาจจะยอมลดย่านต่ำ ๆ ลงมานิดหน่อย ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็จะพอได้ Equaliser ที่ตรงใจเรา การปรับแต่ละย่านขึ้นลง มันก็เหมือนกับการใส่น้ำปลาเพิ่มเค็ม ใส่น้ำตาลเพิ่มหวาน การที่มันจะถูกปากเรามันก็ต้องมีสมดุลของรสชาติที่เราถูกใจ เสียงก็เหมือนกันเป๊ะ ๆ
Equaliser เป็นเครื่องมือนึงที่ทำให้เราสามารถปรับตั้งค่าการทำงานของหูฟังหรือลำโพงของเราได้ เพื่อให้เราสามารถปรับ Character ให้ตรงกับความต้องการของเราได้ เพื่อให้เราฟังเพลงได้อรรถรสมากขึ้น แต่ถามว่า มันทำให้หูฟังราคาทั่ว ๆ กลายเป็นหูฟังเคลือบทองเลยมั้ย คำตอบก็คือยังไม่ใช่ เราก็ยังคงต้องการ Driver ที่มีคุณภาพให้เสียงที่เที่ยงตรงในแต่ละย่านได้อยู่ดี แนะนำว่า หากใครซื้อหูฟังหรือลำโพงมาแล้ว รู้สึกว่า มันยังไม่ถูกจริตมากขนาดนั้น ให้ลองปรับ EQ ดู เผื่อจะดีขึ้น เผลอ ๆ อาจจะเหมือนได้หูฟังใหม่เลย
เมื่อหลายวันก่อน เรามีโอกาสเข้าไปเล่น Application ที่ใช้กับหูฟังของ Sony ลอง ๆ กด Equaliser เล่น ๆ ดู ปรากฏว่า มันทำให้เสียงดีขึ้น จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่าเจ้า Equaliser มันทำงานยังไง ทำไมมันถึงทำให้เสียงดีขึ้นและ เราควรจะปรับอย่างไร...
มีคนถามเข้ามาเยอะอยู่เกี่ยวกับ การใช้งาน Linux ว่า มันดีตรงไหน ทำไมถึงมีการใช้งานเยอะมาก ๆ และ ถ้าเราอยากจะเริ่มใช้งานบ้าง เราจะต้องทำรู้อะไร วันนี้เราจะมาเล่าคร่าว ๆ ละกัน ไว้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนที่สนใจ...
Homebrew เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เราชอบมาก ๆ มันทำให้เราสามารถติดตั้งโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ได้เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แต่วันนี้ เราจะมาแนะนำ 5 Homebrew Package ที่เรารักส์และใช้งานบ่อยมาก ๆ กันว่าจะมีตัวไหนกันบ้าง...
การสำรองข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ อารมณ์มันเหมือนกับเราซื้อประกันที่เราก็ไม่คาดหวังว่าเราจะได้ใช้มันหรอก แต่ถ้าวันที่เราจำเป็นจะต้องใช้การมีมันย่อมดีกว่าแน่นอน ปัญหาคือเรามีวิธีไหนกันบ้างละที่สามารถสำรองข้อมูลได้ วันนี้เราหยิบยกวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้านมานำเสนอกัน...