Technology

วิธีการเลือก Power Bank ใหม่เหมาะกับตัวเรา

By Arnon Puitrakul - 27 ธันวาคม 2018

วิธีการเลือก Power Bank ใหม่เหมาะกับตัวเรา

ช่วงนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เราว่าหลาย ๆ คนก็มีแพลนไปเที่ยวกันแล้วละ สิ่งนึงที่เราว่าขาดไม่ได้เลยสำหรับการเดินทางในปัจจุบันคือ Power Bank หรือแบตเตอรี่สำรองนั่นเอง วันนี้เราเลย จะพามาดูกันว่า ถ้าเราจะซื้อแบตเตอรี่สำรองสักก่อนเราจะต้องดูเรื่องอะไรบ้าง

ขนาด

Power Bank Size Compare
ทั้งคู่นี้มีขนาด 1000 mAh เท่ากันเลย แต่รูปร่างจะต่างกัน อันซ้ายจะเป็นแท่ง ๆ ในขณะที่อันขวาจะเป็นก้อน ๆ และสังเกตว่า ทั้งหมดที่เราใช้จะทำจาก Aluminium หมดเพื่อระบายความร้อนนั่นเอง

ขนาดถือเป็นเรื่องสำคัญเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเราล่อล่อซื้อที่อันที่มีความจุเยอะ ๆ มา แต่ไม่สามารถพกได้ แล้วจะซื้อมาทำไมกันละนะ

ดังนั้นการเลือก ก็ต้องดูก่อนว่า ตอนที่เราใช้เราจะเอามันใส่กระเป๋าแบบไหน ถ้าเป็นเป้ก็อาจจะอันใหญ่หน่อยได้ แต่ถ้าเป็นกระเป๋าถือแบบคุณผู้หญิงก็อาจจะต้องเลือกอันที่เบาและเล็กหน่อยนั่นเอง

หลัก ๆ แล้ว เวลาเราไปเดินเลือกซื้อถ้าความจุใกล้ ๆ กันมันจะมีทั้งแบบที่เน้นแบน กับเน้นขนาดเล็กแต่หนาด้วยนะ แต่อาจจะต่างยี่ห้ออะไรแบบนั้น ซึ่งเราว่า ถ้าแนะนำเราว่าแบบแบน ๆ ดีกว่า เพราะเวลาเราใช้งานมันย่อมเกิดความร้อนขึ้นมาแน่นอน ถ้าเราใช้แบบแบนมันจะทำให้ตัวแบตเตอรี่ระบายความร้อนได้ดีกว่าแบบกลม ๆ หรือหนา ๆ เพราะพื้นที่ผิวสำหรับระบายความร้อนมันมากกว่านั่นเอง

ไหน ๆ ก็พูดเรื่อง ความร้อน แล้ว ก็พูดถึงวัสดุไปพลาง ๆ หน่อยละกัน เราแนะนำให้พยายามซื้อตัวที่ Body ทำจากโลหะจะดีกว่าในเรื่องของการระบายความร้อน โดยเฉพาะก้อนที่มันรองรับความดันไฟสูง ๆ จะมีความร้อนมากกว่า ถ้าผิวเป็นโลหะที่นำความร้อนได้ มันก็จะเป็นตัวช่วยระบายความร้อนได้อย่างดีเลยละ

ความจุ

เรื่องของความจุ ก็ขึ้นกับอุปกรณ์ที่เรามีด้วย เช่น เราบอกว่า เราต้องเดินทางไกล เราก็อาจจะเลือกอันที่มีความจุสูงสักนิดนึง เพื่อให้อุปกรณ์ของเราอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราเดินทางโดยเครื่องบิน ความจุอาจจะมีจำกัดนิดนึง เพราะตามกฏการบินมีการบอกเรื่องของแบตเตอรี่สำรองอยู่ว่าแค่ไหนเอาขึ้นได้ หรือต้องมีการจำจัดอย่างไรบ้าง

  • ความจุมากกว่า 32000 mAh ขึ้นเครื่องได้
  • ความจุระหว่าง 20000 ถึง 32000 mAh เอาขึ้นได้ไม่เกิน 2 ลูก
  • ต่ำกว่า 20000 เชิญตามสบาย

ทำให้เราแนะนำว่า ถ้าจำเป็นต้องใช้ไฟเป็นจำนวนมาก ให้เราต่ำกว่า 20000 mAh ขึ้นไปหลาย ๆ ลูก แล้วใช้สลับไปหลาย ๆ ลูกจะดีกว่า การเอาลูกเดียวล่อไป 30000 mAh ขึ้นไป เพราะถ้าเราเอาลูกเล็ก ๆ ไปหลายลูกทำให้เรามีอิสระในการชาร์จแต่ละอุปกรณ์มากขึ้น ถ้าเอาไปลูกเดียวเดี๋ยวก็เจอปัญหาแบบ รูไม่พอบ้างแหละ กำลังไฟที่จ่ายไม่พอบ้างแหละ ง่ายสุดก็คือ เอาไปให้เท่ากับอุปกรณ์ที่เราใช้เลย ส่วนขนาดก็พิจารณาเอาว่า เราต้องใช้เท่าไหร่กันแน่

จริง ๆ ถ้าใช้วิธีเราง่าย ๆ เลยนะ เราจะไปดูว่า แต่ละอุปกรณ์ที่เราจะเอาไป แบตเตอรี่ของมันความจุเท่าไหร่ และเราต้องการใช้มันกี่รอบของการชาร์จ ซึ่งดูจากว่า วันนึงปกติเราต้องชาร์จมันกี่รอบ เช่น เราบอกว่า Samsung Galaxy Note 9 เรามีแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh และเราจะขึ้นเครื่อง และจะไม่ได้ชาร์จอีกเลยทั้งวัน จนมืดของที่ปลายทาง และปกติเราก็ใช้ได้ทั้งวันอยู่แล้ว ทำให้ความจุขั้นต่ำ ของ Power Bank สำหรับโทรศัพท์เราจะอยู่ที่ 5000 mAh แต่ เราอาจจะบอกว่า ตอนขึ้นเครื่องเราใช้มันฟังเพลงและดูหนัง ดังนั้นเราอาจจะเผื่อไปสัก 10000 mAh ก็น่าจะเหลือ ๆ เลยละ แถมยังไม่ถึง 20000 mAh ก็เอาขึ้นเครื่องแบบชิว ๆ ได้เลย

กับอุปกรณ์อื่นเราจะทำแบบนี้เหมือนกัน เช่น iPad Pro เราก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน ทำให้เวลาเราไปเที่ยวเราก็จะพก Power Bank 2 ลูกเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้เรามั่นใจว่า เราจะมีอะไรเล่นตลอดทาง

Port

อุปกรณ์ต่างกันก็ใช้ Port การเชื่อมต่อที่ไม่เหมือนกัน บางเครื่องอาจจะใช้ Micro-USB บางเครื่องอาจจะใช้ USB-C หรือของ Apple ก็อาจจะใช้ Lighting Port อะไรก็ว่ากันไป

สาเหตุที่ต้องพูดเรื่องนี้ด้วยเพราะว่า Power Bank บางแบบมันจะมีสายมาให้ในตัวเลย แบบถอดไม่ได้ ทำให้เวลาเราซื้อก็อาจจะต้องดูนิดนึงว่าเราจะเอาไปเสียบกับอะไร และมีหัวให้มั้ย บางทีมันอาจจะมาในรูปแบบของหัวแปลงด้วยนะ อันนี้ต้องดูให้ดี เพราะถ้าหายนี่น่าจะลำบากไม่ใช่น้อย นอกจากกลัวเรื่องหายแล้วยังมีเรื่องของความเร็วในการชาร์จด้วย เดี๋ยวเราจะพูดในหัวข้อต่อไปนี่แหละ

สำหรับใครที่พกหลาย ๆ อันแบบเรา และต้องการอิสระในการใช้งานมาก ๆ หน่อย เราว่าพยายามซื้ออันที่มีหัวแบบเดียวกันให้หมด เช่นหัวออกให้เป็น USB-C อย่างเดียวอะไรแบบนั้น มันจะสะดวกกว่าเวลาเราพกสายชาร์จไปมา ลดปริมาณสายที่ต้องพกด้วย

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้ Samsung Galaxy Note 9 และ iPad Pro 10.5 inch ส่วนสายที่เรามีเป็น USB-C to USB-C และ USB-C to Lighting แต่ Power Bank หัวออกของ Power Bank ของเราอันนึงเป็น USB-A และอีกอันเป็น USB-C มันก็แย่ถูกมั้ย เพราะเราต้องพกสายที่ทั้งเป็น USB-C และ USB-A พร้อมกัน ก็เท่ากับว่า เราต้องพกตั้ง 2 ชุดโดยไม่จำเป็นเลย

Mi Power Bank Pro Charger
จะเห็นว่า หัวแปลงมันอยู่ติดกับสายเลยทำให้ไม่หาย เราชอบมากอันนี้

หรือถ้าใครคิดว่า จะใช้หัวแปลง เราบอกเลยนะว่า เราไม่แนะนำอย่างแรง เพราะมันไม่สะดวกเอาซะเลย เว้นแต่หัวแปลงที่มันมากับ Power Bank พวกนี้มันจะดีหน่อย ก็เลยใช้งาน ตัวอย่างเช่นสายพร้อมหัวแปลงที่มาพร้อมกับ Power Bank ของเรามันจะเป็นหัว Micro-USB มา แล้วมันก็มีหัว
USB-C เสียบทับมาให้ แน่นหนาอย่างดี อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของหัวแปลง แต่ถ้าเราไปซื้อมาเสียบเองบางทีมันก็จะไม่แน่น ใช้ ๆ เดิน ๆ ไปมันก็หลุดไปมา รำคาญมาก ๆ

ถ้าให้เราแนะนำ ก็ให้ซื้อแบบที่มันไม่มีสายมาให้ แบบให้เราเสียบเองอะ จะดีกว่าเยอะเลย ทำให้เรามั่นใจได้ด้วยว่า สายที่เราเอามามันจะเป็นสายที่ใช้ได้แน่ ๆ เพราะเราใช้อยู่ก่อนแล้ว และยังเพิ่มความอิสระในการใช้งานด้วย ถ้าเกิดเราต้องการเอามันไปชาาร์จกับอุปกรณ์หลาย ๆ แบบ

การชาร์จ

นอกจากเรื่องของ Port การชาร์จมันยังมีเรื่องของความเร็วในการชาร์จอีกด้วย เพราะหัวแต่ละหัวมันมีกำหนดปริมาณไฟต่างกันอยู่ อย่างเช่น USB-A ที่หัวใหญ่ ๆ ถ้้าเป็น USB 3.1 ก็จะส่งไฟสูงสุดได้แค่ 3A, 15 Watts เท่านั้นเอง ซึ่งโทรศัพท์ธรรมดาอาจจะพอแล้วแหละ แต่ถ้าเอาไปชาร์จ Laptop ก็ไม่น่าจะพอกินนะ

ทำให้เกิด Power Bank ที่สามารถชาร์จ Laptop ได้ด้วยนะ ด้วยคามที่อุปกรณ์มีความหลากหลายตั้งแต่โทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ กันไปเลย ทำให้เรื่องกำลังไฟในการชาร์จเป็นเรื่องที่เราต้องดูมาก ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่เราใช้เสียบอุปกรณ์จำนวนมาก ๆ หรือ ใช้กำลังไฟมาก ๆ อย่างเช่นการชาร์จ Laptop อะไรแบบนั้น

Power Bank Output

วิธีการดูง่าย ๆ คือ ที่ตัว Power Bank มันจะมีการบอกอยู่ว่า Input และ Output เป็นเท่าไหร่ ให้เราลองอ่านดู ส่วนของ Input ไม่เป็นไร ถ้ามันขายที่ไทยได้ ก็คือน่าจะเสียบได้แหละ ให้เรามาเน้นดูที่ Output กัน โดยหลัก ๆ แล้ว มันจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่เราต้องดูคือ Voltage และ Ampare ตัวอย่างเช่น Power Bank อันนี้มันจะออกที่ 5V,2.1A

ถ้าเราจำกันได้ในฟิสิกส์ สูตรในการคำนวณ Watts คือ

Watts = Ampere x Voltage

จากตรงนี้ทำให้ Power Bank ตัวนี้สามารถจ่ายกระแสไฟสูงสุดได้แค่ 10.5 Watts เท่านั้น สิ่งที่เราต้องเช็คอย่างแรกคือ ดูว่าโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ของเรารองรับที่กี่ Voltage และ Ampare ซึ่งบางที มันอาจจะให้มาแค่ Ampare และ Watts สูงสุดมาให้ เราก็สามารถคำนวณกลับได้นั่นเอง

เวลาเราเลือกดูก็ขอให้เราเลือกซื้อตัวที่ Watts ถึง และ Ampare ได้ก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าอุปกรณ์ไหนที่รองรับ USB-C มันก็น่าจะได้สูงสุดที่ 3A แน่ ๆ เพราะมันเป็นมาตรฐานของ USB-C ที่ต้องรองรับได้ 3A ส่วน Voltage จะเท่าไหร่นั้นมันก็ขึ้นกับอุปกรณ์แล้ว

อุปกรณ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น Laptop ที่ต้องใช้พลังงานเยอะ ๆ เกิน USB ธรรมดาไป ก็ต้องหาตัวที่มันเขียนว่า USB PD ที่ย่อมาจากคำว่า USB Power Delivery พวกนี้มันจะให้กำลังไฟสูงสุดได้ที่ 100 Watts กันไปเลยทีเดียว มันมากพอที่จะเลี้ยง Macbook Pro 15 นิ้วที่มีการ์ดจอแยกได้สบาย ๆ เลยละ ชิว ๆ

สรุป

การซื้อ Power Bank อย่าดูที่ความจุและขนาดเพียงอย่างเดียว ให้เราดูที่เรื่องอื่น ๆ ของมันด้วย เพราะมันส่งผลตอนที่เราใช้มาก ๆ ถ้าเราซื้ออันถูก ๆ ที่ความจุเยอะ ๆ ส่วนใหญ่กำลังไฟมักจะน้อยมาก ๆ จนบางทีเดี๋ยวนี้อาจจะชาร์จ Tablet บางตัวไม่ไหวแล้ว หรือไม่ก็ชาร์จช้าไปทั้งชาติดัง Adapter ของ Apple ที่ให้มากับกล่องเลยก็ได้ (คนที่ใช้ Apple จะรู้ดีเลย !!) หลัก ๆ เราว่าถ้าดูตามที่เราเล่ามากก็น่าจะหา Power Bank ดี ๆ สักตัวที่เหมาะกับเราได้แล้วละ

และตอนนี้เรามีเพจแล้วนะ ถ้าอยากติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ Lifestyle ก็สามารถเข้าไปติดตามเราผ่านเพจ arnondora ได้เลยนะฮ่ะ 😁

Read Next...

Apple M4 รุ่นไหนเหมาะกับใคร

Apple M4 รุ่นไหนเหมาะกับใคร

หลังจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน Apple ออก Mac รัว ๆ ตั้งแต่ Mac Mini, iMac และ Macbook Pro ที่ใช้ M4 กันไปแล้ว มีหลายคนถามเราเข้ามาว่า เราควรจะเลือก M4 ตัวไหนดีถึงจะเหมาะกับเรา...

Cloudflare Access ของดีขนาดนี้ ฟรีได้ไงวะ

Cloudflare Access ของดีขนาดนี้ ฟรีได้ไงวะ

จากตอนก่อน เราเล่าเรื่องการ Host Website จากบ้านของเราอย่างปลอดภัยด้วย Cloudflare Tunnel ไปแล้ว แต่ Product ด้าน Zero-Trust ของนางยังไม่หมด วันนี้เราจะมาเล่าอีกหนึ่งขาที่จะช่วยปกป้อง Infrastructure และ Application ต่าง ๆ ของเราด้วย Cloudflare Access กัน...

Mainframe Computer คืออะไร ? มันยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ?

Mainframe Computer คืออะไร ? มันยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ?

ทุกคนเคยได้ยินคำว่า Mainframe Computer กันมั้ย เคยสงสัยกันมั้ยว่า มันต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันทั่ว ๆ ไปอย่างไรละ และ Mainframe ยังจำเป็นอยู่มั้ย มันได้ตายจากโลกนี้ไปหรือยัง วันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลย...

Infrastructure as Code คืออะไร ทำไมถึงสำคัญมากในปัจจุบัน

Infrastructure as Code คืออะไร ทำไมถึงสำคัญมากในปัจจุบัน

เคยมั้ยเวลา Deploy โปรแกรมสักตัว เราจะต้องมานั่ง Provision Infrastructure ไหนจะ VM และ Settings อื่น ๆ อีกมากมาย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือบางอย่างที่จะ Automate งานที่น่าเบื่อเหล่านี้ออกไป และลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Infrastructure as Code กัน...