By Arnon Puitrakul - 12 เมษายน 2020
คนถามเรามาเยอะมากช่วงนี้ว่า อินเตอร์เน็ต ต้องสมัครเร็วเท่าไหร่ถึงจะพอ ถ้าเราไปดูในผู้ให้บริการหลาย ๆ เจ้าอย่างเช่น AIS และ True เองก็เริ่มเปิดให้เราเปย์อินเตอร์เน็ตความเร็วระดับ Gigabit กันแล้ว ถามว่า แล้วเราละ ที่อยู่บ้านอาจจะ WFH หรือ SFH เราต้องใช้เท่าไหร่กัน ถึงจะพอ
ถ้าอยากรู้ว่า เราต้องสมัครอินเตอร์เน็ตเร็วเท่าไหร่ถึงจะพอสำหรับการใช้งาน ให้เราสำรวจง่าย ๆ ว่าการใช้งานพร้อม ๆ กันสูงสุดคือเท่าไหร่
เริ่มจาก เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเล่นเกมออนไลน์, ฟังเพลงผ่าน Music Streaming, Video Call หรือ การ Surf ไปเรื่อยพวกนี้ ให้เราบวกไป 10 Mbps ต่อเครื่องที่เราใช้งาน
ขึ้นไปหน่อยเป็นการ Stream Video ไม่ว่าจะจาก Youtube, Netflix และ Pornhub เอง ในความละเอียดระดับ 1080p ให้เราบวกไป 25 Mbps ต่อเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นทีวี หรือ อะไรก็ตามที่เปิด
และท๊อปฟอร์มสุด ยกให้การ Stream Video ที่ความละเอียด 4K สำหรับใครที่ใช้จอ 4K ก็แบ่งไว้เลย 50 Mbps ต่อเครื่อง
ส่วน Add-on ก็จะเป็นพวกการดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ ๆ อันนี้ขึ้นกับขนาดไฟล์ที่เราจะต้องโหลดเป็นประจำว่ามันใหญ่ขนาดไหน กับเรารอได้ขนาดไหน ลองไปหาดูได้ มันจะมีเว็บสำหรับคำนวณเวลาในการโหลดเลย เราแค่ใส่ ขนาดของไฟล์ และ ความเร็วลงไป (แนะนำให้หักความเร็วออก 10% เพื่อให้มัน Reflect โลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น)
ทั้ง 3 ส่วนนี้คือส่วนของการดาวน์โหลด ไปที่ฝั่งอัพโหลดกันบ้าง นับเป็นเครื่องที่ใช้งานพร้อม ๆ กันเหมือนเดิม
ตัวแรกคือ การ Video Call หรือการทำ Group Video Call ตรงนี้ เราแนะนำอยู่ที่ 10 Mbps ต่อเครื่องที่ใช้งาน น่าจะเพียงพอสำหรับการ Video Call สัก 7-8 คนพร้อม ๆ กัน
และสุดท้ายคือการอัพโหลดไฟล์ต่าง ๆ ก็เหมือนกับขาดาวน์โหลดเลย ให้ดูขนาดไฟล์แล้วลองคำนวณดูเช่นเดียวกัน
สุดท้าย เราจะได้ความเร็วที่น่าจะเป็นขั้นต่ำในบ้านเราแล้ว เวลาเราไปสมัครอินเตอร์เน็ต เพื่อให้การใช้งานลื่นไหล เราก็จะแนะนำให้เลือกความเร็วที่มากกว่า (ใกล้ที่สุด) ที่เราคำนวณไว้ ก็จะใช้งานได้อย่างพอดีละ หรืออาจจะบวกไปอีก 10% ก็ได้เหมือนกัน
ถ้าเราบอกว่า เราใช้อยู่ 50 Mbps สำหรับดาวน์โหลด และ 20 Mbps สำหรับอัพโหลด แต่เราจะสมัคร 500 Mbps ได้มั้ย คำตอบคือ ได้ ไม่มีปัญหาเลย เกินได้แต่อย่าขาด แต่ถ้าเกินไปมาก ๆ มันจะเหมือนเราขับรถ Sport ใน กทมอะ มันก็ใช้เท่าที่เราใช้อะ เร็วกว่านั้นมันก็เฉย ๆ อะ อาจจะแค่โหลด หรือ อัพ ไฟล์ใหญ่ ๆ ก็ใช้เวลาน้อยลงแค่นั้นเลย แค่เสียเงินเยอะเกินจำเป็นเท่านั้นแหละ
ทำให้เราอยากจะบอกว่า อินเตอร์เน็ต 1 Gbps อะไรนั่น ที่โฆษณา อะไรกันเยอะแยะ มันไม่ได้จำเป็นกับทุกบ้าน ณ ตอนที่เราเขียน เพราะ Content ที่เราเปิด หรือทุกคนในบ้านเปิดรวม ๆ กัน มันใช้งานไม่ถึงอยู่แล้ว แต่ถ้าเราต้องโหลดหรืออัพโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ ไม่ก็บ้านเราอยู่หลายคนใช้งานหลายอุปกรณ์พร้อม ๆ กันมาก ๆ อะใช่ 1 Gbps อาจจะจำเป็น
อื้ม... ทั้งได้ และ ไม่ได้ ขึ้นกับปัญหามันเกิดจากอะไร ถ้าปัญหามันอยู่ที่ Bandwidth หรือความเร็วมันไม่พอ มันก็มีผล ถ้าเราใช้เต็ม ณ ตอนที่เราเล่นเกม บางที มันอาจจะต้องรอเพื่อส่งข้อมูล เลยทำให้เกิด Latency เยอะกว่าที่ควรจะเป็น วิธีเช็คง่าย ๆ คือ ลองให้เราอยู่ใน Network คนเดียว แล้วลองเล่นดู ถ้า Latency มันลดจนปกติ ก็นั่นแหละต้องไปสมัคร Package ที่มีความเร็วสูงกว่านี้
ถ้าไม่ใช่ อันนี้เป็นที่ผู้ให้บริการละ ว่าสายที่เข้าบ้านเรามาอาจจะมีปัญหา มีสัญญาณรบกวนเยอะ ไม่ก็สาย Fibre แถวนั้นมันใช้จนเต็มแล้ว ปัญหาพวกนี้จะอยู่ที่ผู้ให้บริการ แนะนำให้โทรหาแล้วปรึกษาว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง อย่างก่อนหน้านี้ บ้านเราทดสอบ Latency ได้อยู่ที่ 9 ms พอให้ผู้ให้บริการมาจัดการสาย Fibre ใหม่ทดสอบอีกทีเหลือ 2 ms เท่านั้นเอง
ต่างกันเยอะเลยแหละ ก่อนหน้านี้เราอยู่หอ เราไม่อยากติดตั้งอินเตอร์เน็ตแบบสาย เพราะคิดว่าไม่ได้ใช้เยอะแหละ เลยสมัครเป็น Package 4G Unlimited ไป ต้องบอกเลยว่า เหมือนพึ่งดวงอะ
ต้องยอมรับก่อนเลยว่า การใช้งานเครือข่ายไร้สายทุกชนิด ความเสถียร และ ความเร็ว สู้การเชื่อมต่อผ่านสายไม่ได้อยู่แล้ว ไหนจะสัญญาณรบกวน ไหนจะต้องแชร์กับคนอื่น ๆ กี่คนไม่รู้ เสาอยู่ห่างจากเราแค่ไหน สัญญาณแรงขนาดไหน มันมีปัจจัยเยอะมากที่จะทำให้ ความเร็ว และ Latency ที่ได้มันผันผวนมาก ๆ
ถ้าเราไม่ได้ใช้งานอะไรมาก เปิดเน็ตอ่านโน้นนี่นั่น ตรวจหวย แบบนั้น การใช้เครือข่าย 4G หรือ 5G ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าเราต้องทำงานอะไรที่มัน Real-Time อย่างการ Video Call, Streaming และ เล่นเกมออนไลน์เอง การใช้ 4G หรือ 5G อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ คอล ๆ ไป อ้าว ทำไมอีกฝั่งนิ่งละอะไรแบบนั้น เจอมาเยอะละ
นอกจากนั้น ถ้าเราใช้เยอะ บางที มันก็ต้องใจเขาใจเราด้วยอะ เราแชร์เสาสัญญาณเดียวกันกับคนในระแวกใกล้เคียงกัน ดังนั้นเราก็ไม่ควรเอาพวก 4G หรือ 5G มาโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ เพราะมันอาจจะไปกระทบการใช้งานของคนอื่นได้ ในพื้นที่ ที่มีความหนาแน่น
ทำให้ ถ้าเป็นไปได้ เรายังแนะนำว่า ให้ติดตั้งเป็นสายไป แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ใช้เป็น 4G หรือ 5G ไป แต่ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพ อาจจะไม่เท่ากับคนที่ติดตั้งผ่านสาย
อันนี้เป็นตัวอย่างจาก AIS Fibre ที่เราใช้งานอยู่ ถ้าเห็นก็จ่ายได้นะ รออยู่
ความดีงามของผู้ให้บริการสมัยนี้คือ มี Feature พวก Speed Toggle ที่ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วในการดาวน์โหลด และ อัพโหลดได้ตามที่เราต้องการ ตัวอย่างเช่น ปกติเราไม่ได้อัพโหลดอะไรเยอะ แต่บางที เราต้องอัพโหลดวีดีโอซึ่งใหญ่มาก ปกติแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ก็รอต่อไป
แต่พอมี Speed Toggle ทำให้เราสามารถที่จะเหมือนกับ แลกเอาความเร็วดาวน์โหลดแปรเปลี่ยนมาเพิ่มความเร็วในฝั่ง Upload ได้ พออัพเสร็จ เราก็เปลี่ยนกับมาเป็นเท่าเดิม ทำให้เราสามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้นนั่นเอง
Feature นี้ต้องสอบถามกับผู้ให้บริการที่คุณใช้งาน ว่าเขามีมั้ย และ ถ้ามีเราจะใช้งานได้ยังไง หรือทำยังไง
การหาความเร็วก็ต้องเริ่มจากสำรวจการใช้งานพร้อม ๆ กันในบ้านซะก่อน แล้วค่อยไปเลือกตามราคาต่อเดือนที่เรารับได้ไปว่ามันได้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อการใช้งานของเรา และย้ำอีกครั้งว่า อินเตอร์เน็ต 1 Gbps ที่หลาย ๆ เจ้าพยายามขายนั้น ไม่ได้เหมาะกับทุกคน มันเหมาะกับคนที่อยู่กันหลายคน หรือใช้งานเยอะมาก ถึงจะคุ้ม สมัครได้แหละ แต่ถ้าใช้น้อยมันก็เหมือนเอาเงินไปทิ้งเล่น ๆ อะ ก็ลองดูตามความเหมาะสมของทั้งการใช้งาน และ เงินในกระเป๋าเราด้วย
จะบอกว่า มันมีแล้ว ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ เท่าที่อ่านมา ตอนนี้มีที่อังกฤษได้ถึง 10 Gbps ที่ญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นที่นิยม โอเคแหละ ส่วนนึงเป็นที่ Content ที่เราดูด้วย มันยังไม่ได้จำเป็นขนาดที่ต้องใช้ความเร็วในระดับนั้น อย่างมาก เราก็ Stream 4K ซึ่งมันก็กินแค่ 50 Mbps เอง
นอกจากนั้น เรื่องของ Hardware เองก็ยังถือว่าเป็นข้อจำกัดอยู่ เพราะความเร็วของสายที่เราใช้กันตามบ้าน ในราคาที่จับต้องได้ มันเร็วสูงสุดเพียง 1 Gbps เท่านั้น ซึ่ง ณ ตอนที่เขียน ราคาของอุปกรณ์ระดับ 10 Gbps นั้น ก็ยังแอบแพงอยู่ อาจจะใช้ในบ้านที่มีขนาดใหญ่ มีคนเยอะ หรือ SOHO ที่ทำงานกันเยอะหน่อยก็ยังพอได้ แต่บ้านทั่ว ๆ ไป Hardware ที่รองรับ 10 Gbps ก็ยังถือว่าแพงอยู่ แต่อนาคตอันใกล้ เราว่ามันก็จะถูกลงจนจับต้องได้แหละ เหมือนกับตอนที่เปลี่ยนผ่านจาก 100 Mbps เป็น 1 Gbps
ปล. ปกติเวลาเราพูดถึงการขนส่งข้อมูลใน Network หน่วยที่เราจะใช้กันคือ Bit/Second (bps ใช้ b เล็ก) เช่น 10 Mbps ไม่ใช่ Byte/Second (ใช้ B ใหญ่) เช่น 5 MB/s เขียนไม่เหมือนกันนะ รบกวนเขียนให้ถูกด้วย เพื่อการสื่อสารที่ถูกต้อง
คำว่า Zero-Trust น่าจะเป็นคำที่น่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาไม่มากก็น้อย หลายคนบอกว่า มันเป็นทางออกสำหรับการบริหาร และจัดการ IT Resource สำหรับการทำงานในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า มันคืออะไร และ ทำไมหลาย ๆ คนคิดว่า มันเป็นเส้นทางที่ดีที่เราจะมูฟออนกันไปทางนั้น...
หลังจากเราลงรีวิว NAS ไป มีคนถามเข้ามาเยอะมากว่า ถ้าเราไม่อยากซื้อเครื่อง NAS สำเร็จรูป เราจะสามารถใช้เครื่องคอมเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วมาเป็นเครื่อง NAS ได้อย่างไรบ้าง มีอุปกรณ์ หรืออะไรที่เราจะต้องติดตั้งเพิ่มเติม วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกัน...
เมื่อปีก่อน เรารีวิว Adapter 100W จาก UGreen ที่เคยคิดว่ามันเล็กกระทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาง่ายที่สุดไปแล้ว ผ่านมาปีนึง เรามาเจออีกตัวที่มันดียิ่งกว่าจากฝั่ง Ugreen เช่นเดียวกันในซีรีย์ Nexode Pro วันนี้เรากดมาใช้เอง 2 ตัวคือขนาด 65W และ 100W จะเป็นอย่างไร อ่านได้ในบทความนี้เลย...
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนนานมาก ๆ แล้ว ตำรวจไทยได้จับกุมเจ้าของเว็บ AlphaBay ขายของผิดกฏหมายรายใหญ่ ซึ่งเว็บนั้นมันอยู่ใน Dark Web ที่จำเป็นต้องเข้าถึงผ่าน Tor Network วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า มันทำงานอย่างไร และทำไมการตามตัวในนั้นถึงเป็นเรื่องยากกัน...