By Arnon Puitrakul - 22 พฤษภาคม 2016
Google I/O 2016 ในปีนี้ก็ผ่านกันไปแล้ว ปีนี้ผมเขียนช้ามาก ๆ เลย ติดงานหลายอย่างอยู่ ซึ่งปีนี้ทางฝั่ง Google เองก็มีอพไรมาอัพเดทให้เราหลาย ๆ อย่างอยู่เหมือนกัน เรามาดูกันทีล่ะอย่างกันเลยดีกว่า
เปิดมาอย่างแรกด้วย การเดินหน้าขึ้นสู่ยุคต่อไปของบริการอย่าง Google Now ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันดี นั่นคือ เราสามารถ สื่อสาร 2 ทางกับตัว Google Now ได้แล้ว ใน Keynote Mr.Pichai ได้ลองแสดงเหตุการณ์ว่า จะจองตั๋วหนังเพื่อที่จะไปดูกับครอบครัว โดยใช้แค่การถามตอบไปมา ซึ่งการทำอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้เรียนคอมมาหรือเรียนมาด้านนี้อาจจะมองว่า "มันก็ง่ายนะ ยากตรงไหน" แต่จริง ๆ แล้วในทางคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ๆ ที่เราสามารถคุยกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ โดย Google เรียกบริการที่เป็นการสื่อสาร 2 ทางนี้ว่า Google Assistant ผมว่าเทคโนโลยีแบบนี้แหละ ถึงเรียกว่า Assistant ได้อย่างเต็มปากเลย เพราะว่าเราสามารถคุยกับมันได้เหมือนผู้ช่วยของเราได้จริง ๆ และเป็นธรรมชาติกว่ามาก
นอกจากนี้ Mr.Pichai ยังบอกอีกว่า ในอนาคต Google Assistant จะร่วมมือกับหลาย ๆ บริษัทเพื่อเพิ่มความสามารถต่าง ๆ ให้กับ Google Assistant เช่น ร่วมมือกับ Open Table เพื่อให้เราสามารถจองโต๊ะอาหารผ่าน Google Assistant ได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่จะตามมา
ถัดจาก Google Assistant ก็จะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Google Home ที่จะช่วยดึงความสามารถของ Google Assistant ให้มากขึ้นไปอีก โดย Google Home เป็นอุปกรณ์ตัวนึงที่เราวางมันไว้ในบ้านของเรา และมันจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในบ้านของเรา และเราสามารถส่งงานอุปกรณ์เหล่านั้นผ่าน คำสั่งเสียง ของเราได้ นอกจากนี้ยังมีลำโพงในตัวด้วย เพื่อให้เราสามารถสั่งเปิดเพลงผ่านมันได้ด้วย เจ๋งป่ะล่ะ !
ความเห็นส่วนตัว ผมมองว่ามันเหมือนกับ เราใช้ Google Assistant ผ่านโทรศัพท์ของเราเลย แต่แค่ทำออกมาเป็นอุปกรณ์ให้เสียตังกันอย่างสนุกสนาน ดูจากตัวอย่างแล้วเหมือนกับว่า ถ้าเราอยากจะทำให้มันใช้ได้ทั่วบ้าน เราก็ซื้อ Google Home ไปวางห้องล่ะตัว OMG! คิดว่าเครื่องเท่าไหร่กัน แล้วถ้าบ้านใหญ่ ๆ นี่ต้องซื้อกันกี่ตัว ! ผมเลยว่าเจ้านี้ไม่น่าจะโอเท่าไหร่ ด้วยความที่เราต้องซื้อมันหลาย ๆ ตัวในกรณีที่เราต้องการให้มันครอบคุมทั้งบ้านเรา ถ้าอยากได้จริง ๆ เราแค่ถือโทรศัพท์แล้วเรียก Google Assistant ไปก็ได้แล้วจริง ๆ มันอาจจะมี Feature ที่มากกว่านี้นะ ก็ต้องรอดูเพื่อมันโอ
ในปีนี้ Google เองก็ประกาศ App ใหม่ออกมา 2 ตัวด้วยกันนั่นคือ Allo ที่เป็น Text Messaging กับ Duo สำหรับ Video Calling
มาดูกันที่ตัวแรกกับ Google Allo เป็น Text Messaging App เหมือนกับ Line หรือ WhatsApp ที่เราใช้กันนี่แหละ แต่ถ้ามีแค่นั้นก็ไม่ออกมาแน่นนอน สิ่งที่ Google Allo มันเจ๋งคือ มันทำงานร่วมกับ Google Assisitant ด้วยนะเออ ตัวอย่างที่ใน Keynote เล่นให้ดูคือ การที่คุยกับเพื่อนใน Allo เพื่อนัดวันที่จะไปกินข้าวกัน เขาสามารถใช้ Allo เพื่อจองโต๊ะอาหารได้ภายใน App ได้เลย โดยการคุยกับ Chat Bot เหมือนกับที่เราคุยกับ Google Assistant ได้เลย สะดวกมาก ๆ
อีก App นึงคือ Google Duo เป็น App สำหรับ Video Call โดยสิ่งที่ Duo เน้นคือ Lightweight หรือเบาโดย Google เคลมว่า สามารถทำงานได้แม้แต่คุณภาพสัญญาณอินเตอร์เน็ตจะแย่ก็ตาม นอกจากนี้ยังมี Feature ที่ชื่อว่า Knock Knock ที่จะแสดงวีดีโอของอีกฝ่ายนึง เพื่อให้รู้ว่า เขาโทรมาทำอะไรอะไรทำนองนี้ ดูจากวีดีโอใน Keynote แล้วก็ดูน่าสนุกดีเหมือนกัน
อย่างที่เรารู้ว่า Google มี Major Change ให้กับ Android ทุกปี ปีนี้ก็เช่นกัน มาถึงตัว N กันแล้ว ส่วนชื่อนั่น ยังไม่ประกาศตามสูตร สิ่งที่ Android N เน้นคือ ปลอดภัยกว่า เร็วกว่า และสร้างสรรค์ได้มากกว่า (ตรงสร้างสรรค์ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ถ้าตามใน Keynote คือคำว่า Productivity) สิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็เช่น การแสดง 2 App พร้อม ๆ กันเหมือนที่ตระกูล Galaxy ทำได้เมื่อนานมาแล้วเลย หรือจะเป็นการใช้ Graphic API ตัวโหดอย่าง Vulkan ทีทำให้การ Graphic บน Android ไหลลื่นกว่าเดิมเยอะมาก ๆ
ถ้าใครเคยใช้ Android Wear มาก่อนจะรู้ว่า หลาย ๆ Feature มันจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์เข้ามาช่วยเพื่อให้มันทำงานได้ หรือจะเป็นปัญหาหลาย ๆ อย่างที่ผู้ใช้ได้เจอใน Android Wear เวอร์ชั่นแรก แต่ในเวอร์ชั่น 2 นั่นจะเน้นการทำงานที่เป็นอิสระจากตัวโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น มันสามารถทำงานบางอย่างได้โดยที่ไม่ต้องใช้โทรศัพท์เลย เช่นเราสามารถติดตั้ง App เพื่อใช้งานบนนาฬิกาของเราได้เลย หรือจะเป็นการพิมพ์บนนาฬิกาได้เลย โดยที่มี Keyboard มาให้ แต่เห็นแล้วดูใช้ยากมาก ๆ เพราะจอมันเล็ก
อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทำให้ผมที่กำลังง่วง ๆ ซึม ๆ ตื่นขึ้นมาตั้งใจฟังอย่างแรงกล้ามาก ๆ รวม ๆ แล้ว Android Instant App คือการที่ทำให้เราสามารถใช้ ส่วนหนึ่ง ของ App โดยที่เราไม่ต้องติดตั้งมันลงไปในเครื่องของเราเลย อย่างเช่นถ้าเรามี Link ที่เข้าไปหา Youtube ถ้าเราไม่มี App ก็จะเข้าหน้าเว็บ ซึ่งหน้าเว็บ Youtube บน Mobile ก็เป็นอะไรที่ไม่ค่อยโอเท่าไหร่ แต่ด้วย Instant App นี้ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ ส่วนหนึ่งของ App Youtube ได้โดยไม่ต้องติดตั้ง App
เบื้องหลังของมันก็คือ ตัวเครื่องเราจะไปโหลดเฉพาะหน้าที่ต้องการแสดงผลนั้น ๆ มา แล้วนำมา Compile และแสดงผลให้เราดู การทำแบบนี้ได้ต้องขอบคุณ JIT Compiler ที่ทำงานได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง และการที่จะทำให้ App ของเรา Support กับ Feature นี้ทาง Google เคลมว่า เราแค่เปลี่ยน Code ใน App ของเราเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้ Feature นี้ได้แล้ว
ผมมองว่า มันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปลิบลับเลยนะ เพราะในปัจจุบัน เราโฆษณา App ของเราคือการให้ติดตั้งโน้นนี่นั่น แต่ด้วย Feature แบบนี้น่าจะทำให้เราสามารถทำ Martketing ได้ง่ายขึ้นมาก ๆ เพราะ ผู้ใช้คงไม่ชอบที่จะติดตั้ง App อะไรที่พึ่งรู้จักลงไปในเครื่องอย่างแน่นอน วิธีนี้น่าจะทำให้ผู้ใช้ของเราได้เข้าถึง App เราได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ตอนนี้อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงในตอนนี้คือ VR นั่นเอง ทาง Google ก็ไม่ยอมแพ้ในคึกนี้เช่นกัน ออกตัว Daydream ที่เป็น VR Platform ออกมาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้าง App ที่เป็น VR ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็มี App หลาย ๆ ตัวได้ใช้ Platform ตัวนี้ในการสร้าง App ที่เป็น VR แล้วเช่น HBO และ New York Times เป็นต้น
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่เครื่องที่เราใช้ด้วยเพราะ มันต้องการหน้าจอที่ค่อนข้างจะคุณภาพสูงหน่อย และยังต้องใช้ Sensor หลาย ๆ ตัวที่ไม่น่าจะได้มากับเครื่องในรุ่นล่าง ๆ ซึ่งก็รู้กันดีว่า เครื่องส่วนใหญ่นั้นเป็นเครื่องที่อยู่ในสเปก ปานกลางถึงต่ำ เลยอาจจะทำให้เป็นข้อจำกัดของ Daydream ก็ได้
หลังจากเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน Apple ออก Mac รัว ๆ ตั้งแต่ Mac Mini, iMac และ Macbook Pro ที่ใช้ M4 กันไปแล้ว มีหลายคนถามเราเข้ามาว่า เราควรจะเลือก M4 ตัวไหนดีถึงจะเหมาะกับเรา...
จากตอนก่อน เราเล่าเรื่องการ Host Website จากบ้านของเราอย่างปลอดภัยด้วย Cloudflare Tunnel ไปแล้ว แต่ Product ด้าน Zero-Trust ของนางยังไม่หมด วันนี้เราจะมาเล่าอีกหนึ่งขาที่จะช่วยปกป้อง Infrastructure และ Application ต่าง ๆ ของเราด้วย Cloudflare Access กัน...
ทุกคนเคยได้ยินคำว่า Mainframe Computer กันมั้ย เคยสงสัยกันมั้ยว่า มันต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันทั่ว ๆ ไปอย่างไรละ และ Mainframe ยังจำเป็นอยู่มั้ย มันได้ตายจากโลกนี้ไปหรือยัง วันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเลย...
เคยมั้ยเวลา Deploy โปรแกรมสักตัว เราจะต้องมานั่ง Provision Infrastructure ไหนจะ VM และ Settings อื่น ๆ อีกมากมาย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเรามีเครื่องมือบางอย่างที่จะ Automate งานที่น่าเบื่อเหล่านี้ออกไป และลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Infrastructure as Code กัน...