Year In Review 2023 สวัสดี 2024
แปลกมากเลยนะ เรารู้สึกว่ายังเหมือนต้นปีอยู่เลย เวลาผ่านไปแปบเดียว กลายเป็นจะหมดปีซะแล้ว เรียกว่าเป็นปีที่ทำอะไรเยอะมาก มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ เรื่องเยอะมาก เรื่องหลาย ๆ เรื่องที่เราปูมาตั้งแต่ปีก่อน มันค่อย ๆ งอกเงยมาเรื่อย ๆ วันนี้เรามาถอดบทเรียนให้อ่านกันว่าเราได้อะไรจากมัน และมันสอนอะไรกับเราบ้าง
เรียนรู้ที่จะวางแผนระยะยาว และ ยืดหยุ่น
เรื่องแรกที่เราได้เรียนรู้จากการทำงาน และ การวางแผนชีวิตในช่วงปีนี้คือ เราเรียนรู้ที่จะรอคอย และ วางแผนในระยะยาว เมื่อก่อน เรายอมรับเลยว่า เราเป็นคนที่ใจร้อนมาก ๆ เวลาอยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังมากเท่าไหร่ เลยทำให้งานบางอย่างที่ทำออกมาบางทีมันมีปัญหาหลาย ๆ อย่าง ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะ เราโตมาในยุคที่เรามีอินเตอร์เน็ต ทุกอย่างมันเร็วไปหมด จนกลายเป็นว่า เราก็ต้องเร็วตามโลก เร็วจนเราต้องลงมือทำตอนที่เรายังไม่ได้มานั่งตกตะกอนมันดีพอ
แต่ตั้งแต่ปีก่อน เราลองทำให้หลาย ๆ เรื่องมันช้าลง เลยมีจังหวะค่อย ๆ ได้คิดมากขึ้น คิดในระยะยาวมากขึ้น คิดเผื่อ สร้างความยืดหยุ่นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ รู้จักการค่อย ๆ หัดวางรากฐาน เราไม่จำเป็นต้องได้เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเราลองค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ วางรากฐานของมันไปเรื่อย ๆ แล้วปีนี้สิ่งที่เราทดลองเปลี่ยนมันเริ่มออกดอกออกผล เป็นเหมือนรางวัลของการอดเปลี่ยนไว้กินหวานมากพอสมควร โอเคแหละ บางอย่างยังไม่ออกผลมากขนาดนั้น แต่มันก็ยังไปตามแผน และทิศทางที่ดีอยู่
ตัวอย่างเรื่องที่ทำให้เราปวดหัวมาก ๆ คือ การเรียน PhD ถ้ากลับไปอ่านปีก่อน ๆ เราจะซีเรียสเรื่องนี้มาก ๆ และเราจะไม่ชอบมาก ๆ ที่มันมีอะไรเข้ามาทำให้แผนที่เราวางไว้มัน Derail ออกไป หรือเรื่องเล็ก ๆ เช่น วันนี้เราคิดไว้ละว่า เราอยากทำอันนี้ แล้วมีคนมาบอกว่า เออวันนี้ไปนี่กับเราหน่อย เราจะไม่ชอบมาก ๆ
ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า เป็นคนที่ใจเย็นขึ้น ช้าลง รอบคอบมากขึ้น มีช่วงแข็งและอ่อน ช่วงไหนต้องแข็งแกร่งมั่นคง ช่วงไหนต้องยืดหยุ่น คิดหน้าคิดหลังมากขึ้นกว่าตอนที่เราเด็กแบบสุด ๆ มองย้อนกลับไป โอ้ววว เมื่อก่อนเราก็ร้อนเหมือนกันนะ ไม่น่าแปลกเลยที่หลาย ๆ คนจะชอบบอกให้เราช้า ๆ ลงหน่อย
แต่แกเช่ือปะ ปัญหาตอนนี้คือ เรากะไม่ถูกว่า เร็ว หรือ ช้าเท่าไหร่ถึงจะพอ คิดว่าเรื่องนี้มันอาศัยประสบการณ์พอสมควรเลยนะกว่ามันจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง รู้สึกว่ายิ่งอายุเยอะขึ้น เริ่มเข้าใจคำว่า ประสบการณ์ มากขึ้น
Course เรียนที่เริ่มเป็นระบบมากขึ้น
หนึ่งในเรื่องที่เราค่อย ๆ วางแผนวางรากฐานของมันมาแล้วมันเริ่มออกดอกผลในปีนี้คือ คอร์สเรียนจากเราเอง มีคนทักเข้ามาถามเยอะเหมือนกันว่า เมื่อไหร่เราจะกลับมาเปิด Course ตอนนั้นเราก็พยายามปั้นให้มันออกมาให้ได้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ ด้วยจังหวะเวลา คน และโอกาสที่เข้ามา
ปัญหาที่น่าสนใจหลังจากเราได้มาทำ Competitor Analysis ของพวก Course ทั้งไทยและเทศ ทำให้เราพอจะเข้าในธุรกิจการพวกนี้มากขึ้น มุมมองของคนเรียน และคนสอนมันเป็นแบบไหน
ต้องบอกเลยว่า ตลาดการสอนเขียน Code ในไทย กับ ต่างประเทศมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกันอย่างน่ากลัวพอสมควรคือ ส่วนใหญ่ Course พวกนี้จะชอบโฆษณาตั้งชื่อประมาณว่า "เรียนลัดเขียนโปรแกรมใน 24 ชั่วโมง" พร้อมคำเคลมประมาณว่า เมื่อเรียนจบไปจาก Course นี้คุณสามารถเขียนโปรแกรมเป็นได้เลย หน่ำซ้ำบางที่ เข้าใจกลุ่มคนที่ย้ายสายงานหรือกำลังหางานฟิล ๆ ว่า ถ้าเรียนจบจากเราไปนะ เราจะมีงาน Feed เข้ามาสร้างรายได้ให้ (ถ้าใครที่เจอเขายิง Ads ใส่บ่อย ๆ จะพอเดาได้เนอะว่าเจ้าไหนบ้าง ในไทยมีมากกว่า 2 แน่นอน)
ซึ่งแน่นอนครับว่า คนก็คือโอ้วววว สนใจอย่างแน่นอน เพราะต้องยอมรับว่า การเขียนโปรแกรมมันเข้ามามีผลต่อหลาย ๆ อาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราเคยสอนบางคนเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นวิศวกรเครื่องทำความเย็นเมื่อก่อนเขาก็ทำงามตามที่เรียนมาแหละ แต่พอหลัง ๆ มันเริ่มเอา PLC และ Microcontroller เข้ามาเยอะขึ้น เขาเลยต้องเริ่มปรับตัวไม่งั้นบริษัทเขาน่าจะได้วิศวกรคนใหม่มาดูงานแน่นอน หรือในบางเคสคือ เห็นว่างานทางสายการเขียนโปรแกรมมีรายได้ดีกว่าอาชีพเดิมของตน เลยอยากเข้ามาทำในอาชีพนี้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง ไม่มีเหตุผลใดผิดเลยนะ ทุกคนต่างอยากที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ไม่แย่ลง เขามี Factor เรื่องของ เงิน และ เวลามาก ๆ ทำให้มัน Support เหตุที่ว่า มันไม่แปลกเลยที่หลาย ๆ คน เห็น ชื่อ Course ลักษณะนี้แล้วจะอยากสมัครโดดกันเข้ามาเรียนรัว ๆ
พอฝั่งคนสอน เขาก็เป็นธุรกิจ มองเห็นช่องทาง ทางธุรกิจ เลยมาเล่นกับความกลัวการตกขบวนรถไฟของคน โดยการโฆษณาตัวเองแปลก ๆ สารพัด ทีนี้ถามว่า เห้ย แล้วการทำการตลาดแบบนี้มันผิดเหรอ....
อะเอาจริงนะ แมร่งคำว่า Business มึงก็ตอแหลหลอกลูกค้าอยู่แล้วแหละ จะบอกว่าผิด แมร่งก็อยู่ยากละ ไปเดินงานแสดงเทคโนโลยี 9/10 บูท ต้องมีคำว่า AI พอไปดูงานจริง ๆ มึ_จะใช้เพื่ออออออออ หลอกลูกค้าแกงั้นเหรอ....
อะนอกเรื่องละ ผลจริง ๆ คือฝั่งผู้สอนก็รับเงิน รับหน้ากันอย่างล่ำซำเลยทีเดียว ปัญหาคือฝั่งผู้เรียน เพราะ Course ส่วนใหญ่ที่สอนกันอยู่ตอนนี้ เราจะเจอปัญหาอยู่คือ เขาเน้นการจับมือคลิก จับมือเราทำ ลงมือกับหน้างานจริงเลย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีใช่มั้ยฮะ เนี่ยจบไป เราทำงานได้เลยไง สำหรับงาน Programming เป็นการกระทำที่หัวค_ยสำหรับผู้เรียนมาก
อาจจะยังมองไม่เห็นภาพ เรายกตัวอย่าง สมมุติว่า เราเปิดสอนเขียนเว็บใช้ Django เลย มาเลยครับ เปิดมาอะ มาสร้าง Project กันนะครับ พิมพ์คำสั่งนี้นะครับ เราจะได้ Scaffolding ของ Django Project มานะครับ อะส่วนนี้ Folder นี้คืออันนี้นะครับ แล้วไปสอนต่อว่า อะ แล้วถ้าจะทำ X เราจะต้องทำ Y นะ เห้ย ดูเหมือนดีใช่ปะ
ในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อเราไปทำงานจริง Requirement มันมีอะไรที่ไม่เหมือนกับที่เราเรียน X ให้ทำ Y มาคือ ชิบหายละ เพราะเราไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเราอยากได้ X ให้ทำ Y ตอนเรียน เน้นการจับมือทำ สุดท้ายออกมาทำจริงก็คือ แตกกระจาย แล้วก็ไปถามคนสอน คนสอนก็ตอบไป สุดท้ายเขาก็จะต้องมาเรียนกับเขาใหม่ไปเรื่อย ๆ วนเป็นวัฏจักรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
สุดท้ายเรียนแบบนั้นออกมา เราจะรู้เพียงผิว ๆ เผิน ๆ อาจจะมากพอสำหรับการทำงานบางอย่างได้ ถ้าจุดประสงค์คุณมีแค่นั้นก็ยินดีด้วย แต่ถ้าอยากจะไปต่อเป็น Professional จริง ๆ มันไม่พอไง แต่ถามว่า Course ลักษณะแบบนี้มีตลาดของมันมั้ย มีดิ มันสำหรับคนที่รู้เรื่องอยู่แล้ว แค่ว่า เราอยากจะเรียนรู้ Tools ใหม่อย่างรวดเร็วยังไงละ
เหมือน เราทำโจทย์คณิตศาสตร์ ถ้าคุณครูสอนแค่ว่า โอเคเจอโจทย์แบบนี้ ให้ใช้สูตรนี้นะ พอเรามาเจอโจทย์ที่หน้าตาเหมือนกัน โอ้วว หวานเลยสิ แค่ Plug เลขลงไปในสูตรแล้วหาคำตอบได้เลย แต่เมื่อเราไปเจอโจทย์เดิมแต่บิดเพิ่มความซับซ้อนไปอีกหน่อย ไม่เหมือนกับแบบที่ครูสอนมาละ ก็จบ การเขียนโปรแกรมก็เหมือนกัน มันมีโจทย์ มีความซับซ้อนที่แตกต่างกันเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เราเอาตัวรอด และ ไม่แพ้ไม่ว่าเราจะเจอโจทย์แบบไหนเลยก็คือ การเรียนพื้นฐาน Foundation เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ สังเกตดูว่า ทำไมมหาลัยคนที่เรียนคอมพิวเตอร์ เขาไม่เริ่มด้วยการ อะ มาใช้ Tools นี้ ๆ นะ เขาสอน Logic Thinking, Problem Solving ต่าง ๆ แล้วยังไม่จบ ไปลงพวก Programming Paradaigm ตั้งแต่ Sequential Programming, OOP จนไปถึง Functional Programming หรือจะในวิชาฝั่งพวก Computer Science ทั้งหลายเช่น Operating System, Parallel Processing, Computer Network และ Compiler
เอาจริง เราเรียนจบมา เรามาทำงานจริง เรารู้จัก Tools และภาษาเยอะกว่าอาจารย์อีกมั้ง เพราะทุกอย่างที่เราเรียนมา มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้ ไม่ว่าภาษา และเครื่องมือมันจะเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ โจทย์เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ เราจะไม่ตาย เราใช้เวลาอ่านแปบ ๆ เราจะ อ่อ มันเป็นแบบนี้ ๆ ไอ้นี่ต่อแบบนี้นี่เอง ได้แบบง่าย ๆ เลย นั่นคือเหตุว่า ทำไม Programmer และ Computer Scientist จริง ๆ เขาไม่มานั่งเถียงกันค่า ว่าภาษานี้ดีกว่าภาษานั้น มันเป็นคำถามที่แสดงให้เห็นนะว่า อะ มึงไม่เข้าใจ Nature การทำงานของภาษานั้น ทำไมมันต้อง Design มาแบบนั้น แล้วเราจะหยิบมันมาใช้เพื่อ Take Advantage จากการ Design แบบนั้นเมื่อไหร่
เรายก Study Case ส่วนตัวเราละกัน ทำไมเราถึงเลือก Dev Platform นึงจาก Laravel ที่ทำงานบน PHP ทั้ง ๆ ที่คนออกมาพูดเรื่อย ๆ ว่า PHP is dead มันช้า คุณมาใช้ Node.js หรือ Golang ดิมันเร็วกว่า สั้น ๆ เลยนะ Load ที่เราทำงานมันไม่ได้สูงขนาดนั้น ลักษณะ Load เหมาะกับการทำงานบน PHP มากกว่า และ เราสามารถขึ้น Platform ด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดในเวลา 1 วันได้ เพราะเราสามารถ Reuse Code จาก Project ที่ผ่านมา และมั่นใจแล้วว่า Unit Test ผ่านแน่นอน Agility สูง การแก้ การทดสอบ เรามี Framework รองรับหมดแล้ว ตัวระบบถูก Design มาให้มี Modular อนาคต เราอยากจะ Scale หรือ Optimise ส่วนไหน มันก็ยังรองรับ Tech Stack ที่อาจจะเปลี่ยนไปในอนาคตได้ ดังนั้น PHP และ Laravel เลยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเรานั่นเอง
เราไม่อยากให้คนที่มานั่งเสียเงินเสียเวลาเรียนกับเราต้องไปพบว่าไอ้สิ่งที่เราเรียนไปมันไม่ยั่งยืน แล้วต้องกลับมาเรียนกับเราเรื่อย ๆ ทำให้เราอยากจะทำ Course ที่เน้นการสอนทักษะที่สำคัญ ทำให้ไปเป็น Developer ที่เป็น Developer จริง ๆ เหมือนกับที่นักคอมพิวเตอร์จริง ๆ เอาจริง ก็แอบกลัวนะว่า เราตั้งใจทำออกมาแล้ว มันจะขายไม่ได้ เพราะมันไม่ตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบทันใจเมื่อเทียบกับเจ้าอื่น ๆ หรือหลวงพ่อทันใจอะไรก็ตาม แต่เราก็ยังคงความเชื่อของเราอยู่เหมือนเดิมว่า การเรียนโดยไม่สนใจพื้นฐานมันไม่ยั่งยืนจริง ๆ ถ้าใครอยากรู้ว่า พื้นฐานมันเป็นยังไงก็ลองมาเรียนกับเราได้ จุ๊บส์
เว็บและ Content ที่เติบโตไปเรื่อย ๆ
อีกเรื่องที่เป็นการเติบโต เรียกว่าเป็นผลจากการทำมานานคือ Content ในเว็บและ Platform อื่น ๆ อย่างแรกคือ เราลงค่อนข้างสม่ำเสมอเหมือนเดิม ทำได้น่าจะเป็นปีที่ 2 หรือ 3 นี่แหละ ซึ่งเราดีใจกับเรื่องนี้มาก ๆ เพราะถ้าใครที่ติดตามเราก่อนหน้านี้ จะเห็นว่า เราลง Content ไม่สม่ำเสมอเท่าไหร่ นั่นส่งผลไปในเรื่องของพวก Reach และ Traffic ตัว Algorithm มัน Value เรื่องพวกนี้มาก
นอกจากเรื่องจำนวนที่สม่ำเสมอ คุณภาพต้องยอมรับเลยว่า เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญมาก ๆ แหม่ ถ้าจะลงเอาจำนวนอย่างเดียวมันก็นะ ในฝั่งของพวกงานข้อความ งานบทความเอง เราได้รับโอกาสจากทั้ง Sponsor, สำนักข่าว และ สำนักพิมพ์หลาย ๆ เจ้าให้ได้เขียนบทความ และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เอาจริง ๆ คือไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสเขียนบทความนอกเว็บเรา ได้ไปออก Event ด้วยซ้ำ ซึ่งมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ๆ ทั้งในเรื่องของการเขียน, Process การทำงานต่าง ๆ, สกิลการสรุปความเล่าเรื่องที่แยบยลและน่าสนใจมากขึ้น และ สไตล์การเขียนของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างหลัง เราว่ามันทำให้เราเป็นเรามาก ๆ ทำให้เรารู้สึกว่า งานเขียนของเรามันแตกต่างจากคนอื่น ๆ เหมือนมีลายเซ็นต์เป็นของตัวเอง หลังจากที่เราพยายามหามันมานานมาก ๆ และวันนี้เราพบมันจริง ๆ กับเราได้เรียนรู้ว่า วิธีการเขียนของเรามันสะท้อนวิธีการเรียบเรียง วิธีการคิด ประมวลผลของเราว่ามันทำงานแบบไหน ถ้าอ่านบทความเราอาจจะสังเกตวิธีการเขียนของเราได้ว่า Logic มันจะ Flow ลงไปเรื่อย ๆ มีเหตุและผลของมันไปเรื่อย ๆ (อ่านได้ไม่ยาก จาก คำเชื่อมต่าง ๆ ที่เราใช้)
แต่เรื่องที่เรายังแก้ไม่ได้ และ เราไม่รู้ว่า ควรจะแก้มั้ยคือ เราติดการเขียนภาษาพูดลงไปในบทความ ทำให้บทความมันยาวกว่าที่ควรจะเป็น ใช้เวลาเขียน และ Proof นานกว่าเดิมมาก ๆ เท่าที่ลองวิเคราะห์ตัวเองมันเกิดจากสองเหตุ อย่างแรกเราเป็นคนที่อ่อนภาษาไทยอยู่แล้วแหละ เราแยกภาษาเขียนและภาษาพูดไม่ค่อยออก และอีกส่วนหนึ่งเวลาเราเขียนบทความ เราเขียนจากคำพูดในหัวของเรา เรื่องนี้ก็ถูกพี่หลาย ๆ คนช่วยค่อย ๆ เกลา ก็หวังว่ามันน่าจะเข้าที่ได้ลักษณะที่เหมาะสมของตัวเองในเร็ววันละกันเนอะ
อีกขาของ Content เราคือวีดีโอ เราพยายามมากขึ้นเพื่อสร้าง Video Content ที่คุณภาพสูงขึ้น และ หลากหลายมากขึ้น เพื่อพยายามนำเสนอ Content ที่เราต้องการ เลยพยายามไปนั่งปรับวิธีการพูด การวาง Script (เชื่อหรือไม่ ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยเขียน Script ก่อนพูดเลย มาฟิลคนไทยพูดไปเรื่อย พูดยาวเกิน อัดใหม่จนกว่ามันจะได้) และที่สำคัญเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนแนะนำมาคือ การมีภาพประกอบ เพื่อให้มันไม่น่าเบื่อ อันนี้ก็พยายามทำเรื่อย ๆ พยายามปรับ Workflow อยู่เหมือนกัน
เมื่องานมันมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ ใน 1 เดือนเราจะต้องทำ Content ทั้งบทความ และ วีดีโอรวม ๆ กันหลัก 30-35 Content ต่อเดือนเลย นั่นแปลว่า โดยเฉลี่ย 1 Content เราไม่สามารถใช้เวลาเกิน 1 วันได้เลย ซึ่งเราพยายาม Optimise Workflow การทำงานเพื่อให้เราไม่ต้องเสียสละคุณภาพของ Content ไป ทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันน่าจะเป็น One man show ได้อีกไม่นานแล้ว อาจจะต้องเริ่มคิดเป็นธุรกิจ มีการจ้าง Editor เข้ามาช่วยงานเราบ้างไม่มากก็น้อยแล้วละมั้ง
แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ บอกเลยว่า ปีหน้า มันจะไปสุดกว่านี้แน่นอน Content ใหม่ ๆ ทั้งในฝั่งเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ Lifestyle มาแบบฉ่ำ ๆ แน่นอน ใบ้ ๆ ว่า Podcast ที่เราบ่นว่าอยากทำปีก่อน มันบ่มเพาะจนได้ Version ที่เราชอบแล้ว และ Content ฝั่งวิทย์ที่เราอยากทำมันเริ่มมี Style ที่ลงตัวแล้ว ปีหน้าเจอกันได้เลย รับประกันความปั่น สนุกแน่ !!!!!
Even Better Well-being & Self-Caring
ปีนี้เป็นอีกปีที่เราสนใจเรื่องการดูแลตัวเองมาก ๆ ทั้งกายและใจ แบบจริงจังมากกว่าปีก่อน ๆ และ มากกว่าเมื่อก่อนแบบสุด ๆ เพราะเอาจริง ๆ นะ ปีนี้เราอายุ 28 แล้ว เชี้ยแมร่งจะเลข 3 แล้ว พี่ที่ตอนนี้เลข 3 เตือนกันว่า ระวังนะแก เลข 3 แล้วเริ่มน่ากลัวนะเว้ย อะเนี่ย เชี้ยพี่ แมร่งกลัวหัวหดหมดแล้วเนี่ย เลยมาดูแลตัวเองมากขึ้น
เริ่มจากฝั่งกาย เรามีปัญหาเรื่อง Office Syndrome หนักพอตัว เป็นจนเรียกว่าเรื้อรังได้ยังไม่รู้ เอาว่าหนักพอตัวเลย ปีนี้พยายามแก้ปัญหานี้โดยการไปหานักกายภาพเรื่อย ๆ ไปหาคนไหนทุกคนบอกหมดเลยว่า หนักเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่า ๆ ค่อย ๆ รักษาไป เราลองหมดนะ ตั้งแต่กายภาพทั่ว ๆ ไป การกระตุ้นไฟฟ้านั่นนี่ จนไปถึงศาสตร์จีน อย่างการฝังเข็ม ครอบแก้วไปหมดอะ สหเวชปะละ ไปสุด และพบว่า เชี้ย การไปครอบแล้วมันฟินมาก ๆ ตอนเขาเดินแก้ว โอ้ววววว ฟิลกู๊ดดดดดด สุด ๆ ไปเลยเว้ยยย ไปหาลองกันได้
แต่ ๆๆๆ การไปหานักกายภาพมันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เลยเริ่มปรับวิธีการนั่ง การใช้ชีวิตให้มากขึ้น กินบุฟเฟ่น้อยลงจนเพื่อนทัก เริ่มออกกำลังกายมากขึ้น เราว่าปีนี้เป็นปีที่เราออกไปเดินออกกำลังกายมากที่สุดตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้วมั้ง ออกไปเดินฟัง Podcast ไม่ก็ Audiobook เพลิน วันละ 4-5 km ชิว ๆ ไปแล้ว เทียบกับช่วงแรก ๆ เดินสัก 2-3 km เริ่มเหนื่อยแล้ว เอาจริงนะปีหน้า อยากไปวิ่งหรือเดินมินิมาราทอนเหมือนกันดูว่าจะเป็นยังไง
อีกเรื่องที่เราบอกเลยว่า แอบนอยส์ ๆ พ่อแม่นิดหน่อยคือ หน้าตา แบบทำไมพ่อแม่กรูให้น้องมาเยอะจังวะ ถถถถถ ไม่เป็นไร ได้มาน้อย เราใช้เงินและเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เว้ย เราไปเข้าคลินิกทำเลเซอร์นั่นนี่มาหลายปีแล้ว แล้วรู้สึกได้เลยนะว่า หน้ามันดีขึ้นจริง ๆ ประกอบกับความรู้ที่เรียนมาเอามาประยุกต์ทำให้เราเข้าใจกลไกของมันมากขึ้น เลยสามารถดูแลตัวเองเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่เราเชื่อว่าหน้าเราดีขึ้นคือ เรารู้สึกว่า เรามั่นใจมากขึ้นเยอะมาก ๆ แอบรู้สึกว่า เวลาเราถ่ายรูปมาหลาย ๆ ครั้งเราจะกล้าที่จะโดนถ่ายมากขึ้น ไม่อายที่จะเห็นรูปตัวเองเท่าไหร่ละ สนุกกับการอยู่หน้ากล้องมากขึ้น จนบางทีก็คือ รูปตัวเองเยอะไปหมด ฮ่า ๆ
ในฝั่งของ Mental Health เอง เราว่าปีนี้ เราเรียนรู้คำว่า ช่างแมร่งมึง ได้มากขึ้นมากจริง ๆ อย่างที่เราเคยบอกว่า เราเป็น Perfectionist มากเกินไปจนบางครั้งมันส่งผลมาถึง Mental เราเคยเครียดเพราะความไม่ Perfect เล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน (แมร่งแค่ ลูกชิ้นหายไปก็โมโหแล้ว จะไม่โมโหได้ไงวะ ทุกวันนี้แมร่งให้มา 1-2 ลูกเองอะ) หรือกระทั่งในงานเองยิ่งหงุดหงิดหนัก แต่พอปีนี้ เราเริ่มเรียนรู้มากขึ้นว่า เอาจริง ๆ เราก็พยายามทำให้มันดีที่สุดแล้วเว้ย มันดีที่สุด ณ เวลาที่เราตัดสินใจแล้ว เหตุที่เรารู้สึกว่าเราไม่พอใจในตอนนี้คือ เรามีข้อมูลตัดสินใจมากขึ้น ถ้า ณ ตอนนั้นเรามีข้อมูลเหมือนวันนี้ เราก็จะไม่เลือกทางที่เราเคยเลือกไปใช่มั้ยละ นั่นคือเหตุที่ทำให้เราเลือกที่จะไม่ Blame สิ่งที่เราเคยตัดสินใจในอดีต เสียใจได้ ร้องไห้ได้ เรียนรู้จากมัน นำไปแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ใช้สิ่งที่เราเคยร้อนกับมันเป็นแรงพลักทำให้เราไปได้เร็ว ไปได้ไกลขึ้น สุดท้ายนะ มันทำให้เรานอนหลับในแต่ละคืนได้จริง ๆ มันวิเศษสำหรับเรามาก ๆ
ปีหน้า : กูจะเก่งให้ได้มากกว่าแม่มึง
Quote of the year ของปีนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เราอยากในปีหน้าแบบสุด ๆ เลย คือ "ไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึงแล้ว" ตั้งแต่เราเรียนจบ ป.โท มา เออ แมร่งก็จริงนะ ใครมันจะเก่งเท่าแม่มึงวะ โลกนี้แมร่งมีอะไรที่เราไม่รู้เยอะมาก ๆ เรื่องที่เรารู้มันมีน้อยมากจริง ๆ เลยอยากให้ปีหน้าเป็นปีแห่งการเรียนรู้ เติบโตขึ้นไป จนเก่งกว่าแม่มึง แล้วไปชี้หน้าด่า และอินี่ด่ากูสาระแน แล้วหยุมหัวมัน หยอก ๆ เอาจริง ๆ มันทำให้เราคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่วันไหนเราจะต้องไปทำอะไรพิเศษ ๆ เราจะตื่นเด้งดึ๋งขึ้นมาตอนเช้าวันนั้นทุกครั้ง แค่ว่า เราทำให้วันแบบนั้นมันเกิดทุกวัน มีเรื่องใหม่ ๆ ให้เราได้ตื่นเต้น ได้เรียนรู้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ดีเนอะ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องความชิบหาย หรือเรื่องดี ๆ ก็ตาม
อย่างที่เราเคยพูดเมื่อปีก่อนว่า เราเป็นคนโชคดีมาก ๆ ที่เรารู้ว่าเราอยากทำอะไร เราก็ยังยืนยันแบบนั้นอยู่นะ มี Long-Term Goal ของตัวเอง Next Step ของเราที่สำคัญในปีหน้านี้น่าจะเป็นเรื่องเรียน PhD แหละ หลังจากมีนั่นนี่เข้ามาหลายปีมาก ๆ มันถึงเวลาแล้วแหละที่ Next Step อย่างการเรียน PhD ถ้าใครอยากได้เด็ก PhD ปั่น ๆ ไอเดียหลุดสุดขอบจักรวาล เล่าเรื่องแบบคนไทยพูดไปเรื่อยเก่ง ก็มาทางนี้เลอ !!!
เรื่อง Content และงานเขียนต่าง ๆ เราก็จะพยายามเขียนต่อไป ถึงแม้ว่า.... เราจะเข้าไปเรียนแล้วก็เถอะ เดี๋ยวจะได้เจอกับอานนท์ร่างทองอีกครั้งในไม่ช้าแน่นอนฮ่า รอบนี้บอกเลยว่า ร่างทองแมร่งจะเป็นทองล้าน k แล้วค่าาาา
สรุป : ปีแห่งการลงทุน และผลกำไรที่เริ่มออกดอก
หลังจากปีก่อนที่หลาย ๆ เรื่องช๊อตฟีลสุด ๆ ทำให้เรารู้จักที่จะทำทุกอย่างให้ช้าลง เลิกหมุนตามโลก แล้วค่อย ๆ กลั่นกรองอย่างระมัดระวังมากขึ้น เราเรียกว่าเป็นเหมือนการลงทุนด้วยการเปลี่ยนความเชื่อที่เราโตมาทั้งชีวิต แล้วไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่า มันจะถึงเวลาที่เราได้เห็นผลของมัน ได้เห็นหลาย ๆ อย่างที่เราอึกอักในการทำให้มันช้า มันได้ผลตามที่เราต้องการ Process หลาย ๆ อย่างพอมันได้หยุดอึกนึงมากรองให้ มันกลับพาเราพุ่งทะยานออกไป ถึงปีนี้มันไม่ได้อะไรที่เป็น Touchable Achivement เป็นชิ้นเป็นอันหรือ Milestone ขนาดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็เรียกว่าเป็น Achivement ที่เราภูมิใจอันนึง มันเป็นเหมือนแรง เป็นกำลังใจที่ทำให้เราอยากพุ่งไปข้างหน้า อยากที่จะเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ (ถึงแม้ว่าจะชอบพูดติดตลกว่า อายุไขน่าจะไม่เกิน 30 อะ เพราะปากแบบนี้เนี่ย !!!) และยังคาดหวังนะว่า สิ่งที่เราเริ่มหว่านเมล็ดมันในวันนี้ มันคงจะส่งผลกับเราในอนาคตสักวันละมั้งนะ ก็รอดูละกันว่า ชีวิตมันจะพาเราไปเอเรื่องบ้าอะไร เรื่องสนุกอะไร แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรอะนะ มันก็เป็นชีวิตเรา บางอย่างเราควบคุมไม่ได้ก็ช่างแมร่งมันไปบ้างแหละ ไม่งั้นมานั่งหัวร้อนกับทุกเรื่องปวดหัวตายห่า....
และสุดท้ายเหมือนกับ Year in Review ของเราทุกปีคือ เราแนะนำให้ทุกคนลองรีวิวปีนี้ของเรากันว่า เราเจออะไรมาบ้าง มันทำให้เราเรียนรู้อะไรจากมัน และ ปีหน้าเราจะทำอะไร เป็นเหมือนกับการ Recap ปีนี้ย่อ ๆ เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ และ ปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีกในปีหน้า กับมันเป็นเหมือนสมุดบันทึกความเป็นเราในแต่ละปี เมื่อเราย้อนกลับมาอ่าน มันก็จะเห็นว่า เราเก่งขึ้น เราโตขึ้นไปในทุก ๆ ปี และสุดท้าย ก็สวัสดีปีใหม่ต้อนรับปี 2024 กันด้วยนะครับ