Year in Review 2020 สวัสดี 2021
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องมาเขียน Year in Review อีกครั้ง ประโยคที่ว่า จะหมดปี 2020 แล้วคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ละมั่ง ปีก่อน ๆ อาจจะบอกว่า เออ ใช่แหละ แต่ปีนี้คือเป็นปีที่หนักมากสำหรับหลาย ๆ คนรวมถึงเราด้วย
การมาของ COVID-19
เปิดมาช่วงต้นปี โรคระบาดที่มาจากจีนก็เข้ามาระบาดอย่างรุนแรงในประเทศเรา จน ณ วันที่เราเขียนก็กลับมาระบาดหนักอีกรอบแล้ว เพราะการระบาดของมันนี่แหละ ทำให้เกิดการ Lockdown หลายสถานที่ หลายเดือนอยู่ แผนหลาย ๆ อย่างก็ถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย แผนของเราเองก็หายไปหลายเรื่องมาก ๆ เช่นการอยากทำรายการใน Youtube ที่พาออกไปข้างนอก วางแผนซะดิบดี ก็คือ พับเก็บ หมด
พอ Lockdown การวางแผนหลาย ๆ เรื่องก็เปลี่ยนไป ไหนจะเรื่องการทำงานที่จากเดิม เราอาจจะวิ่งไปวิ่งมา โน้นนี่นั่น ก็ต้อง Work From Home เหมือนคนอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่า การทำงานอยู่บ้านนั้น มันมีสิ่งยั่วยวนใจมากกว่าการนั่งทำงานในที่อื่นมาก แล้วพอต้องมาทำงานที่บ้าน แรก ๆ ได้งานน้อยอย่างไม่น่าเชื่อเลย ก็ต้องปรับตัวกันไป
ไหนจะเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป พอเราไม่ได้ออกไปข้างนอก หลาย ๆ เรื่องก็เปลี่ยนไป เช่น การออกกำลังกายที่เราอาจจะออกไปเดินข้างนอกไม่ได้ หรือ การเจอเพื่อน ๆ อะไรมันก็เปลี่ยนไป ก็แอบเซ็ง ๆ เบา ๆ เหมือนกันเนอะ
พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
บางคนอาจจะมองว่า การระบาดของ COVID เป็นวิกฤติที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับหลาย ๆ คน แต่ถึงจุดนึง เรากลับมองมันเป็นโอกาส โอกาสที่เราจะทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราอาจจะไม่ได้ทำในชีวิตปกติ ทำให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เยอะมาก
เริ่มตั้งแต่การทำ Podcast ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่าง ประวัติศาสตร์เม้าท์มอย ที่ทำได้อยู่ช่วงนึงในตอนที่กำลัง Lockdown พอคลาย Lockdown เราและรุ่นน้องที่ทำด้วยกัน ก็ต่างต้องมีงานที่ตัวเองต้องทำเลยทำให้หายไปเลย แต่เราก็คุยกันแล้วว่าจะกลับมาทำกันต่อรอติดตามได้ จากการที่ได้นั่งทำ เราบอกเลยว่าเราสนุกมาก ๆ มันทำให้เรามองภาพประวัติศาสตร์เปลี่ยนไป คิดมากขึ้นว่าทำไมคนนั้นถึงเลือกที่จะทำแบบนั้น ทำไมอีกคนถึงเลือกที่จะทำอีกอย่างอะไรแบบนั้นเราสนุกมาก
ไป ๆ มา ๆ ก็ควักเอาความรู้ที่เรียนจากวิชา Embedded ตอน ป.ตรีมาใช้ มานั่งต่อพวก ESP กับ NodeMCU มานั่งทำ Sensor ใช้เองในบ้าน จนลามไปถึงการนั่งทำ Machine Learning Model เพื่อ Predict เรื่องต่าง ๆ เช่นการผลิตไฟของ Solar Cell และอื่น ๆ มากมายไปหมด บางทีก็คิดนะว่า นี่เรามาถึงจุดนี้ได้ไง จนอยากที่จะเปิดบริษัทที่รับทำ Smart Home โดยเฉพาะเลยทีเดียว ฮ่า ๆ
Productivity จงกลับมา
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก COVID คือ การ Work From Home หรือการทำงานจากบ้าน โดยปกติแล้ว เราจะไม่จัดบ้านให้มันน่าทำงานได้ทั้งวันขนาดนั้น เพราะเรารู้ว่า โดยปกติแล้วเราจะทำงานข้างนอกมากกว่า แต่พอเราต้องมานั่งทำงานในบ้าน หลาย ๆ อย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไป
อย่างแรกคือ บรรยากาศในการทำงาน ต้องยอมรับว่า บ้าน มันคือที่ ๆ เราอาศัยอยู่ จะให้มันมีบรรยากาศของความน่าทำงานเท่ากับที่ทำงานเลย มันก็ไม่น่าได้ขนาดนั้น แต่สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดกับเรื่องนี้คือ การสร้างบรรยากาศของการทำงานให้ได้มากที่สุด เราก็เริ่มจากการจัดโต๊ะ ให้เหมาะกับการทำงานซะเลย ตอนนี้รวม ๆ แล้วโต๊ะก็ดูสวยดีฮ่า ๆ
นอกจากนั้น ที่เมื่อก่อน เราไม่ชอบนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานในบ้านนาน เป็นเพราะ เก้าอี้กับโต๊ะที่มันไม่เข้ากับตัวเรา ทำให้เวลาเรานั่งไปนาน ๆ เราจะเจอกับอาการปวดบ่า ปวดหลังหนักมาก ๆ ยิ่งบวกกับความที่ปวดอยู่แล้วมันทำให้หนักกว่าเดิมมาก ๆ ทำให้เราเลือกที่จะไปซื้อเก้าอี้สำหรับนั่งนาน ๆ เลย ตัวที่เราเลือกคือ Steelcase Gesture ตอนนั้นก็คือ ต้องสั่ง Online มา เหมือนเป็นผู้ช่วยชีวิตเราเลย เพราะหลังจากที่ใช้นั่งทำงานเป็นเวลาหลายเดือน อาการปวดบ่า ไหล่ และ หลังของเราดีขึ้นมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่นั่งทำงานนานขึ้น
เรื่องนึงที่ทำให้การทำงานที่บ้านมันดีกว่าการทำงานในที่ทำงานคือ การพักระหว่างงาน เราสามารถทำได้แบบชิว ๆ บางทีเราอาจจะลงไปซักผ้าทิ้งไว้ หรือบางทีเราอาจจะลงไปอบผ้าทิ้งเอาไว้ แล้วกลับไปทำงานต่อ มันก็ทำให้รู้สึกว่าได้พักนะ เพราะเราได้เดินออกจากงาน ได้ลุกออกไปที่อื่น ในขณะเดียวกัน งานบ้านที่เราอาจจะต้องใช้เวลาในช่วงกลางคืนทำ มันก็หายไป เราก็จะมีเวลาในการพักมากขึ้น เหมือนกับพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสนั่นเอง
Thesis โอ๊ยยย ปวดส์หัวววววว
จากปีก่อนที่บอกว่า เราจะรีบทำ Thesis ให้จบ แต่เอาความเป็นจริงมันไม่เป็นไปตามนั้น มันมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นมาให้เราต้องแก้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของการทำงานทางวิทยาศาสตร์ หรือต้องทำงานกับความไม่รู้อยู่แล้ว วันนี้เราตั้งสมมุติฐานว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ แต่พอเราทดลองออกมาจริง ๆ มันไม่ได้เป็นเหมือนที่เราคิด มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย แน่นอนว่า เราเจอเรื่องแบบนี้ในทุก ๆ วัน
ถามว่า เรายอมแพ้มั้ยก็ไม่นะ จริง ๆ ตรงข้าม เพราะเราสนุกกับมันมากตรงที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนึง แต่พอความจริงเห้ย มันไม่ใช่หว่ะ ทำให้เราอยากที่จะตั้งคำถามและหาคำตอบจากมันได้เรื่อย ๆ กับค้นพบว่า จริง ๆ แล้วการทำงานวิจัย มันเป็นเรื่องที่เราชอบมาก เราสนุกกับมันมากจริง ๆ แต่ก็นะ เวลาไม่เคยรอใคร เพื่อนบางคนที่เข้ามาเรียนในปีเดียวกันก็เริ่มทะยอยจบกันหมดแล้ว แน่นอนว่า เราก็ควรจะรีบ ๆ จบได้แล้ว อย่ามัวแต่โอ้เอ้ ไปเรื่อย
อ่านหนังสือเยอะขึ้น
เรื่องนี้เกิดจากช่วงนึงที่นอนไม่ค่อบหลับ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ก็เลยต้องลองหาอะไรบางอย่างทำ ไปอ่านมาหลาย ๆ คนแนะนำว่า ควรจะละเว้นจอก่อนที่เราจะนอนสักชั่วโมงนึง นี่คิดนานมาก จะทำอะไรดีนะ ที่ไม่ต้องมองจอ...... จะบอกว่าฟัง Podcast สุดท้ายมันก็ต้องมองจอเพื่อที่จะเลือกเปิดมาฟัง เลยตัดทิ้งไป
สุดท้าย อันที่น่าจะ Make Sense ที่สุด ก็คือการอ่านหนังสือ นี่มานั่งเขียน Year in Review เลยมานั่งนับ ปรากฏว่า อ่านไป 136 เล่ม ก็แอบตกใจตัวเองที่อ่านไปเยอะขนาดนั้น แต่ผลที่ได้คือดีกว่าที่คิดมาก นอนหลับเร็วขึ้น และ ตื่นมาสดชื่นขึ้นเยอะ
สุขภาพ และ Project การลดน้ำหนักที่ยังคงล้มเหลว
สุขภาพ ถือว่าดีขึ้นมาก ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะการ Work From Home ที่ทำให้เรามีเวลาในการทำอะไรต่ออะไรมากขึ้น เอาเรื่องสุขภาพกายกันก่อน โรคที่คนรุ่นเราหลาย ๆ คนเป็นกันคือ Office Syndrome เราเองเป็นหนักมากจนรู้สึกเมื่อยตลอดเวลาเลยทีเดียว
พอเป็นมาก ๆ เข้า มันทำให้ Productivity มันแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด บางทีนั่งทำงานได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องลุกไปโน้นไปนี่ หรือบางทีมันเมื่อยจนไม่มีอารมณ์ทำงานเลยก็มี ทำให้เราต้องหาวิธีจัดการละ ซึ่งวิธีที่เลือกตอนแรก เราไปหานักกายภาพก่อน ซึ่งมันก็ดีขึ้นแต่มันก็ยังไม่เร็วขนาดนั้น ประกอบกับมีรอบนึง เราดันไม่ว่างวันที่นัดพอดี เลยทำให้ขาดนัดไป วิธีนี้เลยปัดตกไป
จนนำไปสู่อีกวิธีคือ ก็ไปหาหมอเลย เพราะมันไม่ไหวแล้ว หมอก็เลือกที่จะฝังเข็มให้ แต่เป็นฝังเข็มแบบตะวันตกนะ ฝังออกมาครั้งแรกคือ มันแอบปวด ๆ ตรงที่ฝังไปหน่อยนะ แต่พอจับ ๆ กด ๆ ดู เห้ย จากตอนแรกที่กดบ่าแล้วไม่ลงเลย แข็งจัด ฝังไปรอบเดียว กด ๆ โหหห นิ่มกว่าเดิมเยอะมาก แต่ ๆ การรักษามันก็แค่ส่วนนึง พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน
จากเดิมที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ก็เลยต้องออกกำลังกายเยอะขึ้น โดยเฉพาะการใช้ท่าที่ยืดกล้ามเนื้อ ประกอบกับความ Work From Home ทำให้ Fitness โดนปัดตกไป ประกอบกับช่วงนั้น Ringfit นางกำลังมาเลยจ๊ะ จะมีหรือที่เราจะไม่กดมันมา ใช่แล้ว เรากดมาเล่นได้ช่วงนึงเลย (เดือนนึงน่ะ ฮ่า ๆ) วันนึงเล่นไปครึ่งชั่วโมง ผ่านไปเดือนนึงน้ำหนักลงไปหลายขีดจนน่าตกใจเหมือนกัน
แต่สุดท้ายพอปลด Lockdown เราก็ไม่มีเวลาที่จะเล่นเหมือนเดิม หรือจริง ๆ ก็คืออ้างไปงั้นแหละ เลยทำให้ตอนนี้ Ringfit นอนอย่างเหงา ๆ อยู่บ้านไป แต่ก็มีความพยายามที่จะกลับมาเล่นเหมือนเดิมนะ ลองเล่นไปครั้งนึง ปวดกล้ามเนื้อมาก เลยเลือกที่จะ ใช้พวก Foam Roller ช่วยในการคลายกล้ามเนื้อให้มันดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเล่นจริงจัง
ในเรื่องร้าย ๆ ก็ยังคงมีเรื่องดี ๆ เสมอ
อย่างที่เราทุกคนประสบหลาย ๆ เรื่องเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี เราก็จะมองมันแค่มุมนี้เท่านั้นแหละ แต่เรามองเป็นอีกมุมคือ ในเรื่องร้าย ๆ มันก็มีเรื่องดี ๆ ให้เราเสมอละ
ใครจะคิดว่า การที่เราต้องอยู่บ้านตลอดเวลา ทำให้เรามานั่งทำบ้านให้เป็น Smart Home ได้ขนาดนั้น ใครจะไปคิดว่า มันจะทำให้เราอ่านหนังสือได้เยอะมาก ๆ ใครจะคิดว่า มันทำให้เราได้ทำอะไรที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน เพียงเพราะการอยู่บ้านเท่านั้น จะเห็นว่า ใช่ COVID เป็นเรื่องไม่ดี แต่อีกมุมของมันทำให้เราได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยได้ทำ ได้มีโอกาสในเรื่องที่ไม่เคยมีโอกาสทำนั่นเอง
ปีหน้าทำอะไรดีนะ
ปีหน้า เราอยากให้เป็นปีที่ดี อยากให้เป็นปีของการเริ่มต้น และ ต่อยอดเรื่องราวใหม่ ๆ โดยเฉพาะสิ่งที่มีโอกาสได้ทำในปีนี้ เป็นเหมือนการเปิดหน้าต่างบานเก่าแล้วกระโดดออกไปหาโอกาสใหม่ ๆ เช่นการทำ Smart Home ให้เป็น Solution จริง ๆ และ เรื่องที่สำคัญมาก ๆ คือ การเรียนปริญญาโทให้จบ จบเถอะนะ 3 ปีแล้ว ต้องจบแล้ว
ส่วน Blog เองเราก็บอกตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะทำให้จริงจังมากขึ้น ตอนนี้เราก็ทำได้เท่าที่ทำได้แล้ว เราก็คาดหวังว่า ปีหน้าเราก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก ๆ ปีนี้เราทำเรื่องของการลง Content ให้ตรงเวลาได้แล้ว ปีหน้าเราอยากให้ Content ของเรามันน่าอ่านมากขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น สัญญา ว่าเราจะไม่หยุดฮ่า ๆ
อย่างที่เล่าว่า ปีนี้อ่านหนังสือเยอะมาก ๆ หลังจากอ่านหนังสือ เราชอบที่จะเอามาคิดต่อว่า ความรู้ หรือเรื่องที่อ่านมันเอามา Apply กับชีวิตเราได้ยังไงบ้าง มันก็เหมือนกับการถอดบทเรียนนั่นเอง ทำให้ปีหน้า เราอยากทำ Podcast ที่จะมาถอดบนเรียนจากสิ่งที่อ่านมาให้ทุกคนฟังกัน
สรุป : ปีที่ทำให้รู้ใจตัวเองมากขึ้น
เพราะการมาถึงของ COVID-19 ทำให้ชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ อะไรที่วางแผนว่าจะทำ ก็ต้องพับเก็บไป แต่มันก็นำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ เช่นกัน ตั้งแต่การได้ออกกำลังกาย การได้กลับมาอ่านหนังสือก่อนนอน และ การได้ทำ Project ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน ทำให้ชีวิตของเรายังคงสนุกในทุก ๆ วันที่ตื่นมา การได้อยู่บ้านมากขึ้น ทำให้เราใช้ชีวิตคนเดียวมากขึ้น ช่วงเวลานี้แหละ ทำให้เราได้คุยกับตัวเองมากขึ้น ได้เข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเราท่ามกลางความวุ่นวาย ที่ตอนนั้นเราอาจจะไม่ได้แม้แต่หันกลับมาเหลียวมองด้วยซ้ำ เหมือนได้ถอดบทเรียนของการใช้ชีวิตตัวเองที่จะทำให้เราเติบโต และ เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น เก่งขึ้น ในวันต่อไป
ก่อนจะไปทุก ๆ ปีก็ยังคงแนะนำให้ทุกคนลองเขียน Year In Review ของตัวเองเก็บไว้อ่านกันนะครับ มันจะทำให้เราเห็นว่าในปี ๆ นั้นมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ที่สำคัญมันเป็นเหมือน Log ที่ทำให้เรานึกออกว่าสิ่งใดที่ผิดพลาดเราก็จะแก้ไขในปีต่อ ๆ ไป สิ่งใดดีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีต่อ ๆ ไป สุดท้ายจริง ๆ ก็สวัสดีปีใหม่ 2021 นะครับขอให้เป็นปีที่มีความสุขสำหรับทุกคนนะครับ ✨