หลังจากมะนาวโซดา ไปโซดามิ้นท์กันแล้วชะลอวัยกี่โมง
มีน้องที่รู้จักกันมาเล่าให้ฟังว่า มันมีลัทธิกิน โซดามิ้นท์ กันแล้วหวะทุกคน ฟังครั้งแรกคือ ห่ะ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย หลังจากมะนาวโซดาฆ่ามะเร็ง วันนี้แมร่งมาโซดามิ้นชะลอวัยกันแล้ว วันนี้เราจะมาเล่าให้อ่านกันว่า คนที่เขาอ้าง เขาอ้างว่ากินยังไง ทำไมถึงมีผลแบบที่เขาบอกได้จริง และเราจะเล่าในเชิงวิทยาศาตร์ทางการแพทย์ว่า ทำไมมันอันตรายกว่าที่ทุกคนคิด
TLDR; กินตามแพทย์สั่งเด้อ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร อย่าไปกินค่าาาาาา สรรหานัก อีตัวต้นเรื่อง !
โซดามิ้นคืออะไร ?
สำหรับคนที่อาจจะยัง งง ว่า มันคืออะไร มันคือ เอาน้ำโซดาใส่มิ้นท์ลงไปแล้วดื่มเหรอ จริง ๆ ไม่ใช่นะ มันเป็นสารตัวนึงที่มีชื่อว่า Sodium Bicarbonate (NaHCO3) หรือภาษาบ้าน ๆ ที่เราเรียกกันว่า ผงฟู ที่ใส่ตอนทำพวกขนมปัง ขนมเค้กให้อบแล้วขึ้นฟูนั่นเอง
โดยปกติแล้ว ถ้าเราไม่ใช้ในการทำขนมอะไรพวกนั้น เอามาใช้ในเชิงการแพทย์ ในประเทศของเรามันจัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นยา สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาปกตินี่แหละ ใช้สำหรับรักษาในผู้ป่วยโรคไตทั้งหลาย เช่น CKD เป็นต้น
ซึ่งตัวที่ขายอยู่ในประเทศไทยเราตอนนี้ 1 เม็ด 300 mg ประกอบด้วย โซเดียม 82mg และอีก 218g เป็น Bicarbonate ที่ทำให้เป็นด่าง
นอกจากนั้น เรายังสามารถพบ Sodium Bicarbonate ได้อีกที่คือ ยาผสมรูปแบบอื่น ๆ เช่น Eno ที่เรากินกันตอนหลังกินอาหตารเยอะ ๆ แล้วท้องอืด ก็มีด้วยเหมือนกันแต่ ใน 1 ซองมันมี Sodium Bicarbonate ประมาณ 2 กรัมนิด ๆ กับที่เหลือเป็นพวกสารปรุงแต่งรสชาติ กับพวกสารที่ทำให้เกิดฟองตอนที่เราเทลงในน้ำอีกนิดหน่อย
คำเคลมมันว่าไงนะ ?
ด้วยความสงสัย เราเลยไปนั่งดู ตต กับเลื่อน ๆ หาในเฟส ทะลุเข้าไปดูในกลุ่มลัทธิแดกโซดามิ้นท์เลย คือ ขอเรียกว่า ลัทธิ เลยดีกว่า เพราะยิ่งอ่าน ยิ่งปวดหัวมาก ๆ เรามาสรุปให้อ่านกันก่อนว่า เขาเคลมการกินโซดามิ้นท์มันช่วยอะไร จริง ๆ ถ้าไปลองดูสรรพคุณครอบจักรวาลเลย แต่เราขอหยิบตัวที่ มันแพร่ไปเยอะ ๆ มีทั้งหมด 3 สรรพคุณใหญ่ ๆ ด้วยกัน
ตัวแรก เขาเคลมว่า เดี๋ยวนี้เรากินอาหารที่ประกอบด้วยกรด เยอะมากขึ้น เช่น เนื้อไก่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีก ในนั้นมันมีกรดยูริก (Uric Acid) มาก พอเวลาเป็นกรดมาก ไตของเราก็จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับกรดส่วนเกินออกจากร่างกาย พอมันทำงานหนักสะสมเป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้เราเป็นโรคไต และโรคอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย เ_ดเข้ ! การกินโซดามิ้น ก็จะช่วยทำให้ร่างกายเราเป็นด่าง ลดการทำงานของไตลงได้
ตัวที่สอง เขาบอกว่า ทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมาขึ้น เพราะ เวลาเราออกกำลังกาย หรือเป็น Office Syndrome ภายในกล้ามเนื้อมักจะมีกรดยูริกอยู่ การกินโซดามิ้นเข้าไป จะทำให้ลดกรดในกล้ามเนื้อของเรา ก็จะทำให้เราออกกำลังกายได้ดีขึ้น ใช้กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
และอันสุดท้าย แมร่ง Mega Clever มากเข้าไปอีก คือ บอกว่า การที่เลือดและของเหลวในตัวของเราเป็นกรด ทำให้เซลล์ในตัวเราอักเสบ ส่งผลให้เซลล์ของเรามันแก่ลงเร็วกว่าคนอื่น ๆ พอเซลล์แก่ตัวลงก็ยิ่งเสี่ยงทำให้เกิดเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้นอี๊ก ดังนั้นการกินโซดามิ้น ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ก็จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลของเหลวในตัวของเรา ทำให้สามารถทั้ง ชะลอการแก่ตัวของเซลล์ ลดโอกาสการเกิดมะเร็ง และโรคไตตามมา เออ เอามันสิวะ ! กูละเหลือเชื่อ !
แล้วถามว่า กินยังไง เขาบอกว่า ให้กินครั้งละ 4 เม็ด 3 เวลาไปเลย จุก ๆ แปลว่าวันนึง กินเข้าไป 12 เม็ด โอ้ววววววว มันไปสุดจริง ๆ (ผู้ป่วยโรคไตยังไม่กินขนาดนั้นเลยอะ) เราอ่านแล้วคือ ไอ้ชิบหาย ! หนักเลยนะ !
ร่างกายเราเก่งกว่านั้นเยอะ กินเพื่อ !!
เราต้องบอกว่า ร่างกายของเราเก่งกว่านั้นเยอะ มันมีกลไกในการ ปรับสมดุลกรดเบสด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว โดยอาศัย ปอด และ ไต เราไม่ต้องเสนอหน้าเข้าไปช่วย (เว้น เรามีภาวะบางอย่างที่ทำให้กระบวนการของร่างกายทำงานผิดปกติ) ร่างกายเรารักษาสมดุลกรดเบส เช่นในไตเรามีกระบวนการ การดูดและกรอง Bicarbonate ที่เป็นด่าง และ ปอดมีกระบวนการในการแลกเปลี่ยน CO2 ที่เป็นกรด ให้เป็น O2 ได้ และยังมี Pathway อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีก ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งอะไรกับมัน
ถ้าบอกว่า การออกกำลังกายทำให้เลือดเราเป็นกรดมากขึ้นจากกรดยูริกในกล้ามเนื้อของเรา ที่แพร่ไปสู่กระแสเลือด ซึ่งมันก็จริง แต่ร่างกายจะรู้ตัวแล้วไปเร่งอัตราการหายใจของเราให้สูงขึ้น เพื่อเอา CO2 ที่เป็นกรดออกไปจากกระแสเลือดให้เร็วที่สุด ดังนั้น คนเรามีกระบวนการจัดการอยู่แล้ว ไม่ต้องกินเพื่อให้เราอึดขึ้นหรอกนะ
ทีนี้ ถ้าเรากินโซดามิ้นท์เข้าไป แล้วบอกว่า นี่นะมันทำให้ไตเราทำงานเบาลง อะ กลับไปที่ปริมาณ Sodium ใน 1 เม็ด 300 mg มี Sodium อยู่ 82 mg กินวันละ 12 เม็ด แปลว่า ใน 1 วันเราจะได้รับ Sodium เพิ่มอีก 984 mg โดยใน 1 วัน เราไม่ควรรับเกิน 2,300 mg ต่อวัน เอ๊ะ มันก็ไม่ได้เดือดร้อนนิ แต่อย่าลืมว่า Sodium ไม่ได้มาจากแค่โซดามิ้นท์ แต่มาจากอาหารของเราได้เช่นกัน ซึ่งวัน ๆ นึง เรามั่นใจว่าคนส่วนใหญ่กินเกิน 1,000 mg ต่อวันแล้ว นั่นแปลว่า ยิ่งกิน ยิ่งเพิ่มงานให้ไตมากขึ้น ไม่ใช่ทำให้ไตเราทำงานน้อยลงนะ
นอกจาก Sodium ที่เพิ่มขึ้นแล้ว อย่าลืมว่า เรายังเหลือ Bicarbonate ที่เป็นด่างอีก ยิ่งกินเยอะ ๆ ของเหลวเราจะเป็นด่างมากขึ้น ส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะ Alkalosis หรือภาวะที่ร่างกายเราสูญเสียความเป็นกรดมากเกินไป ทำให้อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว หายใจลำบาก มึนงง จนไปถึง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ก็เรียกว่า บั้ยบายได้เลยทีเดียว หากกินแล้วรอด ยังอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยาวได้อีกด้วย
ส่วนเรื่องการชะลอวัย เราเห็น หลายสำนักยก Paper หัวข้อ Effects of pH alterations on stress- and aging-induced protein phase separation ขึ้นมา แต่หลังจากเราไปหาอ่านเพิ่ม มันก็ยังไม่มีหลักฐานอื่น ๆ ที่ดูน่าเชื่อถือ มาสนับสนุนเลย สั้น ๆ คือ ในเรื่องนี้ข้อมูลเรายังน้อยเกินไปที่จะสนับสนุนคำเคลมนี้มาก ๆ
ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุที่ร่างกายเรามีกระบวนกากรักษาสมดุล กรด-เบสของร่างกายเราผ่าน ปอด และ ไต อยู่แล้ว ประกอบกับผลการออกฤทธิ์ในด้านการชะลอวัยที่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ช่วยจริงหรือไม่ และ ถ้าช่วย ต้องกินเท่าไหร่ ไม่ทราบ แต่รู้เรื่องนึงว่า ถ้าเรากินเยอะไป ทำให้ Sodium เราสูงขึ้น ตัวบวมน้ำ ไตทำงานหนัก และ ทำให้ของเหลวในร่างกายเราเป็นด่างมากขึ้น ส่งผลที่แย่ที่สุดถึงชีวิตได้ ถามว่า เราจะกินมันเพื่อสรรพคุณที่เรายังไม่รู้ และส่งผลถึงชีวิตได้จริง ๆ เหรอ ไปคิดเอาละกัน เราว่าคนเรามีวิจารณญาณอยู่แล้ว
BONUS: การมีงานวิจัยไม่ได้แปลว่า มันได้ผลจริง หรือ ปลอดภัย
จากการ Research ลัทธินี้อย่างจริงจัง และการเข้าไปดูคนกินฉี่มา เราพบว่า เขาพยายามสร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการอ้างอิงงานวิจัย (ตอนอ่านเรื่องกินฉี่ สรรพคุณครอบจักรวาลจนอยากดองฉี่ตัวเองมาดื่มละเนี่ย !) โอเคแหละ ในโลกของงานวิจัย เราอ้างอิงงานวิจัยคนอื่นเป็นเรื่องปกติ หรือการเขียนการมีอ้างอิง ทำให้งานเขียนเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น (เพราะคนเชื่อคนอื่นมากกว่า เชื่อคนเขียน ถถถถถถ หยอก ๆ)
แต่มันไม่ใช่ว่า งานวิจัยทุกงาน มันจะมีคุณภาพ สามารถตอบคำถามด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องทุกตัว ถ้าแมร่งมีการศึกษา การสั่นสะเทือนของน้ำมนต์ปลุกเสกได้ กูว่า แมร่งมีเ_ยอะไรก็ได้ละ เราไม่ได้บอกว่า งานวิจัยที่ดีคืองานที่มันพิสูจน์ถูกต้องเสมอ ผ่านไปล้านปี แมร่งก็ยังถูกนะ วิทยาศาสตร์มันคือการพิสูจน์ วันนึงมีคนค้นพบข้อมูลใหม่ จนได้ข้อสรุปอีกอย่างก็เอามาล้มล้างไปเรื่อย ๆ เป็น Cycle แบบนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่การที่ ข้อสรุปใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์มันจะน่าเชื่อถือ มันจะต้องเริ่มจากการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องทั้งในแง่ของการออกแบบการทดลอง จนไปถึงการสรุปผลการทดลอง ซึ่งบางงานวิจัยอาจจะทำแบบไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ นั่งเทียนเขียนกันออกมา นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมเราจะต้องเรียนวิชา Research Methodology เพื่อให้เราสามารถออกแบบงานวิจัย การทดลอง และการสรุปผลได้อย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง