ทำไมครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรแต่งงานกันเอง ด้วยเหตุทางพันธุศาสตร์

เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อหลายวันก่อนมาก ๆ ละ ที่มาของเรื่องนี้เราไม่เล่าละกัน แต่มันทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมการแต่งงานกันในสายเลือดเดียวกันมันถึงเป็นเรื่องที่ไม่โอเค เราไม่เล่าถึงเรื่องของสังคม จารีตอะไรแบบนั้นนะ วันนี้เราจะมาพูดกันในมุมของพันธุศาสตร์ และ การแพทย์กันว่า มันมีผลดีหรือเสียอย่างไรกันบ้าง

Mendelian inheritance

เวลาเรามองไปที่ตัวเรา หรือคนอื่น เราอาจจะเห็นว่า เขามีลักษณะที่แตกต่างกัน หน้าเรา และ หน้าเพื่อนเราไม่เหมือนกัน หรือกระทั่ง แม่เรา และเราเอง ก็อาจจะมีอะไรที่คล้ายกัน แต่ไม่ได้เหมือนกัน 100% ซึ่งในร่างกายของคนเรา พวกนี้เราเรียกว่า ลักษณะ เช่นพวก สีผิว, สีผม และสีตา ทั้งหมดถูกกำหนดโดย Gene ซึ่งแต่ละ Gene มันก็จะมีทั้งหมด 2 Alleles มาจากพ่อ และ แม่อย่างละ 1

เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า ลักษณะเด่น (Dominant) และ ลักษณะด้อย (Recessive) เราอาจจะเข้าใจว่า ลักษณะด้อย คือลักษณะที่ไม่ดี เช่นเป็นโรคต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียว จริง ๆ แล้ว การที่เราจะบอกว่า ลักษณะนี้เป็นลักษณะเด่น หรือ ด้อย เราต้องมาดูที่นิยามของมันก่อน

ลักษณะเด่นคือ Alleles ที่สามารถแสดงลักษณะของตัวเองได้ แม้ว่า มันจะมีแค่ Copy เดียว กลับกัน ลักษณะด้อย คือลักษณะที่จะต้องปรากฏในทั้งสอง Copy ถึงจะมีการแสดงลักษณะออกมา

เราลองยกตัวอย่างง่าย ๆ เราสมมุติว่า ลักษณะของสีตา ให้ลักษณะเด่นเป็นสีน้ำตาล และ ลักษณะด้อยเป็นสีฟ้าละกัน นั่นทำให้ถ้าคนที่มีตาสีฟ้าจะต้องมี Alleles ที่เป็นลักษณะด้อยทั้ง 2 Copy และ ตาสีน้ำตาล เกิดจากแค่มี Allele สีน้ำตาลแค่ 1 ด้านก็เพียงพอแล้ว

เรายกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเกิด พ่อมีตาสีฟ้า กับ แม่ตาสีน้ำตาล ตัวของแม่เอง อาจจะเกิดจาก Allele ที่เป็นตาสีน้ำตาลทั้งสองด้าน หรือจะเป็นตาสีน้ำตาลด้านเดียว เราลองทั้งสองเคสเลยละกัน

เอาเคสถ้าเกิด Alleles ของแม่เป็นสีน้ำตาลทั้งคู่เลย ดูจากภาพด้านบน เราจะเห็นว่า ถึงพ่อจะมีตาสีน้ำเงิน แต่ลูกออกมา 100% จะมีตาสีน้ำตาลทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราลองสังเกตจะเห็นว่า ตาสีน้ำเงินก็จริง แต่เป็นแบบที่ไม่ได้เป็นตาน้ำตาลเพียว ๆ ซะทีเดียว ทำให้ในรุ่นลูก ถ้าแต่งงานมีลูกต่อ อาจจะได้เห็นตาสีฟ้าอีกครั้งก็เป็นไปได้

กลับกัน ถ้าเกิด Alleles ของแม่มาเป็นสีน้ำตาลครึ่งเดียว แต่ความเป็นลักษณะเด่น ทำให้เราก็จะเห็นว่าแม่ตาสีน้ำตาลแหละ ลูกที่ออกมามีโอกาส 50% จะเป็นตาสีน้ำตาล แต่เป็นสีน้ำตาลแบบ Alleles แบบแม่เลยคือ เป็นน้ำตาลแค่หนึ่ง และอีก 50% ที่เหลือจะเป็นตาสีฟ้า

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลาย ๆ ลักษณะ ก็ไม่ได้ Follow ตาม Simple Mendelian inheritance ที่เราเล่าไปหรอก มันมีพวกลักษณะบางอย่างที่เป็น ลักษณะเด่นร่วมกัน (Codominant) ตัวอย่าง Classic เลยคือ กรุ๊ปเลือดของเรานี่แหละ เราอาจจะมีลักษณะเด่นร่วมกัน เราอาจจะเคยได้ยินคนที่มีกรุ๊ปเลือด AB ใช่มะ นี่แหละคือลักษณะเด่นร่วมกัน

เพราะถ้าเราลองไปดูที่ลักษณะ Alleles ของคนเลือดกรุ๊ป A มันจะเป็นไปได้ทั้ง AA และ AO ในขณะที่กรุ๊ป B เองก็เป็นไปได้ทั้ง BB และ BO เห็นอะไรมั้ยว่า ไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้า A หรือ B มันอยู่กับ O มันจะข่ม​ O ทำให้ O เป็นลักษณะด้อยไป แต่มันก็จะมีเคสที่ AB อยู่ด้วยกันเลยเกิดเป็นเลือดกรุ๊ป AB นั่นเอง (ไว้วันหลังเรามาเล่าเรื่องกรุ๊ปเลือดให้ละเอียดขึ้นกัน)

ตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเกิดว่า พ่อเราเลือดกรุ๊ป O แม่เลือดกรุ๊ป B เด็กที่ออกมา ก็จะมีโอกาสเป็นได้แค่ ไม่ O ก็ B เท่านั้นถูกมะ ถ้าออกมาเป็น A ต้องไปเช็คแล้วนะว่า แม่ได้กับใครรึเปล่า ไม่น่าใช่นะ เรื่องพีคคือ เคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว ปรากฏว่า ชิบหาย I am not your father ค่าาาา จากคุยกันขำ ๆ สัส เรื่องจริง

นอกจากนั้นมันก็ยังมีลักษณะหลาย ๆ อย่างที่เกิดจากหลาย ๆ จุดของ Gene ทำให้เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Mendelian inheritance ได้อีกเยอะ พวกกลุ่มของ Complex Disease เช่นพวก เบาหวาน ความดัน มะเร็งอะไรแบบนั้น

Mendelian inheritance และ การได้กันเองในครอบครัว

เพื่อให้อธิบายแล้วเห็นภาพมากขึ้น เราจะเอาว่า การสืบทอดลักษณะมันเกิดตามรูปแบบของ Mendelian inheritance ละกัน  เราสมมุติ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่คนไทยเป็นกันเยอะ ๆ ดีกว่าอย่างโรค Thalassemia (ธาลัสซีเมีย) เราสมมุติว่า A เป็นลักษณะเด่นที่ทำให้ไม่เกิดความผิดปกติ และ a เป็นลักษณะด้อยที่ทำให้เกิดความผิดปกติ (จริง ๆ อยากใช้ T,t นะ แต่ ตอนวาดรูปลืม ถถถถ)

เราไล่ Family Tree ลงไป เราให้ พ่อ และ แม่ ไม่เป็นโรคเลย แต่พ่ออาจจะมาพาหะของโรคอยู่ ส่วนแม่ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นพาหะเลย ใน Generation แรก เราก็จะเห็นว่า โอเค ไม่มีใครเกิดมามีความผิดปกติเลย ก็ดูจะโอเค มีโอกาสแค่อย่างละ 50% ที่จะเป็นพาหะ และ ไม่เป็นพาหะเลย

งั้นถ้า​ ซวย ๆ หน่อย เราเอา 50% นั้นที่เป็นพาหะ มาแต่งงานกันบ้างละ เราก็จะออกมาว่า 25% ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ได้เป็นเกิดความผิดปกติและพาหะ อีก 50% ไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นพาหะ และ อีก 25% เกิดความผิดปกติ

ไปต่อ สมมุติว่าคนที่เป็นพาหะ จะได้กับคนที่เกิดความผิดปกติ รอบนี้หนักเลยใช่มั้ยฮะ เพราะ 50% เป็นพาหะ และ อีกถึง 50% เลยเกิดความผิดปกติขึ้นมา เราจะเห็นว่า ยิ่งกาลเวลาผ่านไป รุ่นไกลขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะด้อยที่เราสนใจมันเกิดมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือเกิดความผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง

เพิ่มระดับความพีคเข้าไปอีกนะ ในที่นี้เราใช้ลักษณะใดลักษณะหนึ่งในการอธิบายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มันมีแบบนี้เยอะมาก ๆ เรียกว่าทั้งตัวอะ ลอง ๆ คูณความเป็นไปได้เล่น ๆ ดูสิ มันเยอะมาก ๆ เลยนะที่จะเจอกับความผิดปกติ

เรายังไม่นับเรื่องของการสืบทอดลักษณะบางอย่างที่มีความพิเศษเช่น Habsburgs jaw ที่จะขากรรไกรล่างจะยื่นออกมาเยอะ ๆ หน่อยเดี๋ยวเราไปเล่าอันนี้ของ Royal Family ในยุโรปเลย

ดังนั้น การที่เรามีลูกกันเองในครอบครัว เลยเป็นเรื่องที่เสี่ยงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งเรื่องนี้เราว่า ธรรมชาติมันก็มีความฉลาดของมันนะ เพราะถ้าเราลองคิดดี ๆ อะ การที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น มันส่งผลได้ 2 รูปแบบด้วยกันคือ การลดโอกาสในการสืบพันธ์ เช่น การเกิดความผิดปกติเช่นการเป็นโรคบางอย่างที่ทำให้รอดในสภาพแวดล้อมได้ยากขึ้น หรือการมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากกลุ่ม (ถ้าเทียบชัด ๆ ต้องไปดูสัตว์บางชนิดที่โตมา อาจจะมีสี หรือลักษณะบางอย่างที่ต่างจากฝูง ทำให้ไม่มีใครเอา) และ การทำให้สืบพันธ์ุไม่ได้เลย สั้น ๆ คือ หมัน แน่นอนว่า คนเรามันฉลาด ก็ฝืนได้

อ้าว... ก็อาจจะมาจากญาติห่าง ๆ กันป่าว ก็ไม่ได้ ได้กันเองในครอบครัวนิ

อ่านมาตรงนี้ อาจจะสงสัยว่า ก็คนเรามันอาจจะมีบรรพบุรุษร่วมกันนิ ถ้าเราบอกแบบนี้ทุกคนไม่ชิบหายเจออะไรแปลก ๆ ไปหมดแล้วเหรอ ในความเป็นจริงมันมีนิยามของมันอยู่ มันใช้สิ่งที่เรียกว่า Inbreeding Coefficient ในการอธิบาย แต่เราขอไม่เล่าถึงการคำนวณอะไรละกัน มันจะลึกไปหน่อย

เราอธิบายสั้น ๆ ละกันในทางชีววิทยา เราดูง่าย ๆ ถ้าเราเป็นรุ่นลูก เรา และ คู่เราไม่ควรมี ปู่ ยา ตา หรือ ยายคนเดียวกัน  ก็คือ ให้ดูขึ้นไป 3 รุ่น หรือมองในมุมของรุ่นปู่อะ ถ้าหลานแต่งงานกันเองนี่แหละ คือใช่เลย

ถ้าเราเรียนลงไปอะ มันจะมี Pattern อยู่ประมาณ 6 แบบด้วยกันที่เจอเยอะ ๆ ถ้าเราเจอ เราน่าจะฟันธงได้เลยว่า ใช่เลย แบบที่เราเล่าง่าย ๆ ที่สุดคือ First Cousins คือ ปู่ ย่า มีลูกออกมา 2 คน แล้ว 2 คนนั้นก็ไปแต่งงาน แล้วได้ลูกออกมา ลูกที่ออกมานั่นแหละ ได้กันเอง

ในโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนใหญ่ที่เราจะเจอกันคือแบบ First Cousins นี่แหละ เพราะเราว่ามันก็มีแบบไม่รู้กันจริง ๆ นะ เช่นในบางจังหวัด อำเภอ หรือชนเผ่าที่เล็กมาก ๆ ก็คือไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วเราอาจจะมีปู่ หรือ ทวดคนเดียวกันด้วยซ้ำ ดังนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเท่าไหร่ในการที่จะเช็ค ถ้ามันไม่ได้แบบ ชัด ๆ จัง ๆ เช่น พ่อ แม่ คนเดียวกัน พี่น้องได้กันเอง

ถ้าใครอยากอ่านพวกเรื่องของการกระจายตัวของประชากรที่มีการแต่งงานกันเองอะไรพวกนั้นเราอ่านเจอ บทความนี้ น่าสนใจดี

การแต่งงานกันเอง ส่งผลเสียอย่างไร

ก่อนหน้า เราใช้หลักการทางพันธุศาสตร์มาอธิบายไปแล้ว ถามว่า แล้วทางปฏิบัติละ มันทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บางในโลกแห่งความเป็นจริง แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ๆ ทำให้มีการศึกษาในเรื่องของผลกระทบค่อนข้างเยอะ

เอาส่วนที่ตรงไปตรงมากันก่อน คือ มันเพิ่มโอกาสการเกิดลักษณะ Autosomal Recessive หรือลักษณะด้อย ที่เราลองพิสูจน์กันก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการเกิด Congenital Anomalies หรือภาษาไทยเราเรียกว่า ความผิดปกติแต่กำเนิด อาจจะเป็นในแง่ของร่างกายที่มีส่วนที่ผิดปกติ หรือในแง่ของการทำงาน ก็ได้เหมือนกัน [เอามาจาก The prevalence of congenital malformations and its correlation with consanguineous marriages]

กระทั่งก่อนเกิดเอง ด้วยความที่เกิดความผิดปกติในกลุ่ม Congenital Anomalies มันยังส่งผลไปในเรื่องของอัตราการรอดชีวิตของตัวทารกเองด้วย aka. โอกาสที่จะไม่แท้ง นั่นแหละ

หรือเมื่อเกิดมาแล้วก็ยังมีความเสี่ยงต่อกลุ่มโรคบางชนิดได้อีก เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบหมุนเวียนเลือด และ กลุ่มของมะเร็งบางชนิดอีกด้วย

ทำไมการแต่งงานในครอบครัวถึงเกิดขึ้น

หลังจากที่เรานั่งคิดเรื่องนี้ไป เราก็สงสัยว่า เออ ทำไม เราถึงยังแต่งงานกันเองในครอบครัวอยู่ทั้ง ๆ ที่จากประวัติศาสตร์ และ เคสตัวอย่างหลาย ๆ เคสก็บ่งชี้แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพค่อนข้างมาก

จนเราไปอ่าน Paper ฉบับนึงคือเรื่อง A review of the reproductive consequences of consanguinity บอกไว้ว่า การแต่งงานภายในครอบครัวที่เรากล่าวถึงกันไปเนี่ย มันมีไม่น้อยในประชากรโลกของเรานะ ถึง 10% กันไปเลย และในกลุ่มนี้ ถึง 80.6% เป็นบางกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลาง เราเลยหาไปต่อให้ลึกเข้าไปอีกบอกว่า ประเทศปาเลสไตน์, เลบานอน, อียิปต์, อิสราเอล และ ปากีสถาน เรียกว่าเป็นที่ ๆ ยังแต่งงานกันเองในครอบครัวเยอะมาก ๆ อยู่ ทำให้มีการศึกษาถึงผลกระทบของการแต่งงานกันเองในลักษณะนี้บนกลุ่มประชากรในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางค่อนข้างเยอะ  ยกตัวอย่างอันที่เก่าหน่อยละกันอย่าง Consanguinity as a determinant of reproductive behaviour and mortality in Pakistan อันนี้เป็นการศึกษาในปี 1993 ย้อนไปไกลอยู่เหมือนกัน

ประเทศตรงนี้ส่วนใหญ่ก็จะแต่งงานกันเองซะเยอะ เลยทำให้เราเกิดคำถามต่อว่าทำไม เราเลยไปเจออีกงานนึงที่ค่อนข้างใหม่เลยปี 2020 เรื่อง Genetic and reproductive consequences of consanguineous marriage in Bangladesh บอกถึงสาเหตุในกลุ่มที่ศึกษาไว้ว่า สาเหตุหลัก ๆ คือเรื่องของการรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดตัวเอง เพื่อช่วยให้หาคู่ครองได้ง่ายขึ้น สนับสนุนสถานะของผู้หญิง (ต้องเข้าใจเนอะว่า ประเทศแถวนั้น วัฒธรรมชายเป็นใหญ่ยังครองอยู่), ลดต้นทุนการสมรส เราว่าอันนี้น่าจะเป็นภาคต่อของเรื่องสถานะหรือไม่ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ การรักษาความมั่นคงของชีวิตคู่ให้ยืนยาวขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นบริบททางวัฒธรรมที่สำคัญมาก ๆ ในกลุ่ม ตะวันออกกลาง, เอเชีย และ กลุ่มทางแอฟริกาในทะเลทรายซาฮารา

อีกกลุ่มหนึ่งที่ถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้แล้วจะไม่พูดถึงคนกลุ่มนี้ไม่ได้เลย นั่นคือ กลุ่มของ Noble และ Royal Family ทั้งหลาย ในประวัติศาสตร์ เราน่าจะเคยเห็นเรื่องแบบนี้แหละ คือพยายามแต่งงานกันเอง เพื่อรักษาความสายเลือดที่บริสุทธิ์เอาไว้ คำนึงที่เกิดจากเรื่องแบบนี้คือคำว่า Blue Bloods เขาไม่ได้มี เลือดสีน้ำเงินจริง ๆ นะ อย่าเข้าใจผิด จนเราไปคุยกับเพื่อนที่เรียนภาษามา ทำให้รู้ว่า อ้าวชิบหาย คำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในอังกฤษเหรอ

แต่มันเกิดขึ้นในแถบ ๆ ยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 8 โน้นเลย คือเขามีฟิล ๆ ค่านิยมแบบว่ากลุ่มของคนที่เป็นชนชั้นสูงพวกนั้น เขาก็จะไม่ได้ออกไปทำงานกลางแดด (ซึ่งก็ไม่ได้ไปทำจริง ๆ แหละ) ทำให้เขามีผิวที่ซีด ๆ ขาว ๆ จนทำให้เห็นเส้นเลือดที่บางทีมันจะเห็นคล้าย ๆ กับสีฟ้า เลยทำให้มีการเรียกกลุ่มชนชั้นสูงเหมือนเป็นชื่อเล่นว่า Blue bloods กันมา สุดท้ายเวลาผ่านไป ชาวอังกฤษ ก็เลยเริ่มเอามาใช้เรียก Royal Family ของประเทศตัวเองไปเฉย

Classical Case : ราชวงศ์ Habsburgs และการได้กันเองจนราชวงศ์ล่มสลาย

ก่อนหน้านี้เรามีการพูดถึง Habsburg Jaw มาละ เราว่ามันเป็น Classical Case ของคนที่อ่านเรื่องพวกนี้เลยนะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ในแง่ของ กาลเวลา คนที่เป็น และ ผลกระทบทางการเมืองหลาย ๆ อย่าง

เราขอพูดถึงเรื่องเบา ๆ ก่อน อย่างลักษณะพิเศษที่เจอจากเรื่องนี้คือ Habsburg Jaw มันเป็นลักษณะความผิดปกติแบบหนึ่งที่เรียกว่าเป็นลักษณะด้อยละกัน แต่อย่างที่เราคุยกัน เมื่อมีการแต่งงานแบบใกล้ชิดมาก ๆ ลักษณะด้อยมันเลยมีโอกาสเจอสูงขึ้น ซึ่งในราชวงศ์นี้ ก็คือ เพียบ จนทำให้เราเอาชื่อของราชวงศ์มาตั้งเป็นชื่อของลักษณะความผิดปกติไปเลย

Albrecht Dürer, Public domain, via Wikimedia Commons

Habsburg Jaw ลักษณะก็คือ การที่ขากรรไกร ยื่นออกมาเยอะมาก ๆ เมื่อเทียบกับขากรรไกรด้านบน ให้เรานึกภาพว่า เราพยายามจะยื่นฟันล่างออกมาให้เยอะ ๆ แต่ผู้ที่มีความผิดปกตินี้ก็จะมีอาการแบบนี้ตั้งแต่ต้นเลย ทำให้ การพูด และ การกิน เป็นเรื่องยากมาก ๆ

เอาเรื่องของการกิน เราว่าน่าจะจินตนาการง่ายสุด มันทำให้ฟัน บน และ ล่าง ของเราที่ควรจะสบกัน ทำให้เราสามารถเคี้ยวอาหารได้ มันก็สบกันได้น้อยลง ทำให้การเคี้ยว และ กิน อาหารเป็นเรื่องที่ยาก ส่งผลไปในเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพของการใช้ชีวิต ที่เราบอกเลยว่า ยากกว่าคนทั่ว ๆ ไปแน่นอน และ ในยุคนั้นเทคโนโลยีอะไรมันก็ไม่เหมือนปัจจุบันด้วย ก็ยิ่งทำให้ยุ่งยากเข้าไปใหญ่เลย

Portrait of Charles II by Juan Carreño de Miranda, c. 1680, Prado - Public Domain, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=76765595

ศตวรรษต่อมา หลังจากสืบกันไปเรื่อย ๆ จนถึงยุคของ Charles II ที่เรียกว่าเป็นลูกหลานคนสุดท้ายแล้วละ เกิดความผิดปกติหลายจุดมาก ๆ แต่จุดที่หลาย ๆ คนตั้งข้อสังเกตว่ามันเป็นเหตุที่ทำให้สิ้นสุดราชวงศ์นี้เป็นเพราะ ความผิดปกติในเรื่องของฮอร์โมน ที่ทำให้เป็นหมัน, มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง, มีปัญหาเกี่ยวกับพวกระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงภาวะที่เราเรียกว่า Distal renal tubular acidosis (dRTA) หรือก็คือภาวะที่ไต ไม่สามารถที่จะดึงกรดออกจากเลือดเพื่อขับออกทางปัสสวะได้ แน่นอนว่า ส่งผลไปต่อในระบบอื่น ๆ อีกเยอะ เราไม่เล่าต่อละกัน ด้วยความผิดปกติเหล่านี้เลยทำให้เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด

เราว่าความน่าเศร้าของเรื่องนี้คือ ถึงจะมีอำนาจล้นฟ้าล้นโลกอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายความพยายามในการที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดตัวเอง กลับกลายเป็นคนถือพวงมาลัยควบคุมเขาจนล้มสลายไปในที่สุด

ถ้าเราลองไปอ่านดูในราชวงศ์ของหลาย ๆ ประเทศก็มีเรื่องการแต่งงานกันในครอบครัวแล้วเกิดเรื่องกันหลายประเทศมาก ๆ อีก Classical Case คือ รัสเชีย ที่เกิดความผิดปกติที่เรียกว่า Hemophilia หรืออาการที่เลือดออกไม่หยุด เมื่อเกิดแผล หรืออะไรที่ทำให้เลือดออก มันจะเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะหยุดเลือดไม่ให้ไหล ซึ่งคนปกติมันก็จะมีกลไกที่ทำงานเพื่อหยุดอยู่แล้ว

สรุป

ด้วยเทคโนโลยีทางพันธุศาสตร์และการแพทย์ที่ดีขึ้น ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแต่งงานในครอบครัวเดียวกัน มันส่งผลกระทบที่แรงมาก ๆ ต่อรุ่นลูก และ รุ่นต่อ ๆ ไป เพราะต้องแบกรับความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น และจากเรื่องที่เราเอามาเล่า เราจะเห็นเลยว่า ผลกระทบมันคือแรงมาก บางครั้ง อาจจะถึงชีวิตเลยก็ได้ ซึ่งในปัจจุบัน เรามีการขนส่งที่ดีมากขึ้น ข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์ก็น้อยลงเรื่อย ๆ คนไปมาหาสู่กันได้ง่ายขึ้น (แหม่ แกร Tinder Gold ยังพาไปหาผู้ที่ ตปท ได้เลย) นอกจากนั้นการแต่งกันในลักษณะนี้ถูกห้ามในหลาย ๆ ประเทศแล้ว และในกลุ่มของราชวงศ์ และ ชนชั้นสูงในหลาย ๆ ประเทศก็เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้มีการแต่งจากคนนอกมากขึ้น ทำให้ลดปัญหาของที่เกิดจากความผิดปกติเหล่านี้ได้นั่นเอง