ทำไม Apple Ecosystem วงการนี้เข้าแล้วออกยาก มาก กอ. ไก่ ล้านตัว
หลาย ๆ คนบอกเราว่า อยากให้เราป้ายยาคนที่ไม่ได้ใช้ Apple ให้มาโดนสักหน่อย หรือคนที่โดนไปแล้ว อยากให้โดนเพิ่มอีก ในบทความนี้เป็นการสนอง Need ของทุกคนเป็นอย่างดีครับ ใช่แล้ว วันนี้เราจะมาป้ายยา กันว่า ทำไมการใช้งานอุปกรณ์ของ Apple ร่วมกันทั้ง Mac, iPhone, iPad, Apple Watch และอื่น ๆ ทำไมมันถึงทำให้การทำงาน และ ชีวิตของเราง่ายขึ้นมาก ๆ
อุปกรณ์ถูกคิดมาเพื่อทำงานร่วมกันแต่แรก
เรื่องแรกที่เราอยากจะเล่า อันนี้เรานั่งคิดจากประสบการณ์การใช้งานของเราเองเลย คือ องค์ประกอบหลัก ๆ ที่ทำให้ Apple Ecosystem มันดีมาก ๆ ดีกว่าคู่แข่งหลาย ๆ เจ้าเป็นเพราะ เวลาเขาคิด Product ออกมา เขาจะคิดให้มันมีหน้าที่ของมัน และ ไม่ทับ Line กันตรง ๆ เช่น iPad กับ Mac ที่เหมือนจะใกล้กันเต็มตัว แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้ทำงานเหมือนกันซะทีเดียว มันมีบางอย่างที่เราต้องใช้บน Mac และบางอย่างที่ iPad ทำได้ดีกว่า แต่เราจะไม่เจอว่า มันมีชิ้นไหนที่ทำได้ทั้งหมดเลยแน่นอน
พอแต่ละชิ้นมันมีหน้าที่ของมันอย่างชัดเจน เลยทำให้ ถ้าเราต้องการที่จะทำงานทุกอย่าง เช่น ถ้าเราต้องการจะสร้างสรรค์งานพวก Artwork ใช่ เราจะต้องใช้พวกโปรแกรมอย่าง Photoshop ที่มันอยู่บน Mac และใช้งาน Apple Pencil ผ่านการใช้ Sidecar เพื่อทำให้เราสามารถใช้ปากกาในการวาดได้โดยที่เราไม่ต้องไปหาซื้อเมาส์ปากกามาเลย แถมได้เห็นเป็นจอด้วย จะเห็นได้ว่า ต่างคนต่างมีจุดเด่น และ หน้าที่ของมันอย่างชัดเจน เลยทำให้เราไม่สามารถซื้อของชิ้นเดียวแล้วมันจบได้ นี่แหละ มันคิดมา ให้ เรา กด มัน ทุก อย่าง เลย จ๊ะ แม่ !!!!
ทั้งหมดถูกเชื่อมด้วย Software และ Cloud
เราอาจจะเห็นหลาย ๆ เจ้าที่เขาทำ Hardware ออกมาหลาย ๆ อย่าง อาจจะเหมือนกับ Apple เลยที่มี คอมพิวเตอร์, Tablet, โทรศัพท์ และนาฬิกา เอาตัวอย่างใหญ่ ๆ เลยอย่าง Samsung เขามีอุปกรณ์ทั้งหมดนั่นเลยนะ แต่ทำไมคนถึงไม่ได้ Hype กับความเป็น Ecosystem ของมันได้ขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะ มันมีอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป (เอาจริง ๆ มันไม่ได้หาย แต่สู้ไม่ได้) มันคือเรื่องของ Software และ Cloud ที่เป็นเหมือนกาวประสานให้อุปกรณ์ทั้งหมดมันทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นมาก ๆ
ในฝั่งของ Apple เอง เราว่าเขาคิดเรื่องพวกนี้มาดีมาก ๆ โดยการออก Feature หลาย ๆ อย่างที่ทำให้ Software เป็นกาวชั้นยอดในการประสานการทำงานของแต่ละอุปกรณ์เลย เช่น Sidecar ที่เรายกตัวอย่างไปเมื่อครู่ ที่ทำให้เราสามารถแปลง iPad ของเราให้เป็น จอเสริม ของเครื่องเราได้ นอกจากนั้น การทำงานกับ Apple Pencil ที่ทำให้เราใช้ปากกานั่นแหละ ในการวาดเหมือนเมาส์ปากกาได้อีก เป็นกาวชั้นยอดเลย
ส่วนของ Cloud เอง แน่นอนว่าฝั่ง Apple ก็คือ iCloud ที่มันทำการ Sync เรียกได้ว่า แทบทุกอย่างเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ที่ทุกเจ้าทำได้คือ Sync File ข้ามอุปกรณ์กัน จนไปถึงการ Backup ตัวเครื่องทั้งหมดขึ้น Cloud ถ้าเครื่องหาย หรือซื้อเครื่องใหม่ เราก็สามารถที่จะดึง Backup จาก Cloud ลงมา Restore แล้วได้เครื่องที่เหมือนเดิมเลย ทำให้การใช้งานของเราไม่สะดุดแม้เครื่องเดิมเราจะหายไป
พอเอาเรื่องของ Software และ Cloud มาผนวกเข้าด้วยกัน เลยทำให้ Apple มีความแข็งแรงในเรื่องของ Ecosystem เข้าไปใหญ่เลย แต่ถ้าถามว่า แล้วทำไม Brand ที่เรายกตัวอย่างไปก่อนหน้าอย่าง Samsung ถึงสู้ Apple ไม่ได้ ส่วนตัวเรามองว่าเป็นเพราะ Samsung ไม่ได้คุมทั้ง Chain ของ Software เช่นบนโทรศัพท์ และ Tablet ก็ยังใช้ Android ที่ข้อมูลส่วนใหญ่ก็ Sync ผ่าน Google Service ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ทำงานผ่าน Windows ก็ใช้ Microsoft Account Sync เข้าไป ถึงแม้ว่าหลัง ๆ Samsung ก็มี Samsung Account ให้เรา Sync ข้อมูลได้ แต่ต้องยอมรับว่า มันก็ไม่ได้ทั้งหมดสุดท้ายเราก็ยังต้องพึ่งทั้ง Google Account และ Microsoft Account ในการทำงานอยู่ดี User ไม่ชอบการสมัครอะไรเยอะ ๆ แน่นอน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก (ขนาด Apple ID เดียวใช้มันทุกที่ ยังไม่อยากจะทำกันเล้ยยย)
กำแพงมันช่างสูงเหลือเกิน
เมื่ออุปกรณ์ทั้งหลาย รวมร่างกับกาวอย่าง Software และ Cloud ทุกอย่างมันดูเชื่อมดีกันไปหมด จนทำให้ Apple เรียกได้ว่าค่อนข้างมีอำนาจในการควบคุมอะไรหลาย ๆ อย่างเลยก็ว่าได้ มันสบายไปหมด เราเลยมองว่า มันเหมือนเป็นการสร้างกำแพงที่สูงมาก ๆ สำหรับเรา แล้วในนั้นคือ ทุกอย่างมันสวยงามไปหมด เราทำงานกับมันได้ง่ายมาก ๆ เรา Sync ข้อมูลไปโน่นมานี่ได้สารพัดเลย แต่นั่นแหละ มันก็เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้เราต้องซื้อของ Apple เรื่อย ๆ
เช่น เริ่มต้นมา เรามี iPhone แล้วเราบอกว่า เราอยากจะแชร์รูปที่ถ่าย ไปเข้าไฟล์เอกสารของเรา ถ้าเราใช้ Windows เราก็อาจจะต้อง Upload ไปสักที่ เช่น Google Photo แล้วกด Download อีกที แต่มันจะดีกว่าเยอะเลย ถ้าเราใช้ Mac แล้วเราก็แค่ Airdrop กดทีเดียวก็คือถึงเครื่องของเราเลย หรืออาจจะใช้ Feature อย่าง Continuity กด Copy ที กด Paste ที่ Mac รูปก็มาเลย
จะเห็นได้ว่า แค่จุดเริ่มต้นมันก็เดือดแล้ว เหตุการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เลยเชื่อเราเลย เพราะเราโดนมาแล้ว เริ่มจาก Mac ไป iPhone แล้วลามไปเรื่อยเลย จนตอนนี้คือ มีหมดแล้วอะ เราเลยบอกว่า มันเป็นเหมือนกำแพงเลย ที่ทำให้เราไม่ได้ออกไปมองโลกข้างนอกเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่า ข้างในนี้มันสบายมาก ๆ แล้ว แล้วก็ทำให้เราซื้อของมันไปเรื่อย ๆ ยิ่งอยู่นาน ยิ่งออกยากขึ้นไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
เราอยากให้สังเกตอีกเรื่องนึง เวลา Apple ออก Product ออกมา ถ้าเราเทียบกับเจ้าอื่นในตลาด เช่น ตลาดหูฟัง Noise Cancelling ฝั่งของ Apple เองก็จะมี AirPods Pro แต่เจ้าตลาดเลยจริง ๆ อย่าง Sony เอง ต้องยอมรับเลยว่า Feature เขาดีกว่าเยอะมาก ๆ เช่นการรองรับการ Stream เสียงแบบ Hi-Res กับพวก Noise Cancelling ที่ยอมรับเลยว่าดีกว่ามาก ๆ แต่เห้ยยย ทำไมเรายังใช้ AirPods Pro อะ นั่นก็เป็นเพราะถ้าเราใช้งานกับ อุปกรณ์อื่น ๆ มันจะ Auto Connect ให้เราเลย และ ถ้าเราสลับอุปกรณ์มันก็จะสลับให้เราเองหมด แม้กระทั่งบน Apple TV เองที่เราสามารถใช้ AirPods แทนลำโพงของเราได้เลย เหมาะสำหรับคนที่อยู่คอนโด หรือ หอ แล้วอยากดูหนังบนทีวี แต่ไม่อยากให้พ่อต้องนอนสั่น เพราะโดนด่าพ่อง
อุปกรณ์ไหนละที่เหมาะกับการเริ่มต้นป้ายยา ?
เอาหล่ะ เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ทำไม Ecosystem ของ Apple มันแน่นมาก ๆ แล้ว ทีนี้ถ้าเราอยากจะป้ายยาใคร หรือ เป็น M อยากป้ายตัวเอง อุปกรณ์ตัวไหนละ ที่เป็นอุปกรณ์ชั้นเยี่ยมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความหายนะทางการเงินนี้ดีละ
เราแนะนำ iPhone เลย และเราก็มั่นใจด้วยว่า น่าจะเป็นอุปกรณ์เริ่มต้นของใครหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ สาเหตุที่เราแนะนำเป็นเพราะใน iPhone เองมันมีหลาย ๆ อย่างที่เราเรียกว่าเป็น ตะขอ เกี่ยวไว้ไม่ให้เราออกไปง่าย ๆ เช่นการมี iMessage สำหรับ Chat คุยกับคนอื่น ๆ หรือ Facetime ที่ทำให้เรา Video Call ได้แบบดีมาก ๆ คุณภาพสูงมาก ๆ อันนี้ยอมรับเลย หรือจะเป็นพวก Feature ที่มีเฉพาะอย่าง iPhone เลยคือ Face ID อะไรพวกนั้น ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่งอื่น ๆ Feature พวกนี้มันก็จะหายไปหมดเลย เรียกได้ว่ามันมีจำนวนขอเกี่ยวเราเยอะสุด ๆ แล้ว