เมื่อฉันไม่อยากจ่าย Creative Cloud แบ้ว ย้ายไปไหนดี
ถ้าใครที่ใช้พวก Adobe App มา เช่นพวก Photoshop หรือที่เราใช้งานบ่อย ๆ อย่างพวก Lightroom Classic เอาจริงคือ พอมันเป็น Subscription หรือที่เราจะต้องจ่ายรายเดือน เราก็ไม่อยากจะจ่ายเท่าไหร่ เราก็ยังชอบ Software ที่เป็นการซื้อขาดอยู่ดี ทำให้เราเริ่มมองหา Alternative Solution แล้วว่า ถ้าเราไม่ซื้อ Adobe มันจะมีอะไรที่พอจะทดแทน ในราคาที่ดีกว่านี้มั้ยนะ
Affinity Photo กับ Photoshop
งานฝั่งการทำรูป จริง ๆ น่าจะเป็นส่วนที่เรามองหาแรก ๆ ในการหาอะไรมาแทน Photoshop เลยก็ว่าได้ ส่วนตัวเราแล้ว เราใช้งาน Photoshop แค่เรื่องพวกการทำ Thumbnail ทั้งหลายที่เห็นกัน และทำรูปบางอย่างเช่นการเปลี่ยนฟ้าหรือจัด Composition ใหม่บางอย่าง ที่พวก Lightroom ทำไม่ได้
ซึ่งถามว่า ในการใช้งานที่เราพูดถึงไป ถือว่าเป็นการใช้งานแบบเบื้องต้นมากจริง ๆ หลาย ๆ โปรแกรมก็ทำได้แล้วแหละ เช่นฝั่งของ Thumbnail เอง เราสามารถใช้อะไรที่ง่ายกว่านั้นอย่างพวก Keynote หรือ Powerpoint แล้ว Export เป็น JPG ยังได้เลย
หรือในส่วนของการลบพวกจุดที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ การใช้พวก Content-Aware ทั้งหลาย อะโอเคนะ Affinity Photo มันมีมั้ย มันก็มีนะ แต่ว่า มันไม่ได้เก่งเท่า Photoshop จริง ๆ เรื่องนี้ยอมรับเลยว่า Adobe เก่งจริง ๆ กับอีกเรื่องที่มันหายไปคือ Seamless Integration ระหว่าง App เช่น ตอนที่เราทำงานอยู่ใน Lightroom แล้วเราต้องการ Edit Raw บางส่วนเช่น การใช้ Content-Aware มาลบจุดต่าง ๆ แล้วยัดกลับมาที่ Lightroom สร้าง Stack เอง อันนี้คือยากมาก ต้องกดเองหมด เสียเวลาเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่ในสิ่งที่เราได้มาจากการสลับมา Affinity Photo คือ Seamless Workflow เพราะตัว Affinity Photo มันมีทั้งใน macOS และ iPadOS เลย ทำให้เราสามารถที่จะทำงานจาก macOS เสร็จแล้ว เราถ้าเราต้องออกไปทำงานต่อนอกบ้าน เราสามารถที่จะ AirDrop ลง iPad แล้วเปิดขึ้นมาทำงานต่อได้เลย อันนี้ถือว่าสะดวกจริง โดยที่เราไม่ต้องจ่ายค่า Cloud เพิ่มเลยด้วยซ้ำ
ส่วนพวก Feature ลึก ๆ ทั้งหลาย เราไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะเราไม่เคยใช้งานลึก ๆ มาก่อนเลย อ่ออออ กับเรื่องนึงที่เราว่า Affinity Photo มันดีนะ คือ Performance มันดีมาก ๆ เลยนะ โดยเฉพาะกับ macOS รู้สึกเลยว่า ลื่นกว่า Photoshop เยอะมากเลยละ
เอาหล่ะสุดท้าย มาถึงราคากันดีกว่า ตัว Affinity Photo ราคาอยู่ที่ 54.99 USD สำหรับ Windows และ macOS หรือก็คือ 1,915 บาทกว่า ๆ เท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงเลยนะ กับถ้าเราอยากทำงานบน iPad ด้วย เราก็จ่ายอีก 21.99 USD หรือ 765 บาท แปลว่า รวม ๆ ถ้าเราเอาทั้งชุดเลยก็ทั้งหมด 2,680 บาท ถ้าเราบอกว่า เราทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก ในราคานี้ เรามองว่าไม่แย่เลยนะ ใช้ได้อยู่เหมือนกัน
Lumina Neo กับ Photoshop Lightroom Classic
อีก App นึงก็ยังอยู่ในการทำงานรูปเหมือนเดิม แต่เป็น App หลัก ในการแต่งรูปเลยก็ว่าได้ นั่นคือ Lightroom Classic ซึ่ง Feature ที่เราใช้งานหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือการจัดการ Catalog และ การ Develop รูปภาพเลย ซึ่งในตลาดมีอยู่หลายตัว ถ้าเอาดัง ๆ เลย Capture One อันนี้ดีจริง ใช้กันเยอะในกลุ่มพวก Studio เลยละ แต่เราไปเจออะไรที่เจ๋งกว่านี้อีกคือ Lumina Neo มันเจ๋งมาก ๆ
Lumina Neo มันใช้พวก AI เข้ามาเพื่อทำให้เราแต่งภาพง่ายกว่าเดิมเยอะมาก ๆ เช่นพวกการทำ Face Light กับการทำพวก Portrait Bokeh ที่ทำได้ง่าย ๆ เลยละ โดยเฉพาะ Portrait Bokeh ที่เป็นการแยก Foreground ออกจาก Background แล้วเบลอ เหมือนเราถ่ายด้วยกล้องใหญ่ เมื่อก่อนบอกเลยว่า ทำได้ยากมาก เพราะต้องทำเองหมด (ทำมาแล้ว โคตรเหนื่อยเลย) อันนี้แค่ ลาก ก็เสร็จเลย
ทำให้การแต่งรูปมันสนุกมาก ๆ เรื่องของการทำ Adjustment เราว่า Lumina Neo ทำได้ง่ายกว่าและดีกว่า Lightroom เยอะมาก แต่ๆๆๆๆๆ เรื่องนึงที่พอเราจะเปลี่ยน เราเสียดายมาก ๆ คือ พวก Preset ที่เราทำไว้ แง๊ มันดีมากเลยนะ ซึ่งแน่นอนว่าเราเอาไปไม่ได้แน่นอน
เรื่องเดียวที่เราว่า Lumina Neo ยังสู้ Lightroom ไม่ได้เลย เรียกว่าห่างไกลเลยคือส่วนของการจัดการ Catalog เลย เรื่องนี้เรายกให้ Lightroom เลย มันทำ Catalog ได้ดีกว่ามาก ๆ พร้อมกับพวกระบบการจัดการูปที่ละเอียดมาก ๆ เช่นการ Flag ต่าง ๆ ที่ทำให้เวลาเราทำงานกับ Project ขนาดใหญ่ เราจะทำได้ง่ายมาก ๆ
อีกเรื่องที่ Lumina Neo หรือเจ้าไหน ๆ เราก็ยังหาไม่เจอเรื่องจุดแข็งนึงของ Adobe คือทุก ๆ App มัน Integrate กันได้แน่นมาก ๆ เช่น ถ้าเราอยู่ใน Lightroom แล้วเราต้องการตกแต่งแบบยาก ๆ หน่อย ไม่ได้แค่ทำ Adjustment ซึ่งแน่นอนละว่า Lightroom มันทำไม่ได้อยู่แล้ว มันเลยความสามารถไปไกลเลย หน้าที่นี้มันจะตกไปที่ Photoshop ทันที ซึ่ง Lightroom มันก็มีตัวเลือกให้เราสามารถยิงไปที่ Photoshop แล้วทำงานต่อได้ พอเราเซฟมันก็จะกลับมาที่ Lightroom ให้เราเลย แล้วเราก็ทำงานต่อได้เลย อันนี้คือเรื่องของความ Seamless Integration ที่เจ้าไหนก็ยังให้ไม่ได้นอกจาก Adobe ณ วันที่เขียน
แต่ถามว่าเราเดือดร้อนกับการจัดการ Catalog ของ Lumina Neo มั้ย ก็ไม่นะ ดังนั้น มันเลยอยู่ใน List ของเราเองได้ยังไงละ ฮ่า ๆ เอาหละ ไปที่ราคากันบ้างดีกว่า อยู่ที่ 57.78 USD หรือประมาณ 2,000 กว่าบาทได้ อะ เอาวะ ก็ยังโอเคนะ เราชอบเลย ได้การ Adjustment ที่โหดมาก ๆ เราก็ได้อยู่นะ ไม่ขัด
Final Cut Pro X กับ Adobe Premiere Pro
เราต้องบอกก่อนว่า คู่นี้เราไม่ได้ใช้งานจริง ๆ เพราะเราตัดวีดีโอด้วย Final Cut อยู่แล้ว เลยเทียบยากเหมือนกัน แต่เราเคยลองใช้ Premiere อยู่เหมือนกัน ตอนนั้นเราคิดว่ามันแอบยากพอสมควรเหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะไม่ชินมากกว่าแหละ งั้นเราไม่บอกละกันว่าอันไหนต่างกันยังไง
แต่เรื่องนึงที่เราอยากจะยกมาก็คือ Performance เลย ต้องยอมรับว่า Final Cut มันเป็น Software จากฝั่งของ Apple เองดังนั้น การรีด Performance มันทำได้ดีกว่ามาก ๆ ถ้าเราใช้เครื่องที่รัน macOS ไหนจะเรื่องของพวก Hardware Encoder/Decoder ที่อยู่บน Macbook Pro รุ่นใหม่ ๆ ที่เราใช้งานด้วย ดังนั้น มันไม่มีเหตุอะไรเลยที่เราจะต้องไปลอง Premiere ในตอนนี้เลย
ส่วนของราคา Final Cut Pro X เอง ถ้าเรากดจาก App Store เลย เราก็จะเสียอยู่ที่ 10,900 บาท ถือว่าสูงใช้ได้เลยนะ แต่สำหรับงานทั่ว ๆ ไปไม่ได้ Professional อะไรเรามองว่า การใช้ iMovie ที่มากับ macOS มันก็เพียงพอแล้วละ พวก Final Cut Pro มันสำหรับงานที่ Professional จริง ๆ
Sketch กับ Adobe Illustrator
และคู่สุดท้ายที่เราใช้ ก็จะเหมือนกับเคสก่อนหน้า Final Cut Pro X เลยคือ เราไม่เคยใช้ฝั่ง Adobe จริง ๆ จัง ๆ มาก่อนเลย ก็คือ Illustrator สำหรับการวาดพวก Vector ที่เราเห็นกันใน Blog พวกนั้นแหละ ซึ่งเราใช้ Sketch ที่เป็น App สำหรับวาด Vector เหมือนกัน
หลัก ๆ แล้ว Sketch เรารู้สึกว่า มัน User-Friendly มากกว่า (อย่างน้อยก็กับเราอะนะ) รู้สึกใช้ง่ายกว่าเยอะ แต่เดาว่า Feature มันอาจจะไม่เก่งเท่ากับ Illustrator เท่าไหร่ แต่ในแง่ของการใช้งานแล้วเราค่อนข้าง Happy กับ Sketch มากกว่า
นอกจากนั้น เรายังใช้ Sketch ในการทำพวก UI Design ทั้งหลายด้วย พวกนี้มันมี Feature หลาย ๆ อย่างที่ช่วยทำให้เราออกแบบ UI ทั้งหลายง่ายขึ้นเยอะมาก ๆ
แต่เรื่องที่น่าเสียดายคือ ณ ตอนนี้ Sketch ไม่ได้ขายเป็นแบบซื้อขาดแล้ว มาขายเป็น Subscription เหมือนกับ Adobe เลย แต่เราซื้อก่อนหน้านั้นมันเลยยังไม่โดน Convert เป็น Subscription เหมือนกัน รอดตัวไป แต่ถ้าถามว่า Sketch ถ้าเราโดน Subscription เราโอเคมั้ย เราก็โอเคนะ เพราะราคามันอยู่ที่ 9 USD ต่อเดือน หรือ 312 บาทกว่า ๆ เองนะ ถือว่าไม่แย่เท่าไหร่
สรุป
เรื่องนึงที่เรายอมรับเลยว่า Adobe มันดีจริง ๆ นะ แต่ค่า Subscription อาจจะไม่เหมาะกับเราที่เราใช้งานน้อยมาก ๆ และรู้สึกว่ามันใช้ไม่คุ้มเท่าไหร่ การหา Alternative สำหรับเรา ดูเหมือนจะแพงนะ เพราะเราจ่ายเงินก้อน แต่ถามว่า มันคุ้มมั้ย เราก็มองว่ามันคุ้มกว่า วันนึงที่เราใช้งานมันเยอะ ๆ การซื้อ Adobe อีกครั้งมันก็ได้เหมือนกัน แต่วันนี้เราก็ขอใช้แบบนี้ไปก่อนละกัน ประหยัดงบหน่อย เงินน้อย