รีวิว inCharge 6 พ่อทุกสถาบันของสายชาร์จ

สายชาร์จ น่าจะเป็นปัญหาสำหรับใครหลายคนที่มีอุปกรณ์หลายชนิดเยอะมาก เพราะ หัวชาร์จของแต่ละชิ้น มันก็ใช้หัวไม่เหมือนกันอีก ตั้งแต่ Micro-USB, USB-C และ Lighting ของ Apple เอง ทำให้สร้างความปวดหัวขั้นสุดในการ พกสายชาร์จของอุปกรณ์ที่เรามี วันนี้เรามารีวิว inCharge 6 ที่เป็น พ่อทุกสถาบันของสายชาร์จเลย

แกะกล่อง inCharge 6 และ inCharge 6 Max

inCharge 6 เขาผลิตออกมาเป็น 2 รุ่นคือ รุ่นธรรมดา กับ Max ซึ่งจะต่างกันที่ความยาว โดยรุ่นธรรมดา จะยาวแค่ประมาณไม่กี่เซนติเมตร ในขณะที่รุ่น Max ความยาวอยู่ที่ 5 ft. หรือ 1.52 เมตร เผื่อใครต้องการความยาวเยอะ ๆ

เริ่มที่ตัวเล็กก่อนละกัน ตัวกล่องบอกเลยว่า เล็กมาก ๆ (ก็ของข้างในเล็กจะทำกล่องใหญ่เพื่อ !!) ตัวกล่อง จับ ๆ แล้วจะเป็นพลาสติก ที่จะเขียนว่า inCharge 6 สกรีนอยู่ที่หน้ากล่องเลย

ส่วนด้านหลัง ก็จะเป็นพวกรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมกับบอกว่า Design ใน Swiss และ แน่นอน ผลิตในจีน ฮ่า ๆ กับมี QR Code สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้าเว็บของเขา

พอเราเลื่อนกล่องด้านในออกมา เราจะพบกับตัวสายที่วางอยู่อย่างสวยงาม อื้อ ในกล่องมีเท่านี้เลย

และสำหรับตัวใหญ่อย่าง inCharge 6 Max ก็จะคล้าย ๆ กัน วัสดุเหมือนกัน ต่างแค่ขนาดของกล่องเท่านั้นเลย

แต่ด้านหลังมีการเพิ่มรายละเอียดในเรื่องของการเชื่อมต่อเข้าไปด้วยว่ามันเชื่อมต่ออะไรยังไงได้บ้างมาให้เรา แค่นี้แหละ หมดแล้ว

inCharge 6

บอกเลยว่า จับเจ้าสาย inCharge 6 ครั้งแรก แล้วรู้เลยว่า มัน Premium มาก ๆ เพราะที่หัวทั้ง 2 ข้างนั้นทำมาจากโลหะทั้งหมดเลย จับแล้วหรูมาก ที่ด้านข้างของหัวด้านนึง ก็จะมีการยิงยี่ห้อไว้ด้านข้าง ย้ำว่าเหมือนใช้ Laser ยิงมาก เพื่อเพิ่มความสวยงาม แต่ปัญหามันมากับ ความสกปรกได้ พอมันเป็นร่องเล็ก ๆ คราบอะไรมันก็จะติดได้ง่ายกว่า

พลิกไปที่ด้านนึง เราจะเจอกับ USB-A อยู่ ถ้าเราลองดูที่หัวดี ๆ เราจะเห็นว่า มันจะมีสาย และมันกันสายหักด้วย พลาสติกอีกชิ้นนึงก่อน และ ถึงจะเป็นหัวที่เป็นโลหะ ทำให้มั่นใจได้พอสมควรว่า หัวของสายจะไม่หักง่าย ๆ แน่นอน

เมื่อเราดึงแยกมันออกมา รู้เลยทันทีว่ามันเป็นแม่เหล็ก ที่ผู้ผลิตเคลมว่า เป็น Neodymium ซึ่งเป็นแม่เหล็กที่เกรดดีมาตัวนึงเลย

ถามว่า ไหนบอกว่า มันจะมีหัวหลายแบบให้เราใช้ไง แล้วมันอยู่ไหน เห็นมีแค่ USB-A เป็น USB-C สำหรับด้านที่เป็น USB-C เราก็เห็นเป็นแค่นั้นแหละ

แต่ถ้าเราลองดึงมันออกมา เราจะเจอกับ หัว Lighting สำหรับใช้กับ Apple Device บางชนิด และ เราสามารถเอาหัวนี้เสียบกับอุปกรณ์ที่เป็น Micro-USB ได้ด้วย มันเป็นหัว Combo นอกจากนั้น ความดีงามอีกอย่างคือ เมื่อเราดึงหัวออกมาแล้ว หัวมันก็ไม่ได้ไปไหน มันก็จะติดกับสาย ทำให้เรา ไม่ต้องไปหาที่เก็บ

ปลายอีกด้าน ที่เราเห็นว่าเป็น USB-A พอเราดึงออกมา เราจะเจอกับ USB-C เช่นกัน นั่นทำให้เจ้าสายตัวนี้เป็นเหมือนสายแบบ 6-in-1 เลย

ตัวที่เราเอามาให้ดูมันเป็นสีดำ แต่นางยังมีอีกสีนึงเป็นสี Nebula Chrome ที่จะเป็นสีพิเศษ ตอนเราสั่งมันจะให้เรากดเพิ่มได้อีกที

ซึ่งความแตกต่างจะอยู่แค่ที่สีเท่านั้นเลย ที่จะเป็นสีเงิน Metallic เงา ๆ สะท้อนได้

ถ้าเราเอามาเทียบกับสีดำ ส่วนตัวเราก็ชอบสีดำมากกว่า เพราะมันเป็นดำด้าน เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งานด้วยส่วนใหญ่มากกว่า แต่สี Metallic ก็สวยอีกแบบ อันนี้เราว่าขึ้นกับความชอบของแต่ละคนดีกว่า

ที่ด้านข้าง ก็จะเหมือนกันเลย นั่นคือการยิงรุ่นเอาไว้เหมือนกับสีดำ

เรื่องของความยาวก็ไม่ต้องกลัว มันเท่ากันไม่ได้ต่างกัน วัสดุของสายเองก็เหมือนกัน

inCharge 6 Max

inCharge 6 Max จะไม่ต่างจาก Version ที่เป็นเส้นสั้นเลย เพิ่มเติมคือความยาวที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น โดยจะมีการเพิ่มที่พันสายมาให้เราด้วย เผื่อเราต้องการเก็บสายให้เรียบร้อย

ความดีงามของสายคือ มันเป็นสายแบน ทำให้การเก็บมันกินพื้นที่น้อยลง และเก็บง่ายขึ้นไปอีก พอเพิ่มความสามารถในการติดกันของหัวด้วยแม่เหล็ก ก็ยิ่งทำให้การเก็บสายสามารถทำได้ง่ายเข้าไปอีก

ประการณ์การใช้งาน

เราได้ลองใช้ก่อนมาเขียน Blog นี้ไม่กี่วัน พบว่ามันเป็นสายที่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นมาก ด้วยความหลากหลายในการเชื่อมต่อ อย่างเราเอง เราใช้ iPhone ที่เป็น Lighting และ iPad ที่เป็น USB-C ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราต้องพกทั้งสาย USB-C และ Lighting ไปเป็น USB-C และ USB-A ทั้งหมด 4 เส้น เพื่อให้เราสามารถชาร์จจาก Adapter ที่เป็น USB-C และ Power Bank ที่เป็น USB-A ได้ เอาตรง ๆ คือ มันไม่สะดวกเลย

ที่ผ่าน ๆ มา เราเจอสายที่ 1 เส้นมีหลายหัวมาเยอะแล้ว แต่ละอันมันก็ไม่ได้มีคุณภาพที่ดี และ Design ต่าง ๆ มันก็ไม่ได้ทำให้เราเชื่อเลยว่า ชาร์จ ๆ ไปแล้วเครื่องมันจะไม่ระเบิด

พอมาใช้ inCharge 6 ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นหายไปเลย และ ยังทำให้สาย 4 เส้นที่เราต้องพกเหลือเจ้า inCharge 6 เพียงเส้นเดียว

ความสะดวกต้องบอกเลยว่าดีงามมาก ๆ ประกอบกับตัวเส้นสั้น เราว่ามันพกพาง่ายมาก ๆ เพราะ มันเล็กมาก ๆ และ ไม่ห้อยไปห้อยมา ทำให้เราอาจจะเอาใส่พวกกุญแจยังได้เลย (แต่ระวังรอยขนแมว) แต่สำหรับเราพก เราก็ไม่ได้เอาไปห้อยอะไรแต่อย่างใด กลัวเป็นรอย

หรือเส้นยาวเอง เราว่า เอาไปเสียบใช้ในบ้าน ก็ทำให้อะไร ๆ มันง่ายขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะ บ้านเรา ที่จะมีปลั๊กพ่วงตรงบาร์กินข้าว เราก็เอาสายนี่แหละ เสียบทิ้งไว้ แล้วพอใครมานั่ง ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์แบบไหน ก็เสียบได้หมด ไม่ต้องมาหาสายให้ยุ่งยาก

หรืออีกที่ ๆ ที่เราเอาเส้นยาวไปใช้คือ ข้างเตียง บางทีเราจะชอบ เล่นโทรศัพท์ หรือ iPad บนเตียงบ้าง แล้วต้องการที่ชาร์จ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคือ ต้องเดินไปเดินมา เพื่อจะไปเอาสายชาร์จ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันก็จะหมดอารมณ์เล่นพอดี

ข้อจำกัด และ ปัญหาที่พบ

ข้อจำกัดของมัน เราว่ามีข้อเดียวเลยคือ Maximum Power ที่มันขนส่งได้แค่ 15 Watts เท่านั้น ทำให้ถ้าเราจะเอาไปใช้กับ Laptop บางตัว อย่างเราใช้ Macbook Pro 13-inch 2018 ที่ต้องใช้ไฟ ขนาด 60 Watts ก็จะใช้ไม่ได้ เสียบแล้วติดนะ แต่มันจะขึ้นว่า Battery ไม่ชาร์จ

นั่นทำให้ การชาร์จมันก็ได้แค่นั้นแหละ โดยเฉพาะกับอุปกรณ์ที่รองรับ Fast Charge บางชนิด ที่เกิน 15 Watts หรือต้องการ Protocol พิเศษก็จะใช้ไม่ได้นะ อย่าง iPad Pro 11-inch รองรับ Fast Charge ที่ 27 Watts พอมาใช้สายนี้เสียบก็จะชาร์จได้ แต่มันก็จะช้าลง ถ้าเราใช้ Adapter อันเดิม หรือก็คือ เราดึงประสิทธิภาพของ Adapter ได้ไม่สุดนั่นเอง

อย่าง iPhone 11 Pro Max ที่เราใช้อยู่ มันรองรับ Fast Charge ที่ 18 Watts ทำให้ การชาร์จ มันก็แอบช้าลงนิดหน่อยแหละ แต่ก็ไม่ได้มากขนาดสัมผัสได้เท่าไหร่

แต่ถ้าเราไปเสียบกับอุปกรณ์ที่ใหญ่ขึ้นอย่าง Nintendo Switch ที่ Adapter มาตรฐานมันมาที่ขนาด 39 Watts พอมาเสียบผ่านสาย inCharge 6 ก็คือ รู้เลยว่า ชาร์จช้ามาก ๆ

นอกจากนั้น ความหัว Function เยอะของมัน ยังทำให้ความกว้างของหัวก็เยอะขึ้นนิดหน่อย ส่งผลให้ มีปัญหากับอุปกรณ์ หรือ เคส บางชนิดที่อาจจะมีช่องว่างสำหรับเสียบที่น้อย

ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นหัว Lighting เมื่อเราเทียบกับ สายของ Apple เอง เราจะเห็นเลยว่า หัวของ Apple จะมีขนาดเล็กกว่า inCharge 6 ประมาณนึง ทำให้สายของ inCharge 6 อาจจะมีปัญหากับเคสบางชนิดได้

เคสที่เราเจอปัญหาแล้วคือเคสของ CaseIsMyLife ที่พอเสียบ แล้วมันจะไม่แน่น เดี๋ยวหลุด ๆ อยู่นั่นแหละ ตอนแรก นึกว่าปัญหามันอยู่ที่สาย แต่พอ เราเอาเคสออกแล้วเสียบตรง ๆ เลย ปรากฏว่า อ้าวแน่นเฉย แสดงว่าเป็นที่เคสนั่นเอง แต่ถ้าใครที่ใช้เคสแบบ ที่ด้านท้ายไม่ได้ปิดเลย อันนี้จะไม่มีปัญหาแน่นอน เสียบปุ๊บ มันจะล๊อคเหมือนสายของ Apple เลย

จริง ๆ แล้วปัญหานี้ น่าจะเป็นปัญหา Classic สำหรับสายที่มีหัวหลายแบบอยู่ เพราะหัวแต่ละแบบ ขนาดมันจะไม่เท่ากัน ทำให้สุดท้าย การออกแบบก็ต้องอิงตามขนาดของหัวที่ใหญ่ที่สุดอยู่ดี (ถ้าสายมันแยกออกมาเป็นแฉก ๆ ไม่นับ)

inCharge 6 และ inCharge 6 Max เป็นสายที่เหมาะกับการพกพามาก ๆ

inCharge 6 และ inCharge 6 Max นั่นเป็นสายชาร์จที่โคตรจะสะดวกมาก ๆ ด้วยความสามารถในการรองรับอุปกรณ์หลาย ๆ แบบได้ในเส้นเดียว ความทนทานคือดีย์ เพราะหัวที่ทำจากโลหะ และเสริมกันสายหักด้วยพลาสติกแบบ TPU แถมตัวสายยังเป็นสายถักที่ความทนทานอยู่ในระดับที่ดี (ไม่นับพวก Fibre ที่ทน ๆ ดึงรถได้ไม่นับ พวกนั้นโหดไป) ความสวยงาม ถือว่าดีมาก ๆ เมื่อเทียบกับสายอื่น ๆ ที่เราใช้มา วิธีที่ใช้ในการออกแบบหัวคือชอบมาก ลูกเล่นดี รวม ๆ แล้ว ถือว่าเป็นสายที่ดีมาก ๆ สำหรับการพกพา ถึงแม้ว่าจะใช้ไม่ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องการไฟมากกว่า 15 Watts อย่าง Laptop และ ถ้าใครอยากได้ ตอนนี้ในไทย ยังไม่มีขายแบบ Official ต้องสั่งผ่าน Indiegogo เท่านั้น