รีวิว ZuperDAC-S DAC ไซส์เล็กพลังช้าง
เมื่อสิ้นปีที่แล้วก็ได้ Google Pixel 2 XL มาใช้แทน Sony Xperia X Compact ถ้าใครที่ใช้โทรศัพท์ Sony ก็จะรู้ว่าเสียงของโทรศัพท์ Sony มันดีย์กว่าโทรศัพท์ทั่ว ๆ ไปเยอะอยู่พอสมควรและสเปกมันก็ยังตามมาตรฐาน Hi-Res Audio ด้วย ทีนี้แหละพอเปลี่ยนมาใช้ Google Pixel 2 XL กับ Dongle ที่มันมาให้ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่!! ฟังแล้วหงุดหงิด ถ้านึกภาพไม่ออก เมื่อก่อนเราอาจจะรู้สึกว่าดูวีดีโอที่ 360p มันโอเคใช่ม่ะ แต่ลองมาดูตอนนี้สิจะรู้สึกเลยว่า อะไรฟร๊ะ !! มันจะหงุดหงิดมาก ๆ เสียงก็เหมือนกัน คนอื่นไม่รู้ว่ารู้สึกมั้ย แต่เรารู้สึกนะ ปฏิบัติการตามล่าหา DAC ที่ถูกใจจึงเกิดขึ้น
หลังจากได้ไปลองที่ร้านมั่นคงมาหลายตัวก็โอเคถูกใจอยู่ แต่ราคาและ Form Factor ของมันที่ใหญ่และต้องชาร์จไฟก็ทำให้คิดหนักเหมือนกัน เพราะส่วนตัวเป็นคนที่ฟังเพลงเยอะมาก ไม่ว่าจะตอนนั่งทำงาน หรือแม้กระทั่งเดินทางก็ตาม ทำให้ขนาดและนำ้หนักจึงเป็นเรื่องสำคัญ พร้อมทั้งการที่ต้องชาร์จไฟก็ทำให้ปวดหัวไปหมด เพราะตอนนี้อะไร ๆ ก็ต้องชาร์จไปหมดไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะ iPad ไหนจะ Laptop แม้แต่นาฬิกาก็ตาม ระหว่างที่ตามหาก็มีรุ่นน้องคนนึงส่งลิงค์ใน Indiegogo มาให้เป็น DAC จาก Zorloo ที่ตรูเกิดมายังไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อนี้เลย ราคาที่น่าคบ และเป็น Early Bird ที่ทำให้ราคาถูกลงไปอีก
DAC คืออะไร ?
ก่อนที่เราจะไปกันถึงอุปกรณ์ ผมจะมาเล่าก่อนละกันสำหรับคนที่ไม่รู้จัก DAC
DAC หรือ Digital-to-Analogue Convertor ก็ตามชื่อเลยมันเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ Digital ให้กลายเป็น Analog อ่าใช่ หน้าที่มันมีเท่านั้นจริง ๆ ถามต่อว่าทำไมเราต้องแปลง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการฟังเพลง
How Digital-to-Analogue Convertor works
คำตอบคือ เพลงที่เราฟังจากอุปกรณ์จำพวก เครื่องคอมพิวเตอร์, Tablet, โทรศัพท์ และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย ก็ใช้การเก็บข้อมูลแบบ Digital ทั้งหมด ถ้าให้หูฟังมันเล่น 0101010101 แน่นอนเราคงฟังไม่ออกแน่ ๆ ทำให้ระหว่างอุปกรณ์ และหูฟังของเรามันต้องมีอุปกรณ์บางอย่างมาคั่นกลางเพื่อให้มันแปลงจาก 010100110 ให้กลายเป็นอะไรที่เราฟังรู้เรื่อง ซึ่งอุปกรณ์นั่นก็คือ DAC หูฟังที่เราใช้กันนั่นเอง
ในปกติอุปกรณ์ที่สามารถขับเสียงเพลงออกมาได้มักจะมี DAC มาในตัวอยู่แล้ว แต่คุณภาพของเสียงที่ได้อาจจะไม่เท่ากับที่เราต้องการ ถ้านึกภาพง่าย ๆ เหมือนกับเราดูวีดีโอที่ความละเอียด 360p กับ 720p เราก็คงจะบอกว่า 720p ดีกว่า เพราะมันให้ภาพที่คมกว่าแน่ ๆ (โดยที่ใช้จอเดียวกันนะ)
เวลาเราดู Spec ของ DAC ให้เราคิดคล้าย ๆ กับเวลาเราดูวีดีโอเลย โดยมันจะมี ความละเอียด ก็เหมือนกับ 360p และ 1080p ของในวีดีโอ และจำนวน Bit ที่เหมือนกับจำนวนสีที่เราชอบดู HDR กันนั่นแหละ ยิ่ง Bit เยอะมันก็ยิ่งเก็บรายละเอียดได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็มากับขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน
ถ้าเราเอาไฟล์เสียงของเรามากแสดงเป็นเส้น โดยแกนตั้งจะเป็นความถี่ และแกนนอนจะเป็นเวลา สมมุติว่า เราเราบอกว่า DAC ของเราสามารถถอดรหัสเสียงได้ 1 Bit นั่นหมายความว่า Output ที่ DAC จะให้ได้คือ เงียบ กับ ส่งเสียง (สักความถี่นึงแล้วแต่) ก็จะแบ่งได้ 2 (มาจาก 2^1 = 2) ระดับ นั่นแปลว่า ถ้าเรามีจำนวน Bit เยอะ DAC เราก็จะ Output ระดับเสียงได้เยอะยิ่งขึ้น ถ้ายังนึกไม่ออกอีกก็นึกถึงเสียงของเกม 8 Bits (ก็จะแยกได้ 2^8 = 128 ระดับ) สมัยก่อนกับเพลงสมัยนี้อะ คนละเรื่องเลยใช่ม่ะ
อีกมิตินึกคือความละเอียด เราวาดกราฟเดิม แต่รอบนี้ตัดมาแค่ 1 วินาทีแรก และให้ดูที่แกนของเวลาแทน เราลองมาเทียบกันนะว่า ถ้า 1 วินาที เราเก็บความแตกต่างของเสียงได้ 10 ครั้ง ก็คือ 1 วินาทีเราจะซอยออกเป็น 10 ชิ้น เราก็จะเรียกว่า 10 Hz แต่ถ้าเราไปดู Spec ของ DAC อย่างตัวนี้เขาก็เขียนว่า 192 kHz ซึ่งมันก็คือ 192 * 10^3 (10^3 มาจาก k เป็น Prefix) ชิ้นต่อ 1 วินาที ลองคิดดูนะครับ ถ้า 1 วินาที ถ้าเราซอยน้อยชิ้นเสียงที่เราได้มันก็จะไม่ละเอียดเท่าที่ควร ฟังแล้วมันก็จะหงุดหงิด ๆ
ทีนี้เราลองหยิบทั้ง 2 อย่างมาใส่รวมกันในกราฟเดียว ให้จำนวนเส้นนอนเป็นมาจากจำนวน Bit ยกกำลัง 2 และเส้นตั้งก็มาจากจำนวน Hz ต่อ 1 วินาที เราก็จะได้ออกมาเป็น Grid ตาราง ยิ่งค่าทั้ง 2 เยอะก็ทำให้ Grid เราละเอียดขึ้น ซึ่งมันก็คือคุณภาพเสียงที่ดีนั่นแหละ
ถ้าอยากรู้ละเอียดกว่านั้น ลองดู The Beginner’s Guide to Digital Audio for Music Recording อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี
เพราะฉะนั้นการใช้ DAC แยกก็เป็นการทำให้ Grid ของเพลงเราละเอียดมากขึ้นนั่นแหละ ~
แกะกล่อง
การจัดส่งจะส่งผ่านไปรษณีย์ของฮ่องกงแล้วก็จะบินแล้วไปรษณีย์ไทยก็รับช่วงต่อ โดยหลังจากที่ทาง Zorloo จัดส่งแล้วเราจะได้ Tracking Number ที่เข้าไปเช็คกับเว็บไปรษณีย์ของประเทศฮ่องกงได้เลย พอมันเข้าไทยเราก็ใช้เลข Tracking Number เดียวกันกับเว็บของไปรษณีย์ไทยได้เลย ตอนนั้นระยะเวลาจะอยู่ที่ 7-8 วัน ไม่นับเสาร์-อาทิตย์
Package ที่ได้รับมาจากไปรษณีย์
เริ่มจาก Packaging ที่เราได้กันมาก่อนเลย ตอนได้มาคือตกใจเพราะมันมาในซองและเบามาก ตอนแรกคิดว่ามันจะต้องมาเป็นกล่องและต้องมีน้ำหนักหน่อย ๆ แต่มันมาเป็นซอง !! โอเค ก็เป็นซองที่แปะที่อยู่เรากับที่อยู่ต้นทางจากฮ่องกง
ภาพซ้ายคือด้านหน้า และภาพขวาคือด้านหลัง ของกล่อง
พอแกะซองออกมาก็จะเจอกับกล่องที่ขนาดเล็กกว่าซองอีก ขนาดเท่าฝ่ามือเราเลย หน้ากล่องก็จะมีรูปตัว DAC พร้อมกับชื่อรุ่น และยี่ห้อประมาณนั้น และด้านหลังก็จะเป็นสเปกตามด้านล่างนี้
- ESS Sabre 9018 DAC 192 kHz / 24 Bits
- 3.5mm Audio Output
- ขนาดอยู่ที่ 50mm x 15mm x 10mm
- น้ำหนัก < 10g พกง่ายมาก
- SNR = 120 dB
คือที่ซื้อเพราะชิพที่ใช้เป็น ESS Sabre 9018 ที่อ่านจากรีวิวมันก็เป็น DAC ที่คุณภาพดีตัวนึงเลย ก็เลยลองใช้ดู ไปที่แกะกล่องกันต่อ
พอเราแกะดึงของออกมา เราจะพบกล่องสีขาว พร้อมกับ DAC ของเราวางอยู่ ข้อระวังคือเวลาแกะโปรดหงายหน้ากล่องขึ้น อย่าคว่ำเพราะเวลาแกะ DAC มันจะหล่นลงมาเหมือนผม ด้านในกล่องย่อยมันก็จะมีสายแปลงจำนวน 3 เส้นมาให้เรา
สายถักปลายเป็น Micro-USB, USB-A และ USB-C อีกด้านของทุกเส้นจะเป็น Micro-USB
ก่อนจะไปที่ตัว DAC เรามาดูกันก่อนว่าเขาให้อะไรแถมมาบ้าง อย่างแรกเป็นสายแปลงจาก Micro-USB to USB-A , Micro-USB to USB-C และ Micro-USB to Micro-USB ทั้งหมดเป็น 3 เส้น โดยแต่ละเส้นที่สายก็จะเป็นสายถักและหัวก็ดูแข็งแรง ความยาวสั้น ๆ เพื่อให้ไม่เกะกะเวลาเราใช้งาน
คู่มือการใช้งานก็มีมาให้เช่นกัน โดยมาในรูปแบบของกระดาษมัน เขียนรายละเอียดวิธีการเชื่อมต่อต่าง ๆ, Spec และ Warranty ต่าง ๆ แน่นอนว่า I’m Thaist เราก็จะข้ามมันไป
จริง ๆ สภาพตอนส่งมามันดีกว่านี้นะ อันนี้คือผ่านสงครามการใช้งานจากผมมาแล้ว
นอกจากจะให้สายมาอย่างเกือบครบแล้วก็ยังมีที่ใส่มาให้ด้วย โดยมันจะเป็นกำมะหยี่สีเทา ด้านหลังสกรีนชื่อ Brand ชื่อ Zorloo โดยขนาดที่ให้มาก็สามารถใส่สายและตัว DAC ได้อย่างพอดีเลยไม่แน่นและคับไป ข้อสังเกตอยู่ที่กระดุม (ไม่รู้มันเรียกอะไรที่เวลาปิดมันจะดัง แป๊ะ ๆ อะ) ด้านในที่ใส่หลังกระดุมมันจะเป็นจุดที่เย็บกระดุมลงไป ทำให้ด้านในส่วนนั้นมันจะไม่ใช่กำมะหยี่แต่มันเป็นด้านหลังของกระดุมที่เป็นโลหะ ทำให้เวลาเราใส่ DAC ที่ Body เป็น Aluminum ลงไปก็กลัวมันจะเป็นรอยหน่อย ๆ
วิธีใส่คือก็เอาสายทั้งหมดงอเล็กน้อยและใส่เข้าไป ตามด้วยหยอด DAC ลงไป โดยผมจะใส่ DAC อยู่ทางด้านข้างแทนเพราะกลัวกระดุมโลหะนั่นทำให้ตัว DAC เป็นรอย
โดยรวมแล้วคุณภาพของ Packaging สำหรับผมจัดว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อย่างตอนที่แกะออกมา DAC หล่นนี่ก็ตอนที่เขาออกแบบตัวกล่องข้างในก็ไม่ได้ทำให้ขนาดมันพอดีสักเท่าไหร่ หรือไม่มีคำเตือนอะไร
มาดูที่ตัว DAC กันบ้าง Body ของมันทำจาก Aluminum สีเทา (จริง ๆ มันมี 3 สีให้เลือกนะ ตัวที่ซื้อมาเป็นสีเทา) คล้าย ๆ กับสี Space Grey ของ Apple Product เลย ลองดูจากรูปจะเห็นว่าขนาดเล็กมาก ดูได้ในภาพผมว่ามือผมก็เล็กแล้วนะ แต่นี่คือเล็กกว่าเยอะ จับดูแล้วการประกอบก็ไม่เลวเลยแน่น และรู้สึกว่ามัน Premium มาก อาจจะเพราะด้วยการประกอบที่แน่นและเป็น Aluminum
ไฟสีฟ้าจะอยู่ตรงที่วงสีแดงไว้ พอเสียบมันก็จะติดขึ้นมาเอง
ด้านหน้าก็จะประกอบด้วย Logo และไฟสีฟ้าแสดงสถานะว่าเสียบไฟอยู่หรือไม่
เพิ่ม/ลดเสียง ผ่าน ปุ่มดำ ๆ 2 ปุ่ม
ด้านหลังก็จะเป็นปุ่มแป๊ะ ๆ สีดำ 2 ปุ่มสำหรับการปรับเสียงขี้นลง ซึ่งตัวปุ่มก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะมันดูรู้เลยว่ามันเป็น Part ราคาถูก และด้านหัวก็จะเป็น Port Micro-USB สำหรับ Input ด้านล่างจะเป็น 3.5mm สำหรับ Output ออกไปที่หูฟัง
การใช้งาน
ZuperDAC-S สามารถใช้ได้กลับหลายอุปกรณ์ตั้งแต่ PC ที่เป็น Windows (ต้องลง Driver เพิ่ม), macOS และ Linux (ที่ลองคือ Ubuntu 18 ได้), Android และ iOS ได้หมดถ้าสดชื่น
การใช้งานก็ง่ายมาก ๆ โดยการที่เราเอาสายแปลงเสียบจากอุปกรณ์ของเราไปที่ ZuperDAC-S และก็เอาหูฟังมาเสียบก็สามารถใช้งานได้ทันที
ยกเว้น Windows ที่ต้องลง Driver ครั้งแรกเน้อ โดยการ Install ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรถ้าเป็น Thaist ก็กด Next ยาว ๆ ไปจน Finish ได้เลยหลังจากลงเสร็จก็ลองเสียบใหม่ก็จะใช้ได้เลย
ข้อสังเกตคือ ถ้าเราจะนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่เป็น iOS เช่น iPhone และ iPad เราจะเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่สายแปลงจาก Lighting to Micro-USB มาให้ในกล่อง ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกันว่าแล้วจะใช้ยังไง จนไปดูคู่มือมันก็บอกว่า เราต้องไปซื้อ Adapter แปลงจาก Lighting to USB-A หรือที่ Apple เรียกน่าจะเป็น Lighting to USB Camera Adapter ที่มันจะเป็น Lighting ต่อออกจาก iPhone และ iPad ของเราออกเป็น USB-A เราก็เอาหัวแปลง Micro-USB to USB-A มาเสียบกับ Adapter และเอา Adapter เสียบเข้า iPhone และ iPad ก็เป็นอันเสร็จใช้ได้เหมือนกัน
แต่ฮ่ะแต่ ๆๆๆ ใช้มาชาติเศษจนเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่เขียนก็มีเมล์เด้งจาก Zorloo ว่าตอนนี้เรามี Lighting to Micro-USB ขายแล้วนะแกร์เก๋ ๆ ในราคา 15 USD ก็ถ้าใครจะใช้กับ iOS ก็แนะนำให้ซื้อมาเพิ่มน่าจะถูกกว่าการไปซื้อ Adapter ของ Apple มา
ด้วยความที่ผมมี Lighting to USB Camera Adapter ที่เป็น USB3 ที่มันจะมี Port สำหรับเสียบพ่วง Lighting อีกโดยที่เราสามารถเอาสายชาร์จมาเสียบชาร์จตอนที่ฟังอยู่ได้โชคดีไป แต่ก็นะด้วยขนาดของ Adapter ทำให้การเดินฟังมันเลยไม่น่าจะรอดแน่ ๆ ถ้าลองคิดว่าเป็น iPhone น่าจะปวดหัวมากแน่ ๆ ก็ย้ำอีกครั้งว่าถ้าเป็น iOS ยังไงก็แนะนำให้ซื้อตัวแปลงอีก 15 USD
เวลาเราใช้ปกติ เราก็จะเสียบกับโทรศัพท์และงอเอาด้านที่เสียบหูฟังขึ้นและใส่กระเป๋ากางเกงเวลาเดินฟังก็ไม่ได้รู้สึกมันใช้ชีวิตยากอะไร ถ้าเราใช้ DAC ตัวใหญ่ ๆ ก็น่าจะมีปัญหาเรื่องการพกพาแหละ ใช้เสร็จก็เอาใส่ที่ใส่ของมันก็เรียบร้อย ใช้งานง่ายมาก
ข้อสังเกตเล็กน้อยตอนใช้งานคือมันจะมีไฟแสดงสถานะสีฟ้าติดอยู่ และถ้าเราใช้ไปสักพักนึกตัว DAC ก็จะมีอุณหภูมิมากขึ้นจับแล้วอุ่น ๆ นิดหน่อยแต่พอเวลามันก็อยู่กระเป๋ากางเกงมันก็จะแปลก ๆ นิดหน่อยเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ มานาบขาอยู่ตลกดี
คุณภาพเสียง
ด้วยชิพเสียงระดับเยี่ยมอยู่อย่าง ESS Sabre 9018 DAC ที่รองรับ Sampling Rate อยู่ที่ 192 kHz และ Bit Depth ที่ 24 Bits ทำให้เราได้รายละเอียดเสียงที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ Build-in DAC ที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วงกลางของเสียงก็ให้เสียงที่สะอาดมากขึ้น รู้สึกถึง Stage ที่กว้างขึ้นหน่อย ๆ เหมือนมันมีมิติมากขึ้น เสียงสูงที่ค่อนข้างต่างชัดมากคือมันไม่บาดหูเลย ช่วงเสียงต่ำก็ให้เบสที่แน่นและมีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะตอนเอามาเสียบกับ Macbook Pro 13-inch Early 2015 ที่ฟังแล้วรู้สึกเลยว่าเหมือนเราอยู่อีกโลกไปเลย มันต่างกันมาก ๆๆๆๆๆ เลย แต่ถ้าเอามาฟังกับ Sony Xperia X Compact รายละเอียดได้ใกล้เคียงกัน แต่ทางฝั่ง Sony จะให้เสียงที่อุ่นกว่าตามสไตล์ของเขา
ส่วนเรื่องของกำลังขับนี่ใช้ได้เลย ผมใช้กับหูฟังจาก Sony ในรุ่น XBA-N1AP ที่มันก็ไม่ได้เป็นหูฟังที่ขับยากนัก ก็กดเพิ่ม Volume ไปได้ 1-2 ขีดก็ดังเกินไปแล้ว หูฟังที่ขับยากกว่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นหูฟังที่ขับยากมาก ๆ อาจจะไม่ไหว เพราะก็ตัวแค่นี้เองนะ แต่หลัก ๆ ถ้าใช้กับหูฟังทั่วไปกำลังขับก็เหลือเลยละ
ส่วนตัวแล้วเพลงที่ผมฟังส่วนใหญ่จะมาจาก Spotify ที่คุณภาพสูงสุดของมันก็อาจจะไม่เท่ากับ Lossless หรอกแต่มันก็อยู่ในช่วงที่สูงพอสมควรแล้วละ เลยไม่ได้ Aim ไปซื้อ DAC ในสเปกที่โหดกว่านี้ แต่กับไฟล์ Lossless เอา ZuperDAC-S มาฟังมันก็ทำให้เราได้ยินรายละเอียดเสียงที่เยอะขึ้นมาแล้วนะ ก็ประทับใจอยู่
สรุป ZuperDAC-S เป็น DAC ที่เล็กพริกขี้หนู
จากขนาดตัวที่เล็กกว่านิ้วก้อยผม น้ำหนักที่น้อยกว่า 10g แต่มันเพิ่มคุณภาพเสียงได้อย่างโหดขนาดนี้ด้วยชิพเสียงอย่าง ESS Sabre 9018 โดยที่ไม่ต้องชาร์จไฟ การเชื่อมต่อก็ง่ายแสนง่ายเพียงแค่เสียบ ๆ ก็ใช้งานได้เลย พร้อมกับ Aluminum Body ที่ทำให้ดู Premium มาก ๆ ข้อเสียน่าจะอยู่ที่มันปรับอะไรไม่ได้เลยนี่แหละ ด้วยความที่มันเล็กมาก การที่จะยัด Switch มันคงยาก ถ้าเราไปดูยี่ห้ออื่นเขาอาจจะมี Switch สำหรับปรับ Gain อะไรมาให้เราประมาณนั้นแต่ ZuperDAC-S ไม่มีอะไรเลยนอกจากปรับ Volumn แค่นั้น เหมาะสำหรับคนที่ฟังเพลงช่วงเริ่มต้นจนไปถึงกลาง ๆ ด้วยค่าตัวที่ไม่ได้โหดมากนักประกอบกับซื้อตอน Early Bird ที่ทำให้ราคามันถูกลงมาก เขาไม่ได้จ่าย แต่ผมจ่ายเอง สามารถสั่งซื้อได้ที่ลิงค์ใน Indigogo นี้เลย