รีวิว Xiaomi TV Stick 4K กล่องทีวีขนาดจิ๋วในราคาเข้าถึงง่าย

เมื่อหลายปีก่อน เรารีวิว Mi Box S ที่เป็นกล่อง Android TV จาก Xiaomi ไป มันจำเป็นต้องมีพื้นที่วางเพื่อความสวยงามด้วย แต่ปัจจุบันโลกของเราเริ่มขยับไปสู่กล่องที่อยู่ในรูปแบบ Stick มากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ Xiaomi ก็ได้ออก TV Stick รุ่นใหม่ออกมาในรุ่น TV Stick 4K เรียกว่า ปรับมาฟีเจอร์ล้น ๆ แถมราคาโคตรดีเลยด้วย

แกะกล่อง

ตัวกล่องมาในขนาดที่เล็กมาก ตอนแรกที่เห็นตกใจเหมือนกัน เขามาในกล่องกระดาษพิมพ์อย่างดีเป็นสีส้มสไตล์ Xiaomi และพิมพ์บอกไว้ว่าเป็น Xiaomi TV Stick พร้อมเขียนด้านบนว่า 4K เพราะ TV Stick รุ่นก่อนข้อเสียที่สำคัญมาก ๆ คือมันรองรับ 1080p แต่ในรุ่นนี้แก้ไขพร้อมรองรับ 4K เต็มรูปแบบละ ส่วนด้านล่างบอกชัดเจนมากว่ามันเป็น Android TV

ด้านหลังเป็นการบอกสรรคุณ เช่น Android TV ที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงสื่อวามบันเทิงที่เราต้องการได้อย่างง่ายดาย และ Chromecast Built-in หรือ Feature ที่ตัวมันเอง ทำหน้าที่เป็น Chromecast Device สำหรับการ Cast สื่อต่าง ๆ เข้าไปที่ทีวีของเราได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าเป็น Feature พื้นฐานสำหรับกล่อง Android TV ในปัจจุบันนี้ไปแล้ว

ด้านข้างซ้ายของกล่องจะบอกสิ่งที่มีมาให้ในกล่อง คือ TV Stick, Remote Control และ Power Adapter เดี๋ยวเรามาดูกันว่า ของแต่ละชิ้นจะคุณภาพเป็นอย่างไร

ด้านข้างขวาของกล่อง เขาจะเขียนวิธีการ Setup ตัวเครื่อง ง่ายมาก ๆ เพียงแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้นคือ การเสียบ TV Stick เข้ากับทีวี เชื่อมต่อเครือข่าย และ เริ่มดูได้เลย

ด้านใต้กล่องจะเป็นพวกรายละเอียดของ Trademark ต่าง ๆ จากตรงนี้ทำให้เราเห็นว่า ตัวเครื่องนี้ รองรับ Dolby Vision และ Dolby Atmos รวมไปถึง DTS HD ด้วยละ

จุดสำคัญคือ ตัวกล่องเขามีสติ๊กเกอร์ที่ซีลกล่องไว้อยู่ด้วย หากเราซื้อมา และ พบว่าซีลกล่องมันถูกกรีด หรือหายไปให้สมมุติฐานไว้ก่อนได้เลยว่า ชิบหายแล้ว และแจ้งกับผู้ขายของเราได้เลยว่ามันผิดปกติละ

เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราจะพบกับกระดาษคู่มือที่ตรงกลางมีโลโก้ของ Xiaomi สีส้มสวยงาม แต่แน่นอนว่า Paperwork คู่มืออะไรข้ามไป

หันกลับไปด้านหลัง เราจะพบกับ Remote Control เวลาเราแกะ แนะนำให้เอา Remote ออกมาก่อนนะ ไม่งั้นดึงกล่องออกมา Remote อาจจะตกเสียหายก่อนที่เราจะได้ใช้งานได้ ระวังดี ๆ เด้อ

เมื่อเราเอาถาดและคู่มือออกมาจากกล่อง เราจะพบกับตัว Xiaomi TV Stick 4K วางอยู่ทางด้านขวาของกล่อง และ ด้านซ้ายเป็นพวกอุปกรณ์ Bundle เช่นที่เสียบไฟเลี้ยงเป็นต้น

ของชิ้นแรกที่เราหยิบมาคือสาย HDMI to HDMI หรือก็คือเป็นสายสำหรับต่อเชื่อม TV Stick ในกรณีที่ช่องเสียบ HDMI บนทีวีของเรามันแคบเกินว่าจะเอา TV Stick เสียบเข้าไปตรง ๆ แต่หากเราใช้สายตัวนี้เสียบ แนะนำว่า ให้หาที่เก็บตัว TV Stick ให้ดีละกัน เพราะมันจะห้อยโตงเตงไปมา

ถัดไปเป็นสาย Micro-USB to USB-A สำหรับการเสียบไฟเลี้ยงเข้าสู่ตัวเครื่อง เราต้องยอมรับเลยว่า สายที่เขาให้มา เราจับแล้วคุณภาพมันดูดีมาก ๆ จับแล้วหัวและข้อต่อต่าง ๆ มันแน่นหนา ไม่ก๊องแก๊งหลุดง่ายแน่ ๆ ไม่คิดว่าของราคาเท่านี้จะให้สายที่คุณภาพโอเคเท่านี้เลย

และของที่ใช้คู่กันคือ Adapter สำหรับแปลงไฟ อันนี้เราซื้อในประเทศไทยเลย ทำให้หัวเสียบที่ได้มาจะเป็นหัวกลม 2 หัวเสียบเข้ากับปลั๊กบ้านเราได้แน่นอน ตัวมันทำออกมาเป็นสีดำเงา เราคิดว่า เราไม่ชอบดำเงา เพราะเวลาใช้งานเราจะพยายามซ่อนของพวกนี้ออกไป ถ้ามันเงา มันมีโอกาสที่จะสะท้อนแสงออกมาให้เรามีเห็นแว่บ ๆ ได้อยู่

นอกจากนั้น กำลังสูงสุดที่ Adapter นี้จะแปลงไฟได้คือ 5V/1A หรือ 5W เท่านั้น ทำให้เมื่อเราเทียบกับ Adapter ตัวอื่น ๆ ในท้องตลาด ถือว่าเป็น Adapter 5W ที่อันใหญ่มาก ๆ ขนาด Apple ที่ถือว่าล้าหลังเรื่อง Adapter ตัว Adapter 5W เขายังเล็กกว่านี้มาก ๆ เลย อันนี้มันขนาดพอ ๆ กับ Samsung Fast Charge 25W Adapter เลย

และแน่นอนว่า ถ้าสายเป็น USB-A หัวเสียบก็ต้องมาเป็น USB-A อย่างแน่นอน ทำให้โดยรวม เราคิดว่า ต้นทุนนี่คือไปลงกับเรื่องอื่นหมดแล้ว เรื่องการจ่ายไฟก็คือ ไม่ไหวแล้วทั้งเก่า และ ใหญ่เทอะทะมาก ๆ

มาที่ Remote Control เรียกว่า ถอดแบบจากกล่อง Android TV ตัวก่อน ๆ จาก Xiaomi เลยก็ว่าได้ หรือจริง ๆ มันตัวเดียวกันเลยหว่า ตัว Remote ทำมาจากพลาสติก จับแล้วแอบไม่รู้สึกว่ามัน Cheap แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแพงอะไร โดยรวมเฉย ๆ แต่สิ่งที่เราชอบคือ ตัว Remote มันไม่ต้องมีปุ่มอะไรมากมายให้เราปวดหัวเล่น มีแค่ปุ่มที่เราใช้งานบ่อย ๆ เช่น Navigation ซ้ายขวา ย้อนกลับ เพิ่มลดเสียงอะไรพวกนั้น และปุ่มลัดเข้า Netflix และ Amazon Prime ที่เราสามารถไปโหลด App มา Remap ปุ่มนี้ให้ทำอย่างอื่นได้ด้วย สำหรับคนที่ไม่ดู Netflix หรือ Amazon Prime นอกจากนั้น มันไม่ใช่ Remote ปกติโง่ ๆ ด้วย แต่ในตัวมันมี Microphone สำหรับให้เรากด เพื่อเรียก Google Assistant ได้ด้วยละ

ด้านหลังของ Remote เขาไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ เป็นพลาสติกสีดำทำผิวมาขรุขระเล็กน้อยเหมือนกับด้านหน้าเลย แต่ด้านล่างเราจะเห็นสลัก อันนั้นเป็นช่องสำหรับการใส่ถ่านให้ Remote

ส่วนใหญ่เวลาเราซื้อพวกกล่องอะไรพวกนี้มา เขามักจะมีถ่านใส่มาให้ใน Remote ด้วย แต่อันนี้ไม่มี มันเลยแอบรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ถ่านของ Remote อันนี้ไม่ได้หายากอะไรเป็นถ่าน AAA จำนวน 2 ก้อนเท่านั้น

Xiaomi TV Stick 4K

อย่างที่เห็นจากภาพคือ Xiaomi TV Stick 4K นั้นมีขนาดเล็กมาก ความยาวของมันเท่ากับหน้ากว้างของมือเราเท่านั้นเอง ตัวมันจะแบ่งวัสดุออกเป็น 2 แบบ ด้านหน้าสีออกเทา ๆ นิดนึงทำจากพลาสติกขัดลายนิดหน่อย และมีการเขียนว่า Xiaomi และด้านหลังที่เราเห็นว่ามันเป็นลาย ๆ เป็นเพราะพลาสติกที่ห่อเอาไว้อยู่ แต่จริง ๆ มันเป็นสีดำเงา เรียกว่า ถ้าใช้ไปนาน ๆ ขนแมวถามหาแน่นอน

ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า บริเวณด้านหลังของตัวเครื่องจะมีจุดเล็ก ๆ อยู่อันนึง เป็นไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่อง

ส่วนด้านหลังไม่มีอะไรมาก คล้ายกับด้านหน้า แต่เขาจะมี Sticker สำหรับการบ่งบอก Serial Number ของตัวเครื่องเผื่อเวลาที่เราจะต้องเอาอุปกรณ์ไปส่งเคลม หรือซ่อมละมั้งนะ

ด้านข้างของตัวเครื่อง บริเวณด้านหลัง เราจะพบกับช่องสำหรับเสียบ Micro-USB เพื่อจ่ายไฟเลี้ยงเข้าไป หากเราไม่เสียบเข้าไปมันจะใช้งานไม่ได้เลย มันจะแจ้งว่าให้เราเสียบไฟเลี้ยงด้วย และการที่จะเสียบไฟเลี้ยง เราจำเป็นจะต้องแกะพลาสติกที่หุ้มด้านดำเงาออก ไม่งั้นเราจะเสียบไม่ได้ ทำให้ใช้งานไป เราจะเจอรอยขนแมวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยละ

และที่หัวของตัวเครื่อง จะมี Port สำหรับเสียบ HDMI เข้าสู่ทีวีของเรา นั่นทำให้ ช่องเสียบสำหรับ Xiaomi TV Stick 4K นั้นมีแค่ ช่องเสียบไฟเลี้ยง และ ช่องเสียบ HDMI เข้ากับทีวีเท่านั้น ไม่มีช่อง USB หรือ Audio Out เพิ่มเติมเหมือนกับ Mi Box S ที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้า ถ้าใครต้องการใช้พวก Ethernet บอกได้เลยว่าเสียใจด้วย เขาไม่ได้ใส่มาให้ และไม่มี USB สำหรับเสียบ Dongle ด้วยซ้ำ พึ่งพา WiFi 100%

การติดตั้งเพียงแค่นับ 1...2...3

การติดตั้งใช้งานนั้นเรียกว่า ง่ายจริง ๆ เหมือนที่เขาเขียนในกล่องเลย เริ่มจากเสียบสายไฟเลี้ยงเข้ากับตัวเครื่องก่อน

จากนั้นให้เรามองหาช่องสำหรับเสียบ HDMI บนทีวีของเรา บางเครื่องอาจจะอยู่หลังเครื่อง แต่ของเราเอง เขาอยู่ข้างเครื่อง อาจจะต้องหาสักหน่อย และ อาจจะยากก็ตอนนี้แหละ เพราะทีวีบางเครื่องเขาใช้การแขวนพนังการจะหามันยากหน่อย

เมื่อเราหาเจอแล้ว เราก็เสียบ Xiaomi TV Stick 4K เข้าไปที่ทีวีของเรา แล้วเปิดทีวีได้เลย

เราจะพบกับหน้าจอสำหรับการ Setup ตัวเครื่องต่าง ๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้ เราสามารถทำตามขั้นตอนที่มันแสดงผลมาให้เราทำในทีวีได้เลย ไม่ยากเท่าไหร่ เราใช้เวลาไม่เกิน 2-3 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย พร้อมใช้งานแล้ว

การใช้งานจริง

ในการใช้งานจริง ตอนแรกเราคิดว่าตัวแค่นี้มันจะไปทำอะไรได้เยอะ มันน่าจะแลคแน่นอน กลับกลายเป็นว่า เห้ย มันลื่นปรืดเลย แน่นอนว่าลื่นกว่า Nvidia Shield TV ที่เราใช้งานแบบเยอะมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ การเปิดเข้า App ต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วมาก ๆ เรียกว่า เกินฝันไปไกลมาก ๆ ละ ในราคาเท่านี้เราได้ Interface ที่ลื่น ใช้งานได้ไม่มีปัญหาได้ขนาดนี้เลยเหรอ แต่ข้อเสียที่เห็นจากภาพคือ ตัวมันยังคงใช้ Android TV Interface แบบเก่าอยู่ ยังไม่ได้รับการ Update

แต่ถามว่า มันเก่าขนาดนั้นมั้ย เราก็บอกเลยว่า สำหรับในราคานี้การได้ Android 11 ไม่ได้ถือว่าเก่ามากขนาดนั้นเลยนะ ทีวีบางเครื่องยังอยู่ Android 9 กันอยู่เลยมั้ง แถมตัว Security Patch ก็ได้อัพเดทเรียกว่าค่อนข้างไปในทางใหม่พอสมควรเลย ทำให้โดยรวม เรื่อง Software Update ถือว่าไม่แย่เลย

การ Cast Content ขึ้นไป และการโหลด Content ทำได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะใช้ WiFi แต่ถ้าระบบ WiFi บ้านเราดี เราบอกเลยว่า มันเพียงพอกับการ Stream Content ส่วนใหญ่ที่เราใช้งานกันได้ เช่น Netflix และ Youtube แบบสบาย ๆ เลยละ เราบอกเลยว่า เร็วกว่า Android TV ที่ Built-in ในทีวีตัว Top ได้เลย เราเอาไปเทียบกับ Sony A9G ที่เราใช้งานอยู่ก็คือ คนละขุมความเร็วโดยสิ้นเชิง

ที่สำคัญตัว CPU และ GPU ที่มาใน Xiaomi TV Stick 4K นี้ยังรองรับการถอดรหัส AV1 ที่เป็นแบบเข้ารหัสสัญญาณวีดีโอตัวใหม่ ที่ตอนนี้หลาย ๆ ค่ายเริ่มทยอยเอาเข้ามาใช้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Youtube และ Discord ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวในราคาหลักพันต้น ๆ ที่รองรับการใช้งาน AV1 ได้

สรุป

Xiaomi TV Stick 4K เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนที่มองหา TV Set Top Box ที่รองรับความละเอียด 4K และใช้งาน Streaming Content ยอดนิยมเช่น Netflix และ Youtube ได้ พร้อมทั้งยังมีขนาดเล็ก ซ่อนอยู่หลังทีวีของเราได้ง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่งพาการเสียบสายให้รุงรังเพิ่ม เสียบตรง ๆ เข้าไปที่ทีวีของเราได้ทันที ทั้งหมดที่เราว่ามานี้ หากเราไปหาในพวก Shopping App ยอดนิยมดี ๆ ช่วงลดราคาจริง ๆ อาจจะได้ราคาอยู่ที่ 1,100 - 1,200 กว่าบาทเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นกล่องทีวีที่ราคาต่อ Feature ที่ได้ดีมาก ๆ คุ้มสุด ๆ ตัวนึงเลย