รีวิว Ugreen Nexode Pro Charger ที่เบา กระทัดรัดที่สุด
เมื่อปีก่อน เรารีวิว Adapter 100W จาก UGreen ที่เคยคิดว่ามันเล็กกระทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาง่ายที่สุดไปแล้ว ผ่านมาปีนึง เรามาเจออีกตัวที่มันดียิ่งกว่าจากฝั่ง Ugreen เช่นเดียวกันในซีรีย์ Nexode Pro วันนี้เรากดมาใช้เอง 2 ตัวคือขนาด 65W และ 100W จะเป็นอย่างไร อ่านได้ในบทความนี้เลย
หากใครสนใจ กดซื้อผ่าน Link ด้านล่างนี้ได้เลย จะทำให้เราได้ค่าขนมมาเป็นกำลังใจสำหรับบทความต่อ ๆ ไปเด้อ
ขนาด 65W : https://s.shopee.co.th/6V7RZlZ25B
ขนาด 100W: https://s.shopee.co.th/1LPLQIa9p9
แกะกล่อง
สำหรับ Charger ในซีรีย์ Nexode Pro ของ Ugreen เขามีทั้งหมด 3 ขนาดแบ่งตามกำลังไฟ ให้เราเลือกตั้งแต่ 65W, 100W และ 160W ตามความต้องการในการใช้งานหลากหลายรูปแบบ และอุปกรณ์ที่เราเสียบชาร์จด้วย แต่มันจะมีขนาดกำลัง 65W ที่จะมีตัวธรรมดา และ Slim ที่เรากดมาในวันนี้จะเป็น 65W Slim และ 100W มารีวิวกัน โดยกล่องของทั้งสองขนาดนั้น จะเป็นกล่องกระดาษธรรมดา ตามสไตล์ของ Ugreen ที่เขาจะไม่ได้เน้นเรื่อง Packaging อยู่แล้ว และเราสั่งผ่าน Shopee กล่องมันก็อาจจะมีการบุบบ้างเล็กน้อยตามการขนส่งเนอะ ด้านหน้าของกล่องทั้งสอง จะมีภาพของตัว Adpater และสรรพคุณต่าง ๆ เช่น GaNInfinity และเวลาในการชาร์จทั้งหลาย ซึ่ง เขาบอกว่า สามารถชาร์จ Macbook Air 13 นิ้ว 60 นาที ได้ 70% ทั้งคู่เลย
ด้านหลังของทั้งสองขนาดจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ คือบอกสรรพคุณ เช่น AirPyra ที่เขาบอกว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ได้กำลังในการชาร์จมากกว่าในขนาดตัวที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับ Adapter ธรรมดา รวมไปถึงมี GaNInfinity ที่ทำให้เราชาร์จได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการสูญเสียพลังงาน และความร้อน แล้วยังมี ThermalGuard ที่เพิ่มความสามารถในการระบายความร้อนของ Adapter ทำให้สามารถยืดอายุการใช้งานมันได้มากขึ้น และ SmartCharge เป็นระบบในการควบคุมกำลังไฟเพื่อให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่เราเสียบเข้าไปได้ เช่น เราสามารถเอา Apple Watch ที่กินไฟต่ำมาก ๆ ไปเสียบ มันก็จะจ่ายไฟเท่าที่ Apple Watch ต้องการ ทำให้มันไม่พังซะก่อน จริง ๆ มันเป็น Feature ที่หลาย ๆ เจ้าก็มีแหละ ไม่ได้เป็นเรื่องวิเศษอะไรขนาดนั้น เว้นแต่ Adapter อันก่อนของคุณจะเป็นอันละ 20 บาท นั่นอีกเรื่องนะ (อย่าไปซื้อมาใช้เชียว !!!)
ด้านข้างกล่องจะเป็น สเปกการจ่ายไฟ ตัวนี้มาจากกล่องของตัว 65W โดยเราจะเห็นว่า มันจะมี USB-C 2 ช่อง และ USB-A 1 ช่อง โดยที่ USB-C ช่องแรกจะสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 65W แต่ช่องสองจะจ่ายได้สูงสุดเพียง 30W เท่านั้น และฝั่ง USB-A ทำได้สูงสุดที่ 22.5W
สำหรับรุ่น 100W ลักษณะการจ่ายไฟเหมือนกันเป๊ะ ๆ แค่ว่า USB-C ช่องแรกจะจ่ายได้สูงสุด 100W ส่วน USB-C ช่องที่ 2 กับ USB-A จะจ่ายไฟได้เท่ากันเป๊ะ ๆ ดังนั้นเวลาเราใช้งานจริง อุปกรณ์ไหนที่กินไฟเยอะ ๆ เช่นการเสียบชาร์จ Macbook เราก็ควรที่จะเสียบเข้าไปในช่อง USB-C ที่ 1 นั่นเอง
เปิดกล่องมา เราจะพบกับซองใส่พวก Paperwork ก่อน ซึ่งแน่นอนว่า คู่มืออะไรเราก็บั้ยบายเลย เดี๋ยวอ่านหนังสือเกินโควต้า
เอากล่องใส่ Paperwork ออกมา เราจะพบกับ Adapter นอนอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม จากตัวอย่างที่เห็นจะเป็น Adapter ขนาด 65W แต่สำหรับ 100W ก็จะมาในลักษณะเดียวกันทั้งหมด เราเลยใช้ภาพ Reference แค่ตัวเดียวพอ เดี๋ยวจะยาวเกินไป
Ugreen Nexode Pro 65W Slim
หากเราเอาออกมาจากกล่อง เราจะพบว่า เขามีการห่ออยู่ในพลาสติกสีเทาขุ่น เมื่อเราแกะออกมาแล้ว ยังไงมันก็จะไม่เป็นเหมือนเดิม ดังนั้นหากใครแกะกล่องออกมาแล้ว ไม่มีห่อพลาสติกนี้ หรือห่อมันมีการขาดแล้วแปะเทปเข้าไปใหม่ ก็ให้สงสัยไว้ได้เลยนะว่า มันแปลก ๆ ละ
สัมผัสแรกที่เรารู้สึกหลังจากแกะออกมาคือ แมร่ง Premium จริง ๆ คือจับแล้วรู้สึกว่ามันแน่น มันแข็งแรงมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เราใช้ Ugreen มานานหลายปีมาก ๆ แล้ว เราเห็นการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนวันนี้เรารู้สึกว่า แค่จับก็รู้แล้วอะว่า มันสู้ Brand ฝั่งยุโรป และอเมริกาได้แล้วจริง ๆ ตัววัสดุเราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาทำมาจากอะไร แต่มันให้ภาพที่ดูเหมือนอลูมิเนียมที่อยู่บน Macbook Pro เลย แต่สีอ่อนกว่า Space Black ของเราเยอะมาก ๆ ที่สำคัญดูมันเงา ๆ แบบนี้ มันไม่กินรอยนิ้วมือเลยนะ เราลองหลายเคสมาก ๆ ก็ยังไม่มีรอยมือเลยสักที พร้อมกับมีการสกรีนชื่อ Brand ไว้ด้านซ้ายบน และด้านล่างขวามีขนาดกำลังพร้อมรุ่นเขียนอยู่ เราคิดว่าสกรีนแบบนี้คล้าย ๆ กับ 100W ตัวเก่าของเรา ใช้งานไป 1 ปี ก็มีอาการลอกไปแล้ว เลยคิดว่า น่าจะอาการเดียวกัน แต่เอาจริง ๆ นะ ถึงลอกไปหมด เราว่า มันก็ยังสวย เข้ากับ Macbook Pro เราได้ดีมาก ๆ จริง ๆ นาน ๆ ทีจะชมเรื่อง Design กับ Ugreen
ที่มันน่าทึ่งมาก ๆ คือ ขนาด มันเล็กมาก ๆ เล็กกว่าฝ่ามือเราซะอีก และยังเล็กกว่า Card Holder ของเราอีก มันเล็กในขนาดที่เราสามารถเอาใส่กระเป๋าเสื้อได้เลย ฟิล ๆ ว่ากำลังจะออกจากบ้านแล้ว เห้ยลืม Adapter หวะ ก็เดินไปดึงแล้วหยิบใส่กระเป๋าเสื้อไปทำงานได้เลย เราตกใจกับมันมาก ๆ นะ เพราะ Adapter 60W ที่มากับ Macbook Pro เครื่องเก่า ๆ ของเรามันขนาดใหญ่กว่านี้สัก 2-3 เท่าได้เลย แต่ตอนนี้มันเก่งมาก ๆ ที่สามารถทำได้เล็กขนาดนี้ และน้ำหนักของมันคือ 100g กว่า ๆ เท่านั้นเอง
ด้านหลัง เขาสกรีนสเปกการจ่ายไฟต่าง ๆ เหมือนที่เขียนอยู่บนข้างกล่องเลย แต่สิ่งที่ดีมาก ๆ กว่านั้นคือ เราจะเห็นว่า ปลั๊กเขาเป็นแบบพับได้ด้วยแหละ เวลาเราใช้เสร็จก็พับเก็บเข้าไป ทำให้กินพื้นที่ในกระเป๋าเราน้อยมาก ๆ
โดยตัวนี้เรากดใน Official Store ของ Ugreen เขาจะให้มาเป็นปลั๊กแบบ US คือเป็นหัวแบน 2 ตัวไม่มีสายดิน ซึ่งเราคิดว่าอันนี้อาจจะเป็นข้อเสียนึง เพราะเวลาเราเอาไปเสียบกับเต้าเสียบในประเทศไทย มันจะทำให้เสียบยากมาก ๆ จนทำให้ Guard ที่อยู่ภายในปลั๊กพ่วงหักได้เลยนะ อาจจะต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง
ช่องสำหรับการเชื่อมต่อ มีมาให้เราทั้งหมด 3 ช่องด้วยกัน คือ USB-C 2 ช่องและ USB-A 1 ช่องอย่างที่ได้เล่าในสเปกไป โดย USB-C ช่องที่จ่ายไฟแรงสุด เราจะอยู่ที่ USB-C1 ที่อยู่ด้านขวาสุดในรูป เราจะเห็นว่า เขามีสัญลักษณ์ Laptop และ Tablet บอกไว้อยู่ เพื่อให้เราไม่เสียบผิดช่องนั่นเอง
อีกส่วนที่เราอยากให้สังเกตุคือ ระยะห่างระหว่างช่อง มันเล็กมาก ๆ มันจะเป็นปัญหาสำหรับคนที่ใช้สายชาร์จแบบเปลี่ยนหัวได้ เพราะสายพวกนี้หัวมันจะมีขนาดใหญ่มาก จนไปกินพื้นที่ช่องข้าง ๆ ทำให้ช่องข้าง ๆ เสียบไม่ได้เลย เราคิดว่า ถ้าใช้สายแบบนั้นแนะนำไปใช้รุ่น 65W แบบธรรมดาดีกว่า แต่สำหรับสายทั่ว ๆ ไป เราคิดว่าไม่มีปัญหาเลยแหละ เราทดลองสายแทบทุกรุ่นของ Ugreen และสายที่มากับ Apple Device ทั้งหมดที่เรามี ก็ไม่มีปัญหาไปบังช่องอื่นแต่อย่างใด
ความยุ่งยากมันคือ Port การเชื่อมต่อมันอยู่ที่ท้ายของมัน หากปลั๊กเราเป็นแนวนอน ดั่งที่เห็นในภาพ และพื้นที่ด้านข้างมันน้อย การเสียบใช้งานมันจะยากมาก ๆ เราอาจจะต้องเอาสายชาร์จเสียบเข้าไปก่อนแล้วค่อยเสียบ Adapter เข้าไป แต่มันก็จะทำให้สายอาจจะหักในได้หากเราใช้งานลักษณะนี้บ่อย ๆ เอาจริง ๆ มันจะดีกว่านี้ ถ้าเขาทำให้มันหมุนได้
Ugreen Nexode Pro 100W
ฝั่ง Adapter 100W ก็มาในลักษณะเดียวกันคือ เมื่อแกะออกจากกล่อง มันควรจะอยู่ในห่อพลาสติกสีขาวขุ่นแบบที่เห็นในภาพด้านบน
สัมผัสแรกที่เราได้รับคือ น้ำหนักที่เยอะกว่า 65W เยอะมาก ๆ แต่เพราะน้ำหนักที่เยอะในขนาดเท่านี้นี่แหละ ทำให้เรารู้สึกว่าภายในมันแน่นยิ่งกว่า 65W เยอะมาก ๆ รู้สึกเหมือนข้างในมันทึบ 100% มีพื้นที่เหลือข้างในน้อยมาก คือรู้เลยว่า เขามีเทคโนโลยีในการแพคพวกแผงวงจรได้ดีมาก ๆ เลยทำให้เราได้ Adapter ที่เล็กได้ขนาดนี้ และลักษณะของการสกรีนทั้งหมดจะเหมือนกับฝั่ง 65W ทุกประการคือมีชื่อ Ugreen อยู่ที่ซ้ายบน และขนาดกับรุ่นอยู่ด้านขวาล่าง
ก้นของ Adapter จะมีกำลังการจ่ายไฟของแต่ละช่องบอกอยู่ อย่างที่เราเล่าตอนที่แกะกล่องเลย เหมือนกันเป๊ะ เลยขอไม่อธิบายเพิ่มแล้ว
ด้านหัวของมันก็จะเป็นหัวปลั๊กสำหรับเสียบเข้ากับเต้ารับ โดยหัวจะเป็นแบบ US และพับเก็บได้เพื่อประหยัดพื้นที่ เช่นเดียวกับรุ่น 65W
Port การเชื่อมต่อ โดยรวมจะเหมือนกับรุ่น 65W ทุกประการคือมี USB-C 2 ช่องและ USB-C 1 ช่อง โดย USB-C ที่จ่ายไฟกำลังสูง จะมีสัญลักษณ์ของ Laptop และ Tablet อยู่ แต่จุดที่แตกต่างจากรุ่น 65W Slim ที่เห็นได้ชัดมาก ๆ คือ ระยะห่างระหว่างช่องเชื่อมต่อมันจะมากกว่า ทำให้ถ้าเราใช้สายที่หัวใหญ่ ๆ มันก็จะใช้งานได้ง่าย ๆ โดยไม่มีปัญหาเลย และสำหรับปัญหาตำแหน่งในการเสียบสาย ในรุ่น 100W มันไม่มีปัญหาเลย เพราะช่องเสียบมันอยู่ที่ท้ายซึ่งยังไง ด้านนั้นมันจะต้องว่างให้เราเสียบสายออกไปอยู่แล้ว เหมือน Adapter ทั่ว ๆ ไป
เหมือนกับตัว 65W Slim คือ ลองดูจากในภาพด้านบนเรียงจากซ้ายไปขวาคือ Adapter ขนาด 98W จาก Apple, Ugreen Nexode Pro 100W และ Ugreen Nexode Pro 65W Silm เอาแค่ตัว Apple 96W กับ Ugreen 100W ที่กำลังมันใกล้เคียงกัน เราจะเห็นความเก่งในการ Design ของ Ugreen มากที่สามารถ Pack Charger 100W ได้ในขนาดที่เล็กมาก และน้ำหนักเพียง 204g เท่านั้น (เทียบกับของ Apple ที่ 227g)
ทดสอบการจ่ายไฟ และความร้อน
ทั้งรุ่น 65W และ 100W หากเราเสียบผ่านช่อง USB-C1 ตัว macOS มันสามารถ Detect Charger ได้อย่างถูกต้องตามกำลังที่มันทำได้เป๊ะ ๆ
รวมไปถึงเราทดสอบการชาร์จพร้อมกับวัดกระแสไปด้วย Adapter ทั้งสองตัวก็สามารถทำได้ตามกำลังที่มันระบุเอาไว้ได้ดีมาก การจ่ายไฟมีความนิ่งมาก ๆ ไม่เจออาการเหวี่ยง ๆ แบบ Adapter ถูก ๆ ถึงแม้ว่าเราจะโหลดไฟเต็มกำลังของมันแล้วก็ตาม จากในภาพเราใช้ Adapter 65W Slim Render Video ใส่มันเข้าไปประกอบกับ M4 Max ที่กินไฟดุดันอยู่ ก็จะเห็นได้เลยว่า Adapter โหลดสุดเต็มเหนี่ยวไปเลย เราคิดว่าเป็นมาตรฐานที่ Ugreen ทำได้มานานแล้วละ เรื่องคุณภาพการจ่ายไฟไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับ Brand นี้เท่าไหร่
แต่เรื่องที่เป็นห่วงมาก ๆ คือ ความร้อน เพราะ ตัว Adapter เขามีการแพคชิ้นส่วนต่าง ๆ มาแน่นมาก ๆ การระบายความร้อนมันทำได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะรุ่น 60W Slim เราทดลองเอามาชาร์จ Macbook Pro 14-inch M4 Max มันโหลดเต็ม 65W ไปหลักชั่วโมง เมื่อเราจับไปมันก็ร้อนจริง ๆ แต่มันก็ยังอยู่ในระดับที่เรายังเอามือจับได้ ไม่ได้ลวกขนาดนั้น ส่วนรุ่น 100W เราใช้งานปกติโหลดอยู่ที่ประมาณ 16-20W แทบไม่มีอาการอุ่น ๆ ให้เราเห็นเลย และเมื่อเราชาร์จเต็มเหนี่ยว Macbook Pro ของเรามันพาไปได้ประมาณ 98W แถว ๆ นั้น ชาร์จต่อเนื่องกันเป็นชั่วโมง ก็มีอาการแค่ร้อนนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ลวกมือเช่นเดียวกัน
เราจะพก 65W Slim หรือ 100W ดีนะ
เท่าที่เราทดสอบการใช้งาน บน Macbook Pro 14-inch M4 Max พบว่า หากเราชาร์จมาเต็มอยู่แล้ว การใช้งานทั่ว ๆ ไป เช่นการเปิดเว็บ การทำงานเอกสาร พร้อมกับเปิดเพลงผ่าน Apple Music ไปด้วย เปิดแสงหน้าจอเต็ม มันจะกินไฟจาก Adapter อยู่ประมาณ 16-21W เท่านั้นเอง หรือถ้าเราตัดต่อวีดีโอจริง ๆ มันก็จะไม่ได้กินโหลดเต็มอยู่ตลอด มันยังมี Headroom เหลือสำหรับการชาร์จไฟกลับเข้าไปใน Battery อยู่ ถึงจะช้าไปสักหน่อยแต่อย่างน้อนมันก็ชาร์จเข้านะ ประกอบกับน้ำหนักของรุ่น 65W Slim เบากว่า 100W มาก ๆ ทำให้ส่วนตัวเรา หากเราพก เราจะพก 65W Slim น่าจะเหมาะสมกับการใช้งานของเรามากกว่า
แต่ถ้าใครที่รู้ตัวว่า จะต้อง Render Video เยอะ ๆ หรือใช้เครื่องหนักเป็นระยะเวลานาน ๆ เราทดลองวัดด้วยเครื่องของเราเหมือนเดิม ลอง Render Video ที่กินหนัก ๆ โดยที่แบตเราชาร์จเต็มแล้วด้วยนะ กับใช้ Adapter 100W มันดึงโหลดอยู่ 80W กว่า ๆ ได้เลย นั่นแปลว่าหากเราใช้ Adapter 65W ยังไงมันก็ไม่พอชาร์จไม่เข้าแน่นอน แต่ถ้าเราใช้ 100W มันยังมี Headroom สำหรับชาร์จไฟเข้า Macbook Pro เราอีก 20W ก็ยังดี ทำให้เรามองว่าคนกลุ่มนี้น่าจะเหมาะกับ 100W มากกว่า
ส่วนพวกกลุ่ม 160W เราคิดว่า มันจะไปเหมาะกับการเสียบ Laptop พร้อมกัน 2 เครื่อง ฟิล ๆ ว่าเราไปออก Field จากเดิมที่เราจะต้องพก Adapter 2 ชุด เราก็พกไปแค่อันเดียว แล้วเสียบที่เดียวกันไปเลย ก็จะทำให้ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋า และน้ำหนักก็จะหายไปเยอะพอตัวอยู่ ซึ่งเราก็ไม่ใช่คนกลุ่มนั้น เลยไม่ได้ซื้อมาใช้งานแล้วเอามารีวิวในบทความนี้นั่นเอง
สรุป
Ugreen Nexode Pro เป็น Adapter ที่ทำให้เราทึ่งในขนาดและน้ำหนักของมันได้อีกครั้ง โดยเฉพาะขนาดที่เขามีเทคโนโลยีในการแพคแผงวงจรได้หนาแน่นมากขึ้น ลดขนาดได้มหาศาลมาก ๆ ถึงน้ำหนักจะยังลดได้ไม่มากก็เถอะ แต่ก็ยังสามารถจ่ายไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจอ Full Load เป็นระยะเวลานานมันก็ยังเอาอยู่ได้สบาย ๆ ไม่มีร้อนจนลวกมือและลดกำลังชาร์จลงเลย ที่สำคัญ ราคาค่าตัวของน้องเขาก็ยังใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้ามาก ๆ เราได้ 65W มาในราคาประมาณ 900 บาทกว่า ๆ และ 100W ในราคา 1,300 บาทกว่า ๆ ช่วง 12.12 ถือว่าเป็นราคาที่ดีมาก ๆ สำหรับ Adapter ที่มีกำลังสูง และคุณภาพทั้งการจ่ายไฟและวัสดุที่ดีขนาดนี้ ใครกำลังหา Adapter สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ เราแนะนำตัวนี้เลย
หากใครสนใจ กดซื้อผ่าน Link ด้านล่างนี้ได้เลย จะทำให้เราได้ค่าขนมมาเป็นกำลังใจสำหรับบทความต่อ ๆ ไปเด้อ
ขนาด 65W : https://s.shopee.co.th/6V7RZlZ25B
ขนาด 100W: https://s.shopee.co.th/1LPLQIa9p9